25 สิงหาคม 2551 23:54 น.
ลานเทวา
( ๑ )
ไกลโพ้นแห่งมหานที
เรือแก่นจันทร์ดั้นวารีระล่องฝ่า
มรสุมกร้าวแฝงแรงมนต์ตรา
อันร่ายเร้าโดยกามาเริงสราญ
สิงคารสหยดหวานจะผ่านล่วง
สันตรสแห่งห้วงใดตรึงซ่าน
โลกสิหวนกำซาบในวาบกาล
หัสสวารบันเทิงระเริงริน
แลรสใดไหนซึ้งถึงที่สุด
เถอะมนุษย์ผู้ใคร่ไม่รู้สิ้น
ปรากฏแห่งชีวาอยู่อาจิณ
คืออยากเกียรติกามกินในสันดาน
ทุกมรรคาตัณหาเร้นเป็นธุระ
จักปล่อยปละกังวลใดพ้นผ่าน
จากคืบศอกหยอกยื่นใดชื่นบาน
รติกาลครู่สดับก็ลับลา
โดยมิอาจมั่นยืนในสภาพ
เพระต่างซาบซ่านไหวในคุณค่า
คุณสมบัติเคลือบแฝงแห่งมายา
หลอกลวงตาลวงใจหวั่นไหวตาม
แลมิพบใดสิ้นถวิลวาด
และมิอาจตอบย้ำในคำถาม
โดยฐายีภาวะแห่งกลกาม
พ่ายอิทธิพลรูปนามมาแต่ไร
ฯ
โดยฐายีภาวะแห่งกลกาม
พ่ายอิทธิพลรูปนามมาแต่ไร
ฯ
( ๒ )
ภวังค์แห่งราตรี
รำพึงร้าวชีวีหม่นไหม้
รอยทางแร้นแค้นอันแสนไกล
ประทับทุกข์ท้นในห้วงมรรคา
เสียงหัวใจบอกกล่าว
เรื่องราวขันแข่งแสวงหา
สัมภาระสารพันบรรทุกมา
โดยเดี่ยวลำนาวาอันโรยแรง
ผ่านยุคสมัยเพ้อฝัน
การช่วงชิงประชันขันแข่ง
ผ่านสัมผัสสุขโศกโลกแสดง
บางรู้ดั่งจะแจ้งในหนทาง
ชีวิตคือชีวิต
เขียนลิขิตจารจดในบทต่าง
ผ่านวัยวันเลือนลบจบจาง
ทุกสิ่งวางไว้เป็นอยู่เช่นนั้น
ร่องรอยกาลเวลา
บอกเล่ามรรคาความฝัน
โคจรแห่งวิถีชีวัน
ไหวรำพันบทฝากจากดงแดน
การเดินทางการเรียนรู้
สัญจรสู่ความฝันอันแร้นแค้น
แสวงหาสิ่งวาดอันขาดแคลน
มาทดแทนสิ่งหวังกำลังใจ
เพื่อสู่จุดหมายปลายทาง
สู่การปล่อยวางอันยิ่งใหญ่
จากทุกสิ่งที่เห็นและเป็นไป
ผันผ่านใดคงมั่นหนอมรรคา
( ๓ )
อ้างว้างล่องลอยในแรมปี
เรือแก่นจันทร์ดั้นวารีระล่องฝ่า
มรสุมกร้าวแฝงแรงมนต์ตรา
อันร่ายเร้าโดยกามาเพลิดภิรมย์
ลิบลิบแลคลื่นหยอกฝั่งดอกโมก
ทิ้งรอยโศกรอยเศร้าเร้นเหงาข่ม
เดียวดายจากความฝันอันตรอมตรม
ล่องทะเลอารมณ์ฝ่าประจัญ
วับวับเพียงตะเกียงดาวพราวแสงเรื่อ
เจ้าล่องเรือมาจากฝากไหนนั่น
แลบรรทุกใดมาสารพัน
จะนำมาแบ่งปันหรือขายค้า
( ๔ )
ในลำเรือตัณหาข้าบรรทุก
อุปกรณ์แห่งสุขแสวงหา
ระล่องเร่กลางทะเลแห่งมายา
หมายล่วงมาถึงถิ่นแผ่นดินทอง
มาเถิดท่านผู้นิยมผู้ชมชอบ
ความภิรมย์จักมอบใจสนอง
เร่เข้ามาเถิดมาจับแลมาจอง
ในสิ่งปองสิ่งหมายอันรายเรียง
นั่นก็ดีนี่ก็งามตามแต่เลือก
กระสันเสือกแห่งใจหรือไหวเลี่ยง
ห้วงราตรีดั่งมนต์ดำร่ายจำเรียง
ทุกสิ่งเพียงผ่านแสวงโดยแรงใจ
ในลำเรือตัณหาข้าบรรทุก
อุปกรณ์แห่งความสุขและความใคร่
อวิชชาลำพองกองนั้นไง
เลือกเอาไปเถอะนายขายไม่แพง
แม้นเลือกได้สมใจจักไปต่อ
มีคนรอมากมายสุดปลายแสง
ด้วยสินค้าเลิศล้ำการสำแดง
คนต่างแย่งจับจองสนองพา
พร้อมจะไปสุดฟ้ามหานที
เรือแก่นจันทร์ดั้นวารีระล่องฝ่า
ไร้จุดหมายปลายฝันแลมรรคา
โดยบรรทุกอวิชชามาเต็มลำ
( ๕ )
ช้าก่อนจะขึ้นท่าวานิชหนุ่ม
เจ้าหลงลุ่มใดปลื้มใจดื่มด่ำ
ณ ฟากฝั่งแห่งนี้มีแต่ธรรม
คอยชี้นำชาวชนพ้นทุกข์ภัย
โอ้ บุหงันแห่งห้วงนิโรธา
บานทายท้าหนาวร้อนมิอ่อนไหว
ตระหง่านบทแห่งธรรมอันอำไพ
โอบอุ้มโลกวิไลมะเลืองตา
วิสูตรเหมยหมอกพร่างจางจางคล้อย
ทิพย์เถื่อนพร้อยดั่งมณีระยับประดับค่า
วิเวกใจใสสงบจบมรรคา
วิริยาคงมั่นโดยหมั่นเพียร
เราเติบมาแต่ชีวิต
สู่ทางทิศที่ผ่านกาลเกษียณ
ธารณะจิตไหวกระไรเบียน
นฤมลค้นเรียนรู้ภายใน
ประภาสเจิดโดยธรรมส่องนำหน
ประโลมมนต์มายาอันสาไถย
รู้ในรู้แยบยลรู้กลใจ
รู้ทางไปสู่วิมุตติรู้หลุดพ้น
โอ้ บุหงันแห่งห้วงนิโรธา
เจิดปัญญาขจรกลิ่นทั่วถิ่นหน
ประดังชื่นปลอบปลุกผู้ทุกข์ทน
ก้าวล่วงพ้นเถิดหนาสาธุการ
ช้าก่อนวานิชหนุ่ม
เจ้าหลงลุ่มวังวนมิพ้นผ่าน
เริงล่องอยู่ในนาวาสามานย์
ประกอบการประกอบกรรมอำพราง
สินค้าเจ้าเรามิปอง .. !
เพราะครรลองแห่งธรรมเรานำสร้าง
ผิดแต่เจ้าผู้เร่ลอยมิปล่อยวาง
เถอะอัปปางเมื่อไรคงได้รู้
( ๖ )
จงล่องต่อไปเถิดท่านพ่อค้า
ชนมืดบอดในชีวาคงรออยู่
ท่ามทะเลมายาไร้ตาดู
ทิศทางผู้ลุ่มหลงคงอีกไกล
อนุมานศรัทธามายาภาพ
ศิโรราบมนต์ลวงห้วงสมัย
ทฤษฎีแห่งวิญญาณลาญใจ
หมกมุ่นในอัตตะอัตตา
มโนภาพในความว่างเปล่า
สร้างโดยเงากิเลสตัณหา
เป็นโลกเป็นกระแสนานา
ตลอดถึงมายาแห่งคัมภีร์
อาตมันใดเที่ยงแท้
อยู่ในความผันแปรไม่คงที่
ท่ามอุบัติการณ์กฏเกณฑ์ชีวี
น้อยหนึ่งมีผู้พ้นบ่วงอันลวงตา
( ๗ )
เพราะไม่มีศาสดาใดในใจเจ้า
จึงข้องเขลาเรื่อยไปอย่างไร้ค่า
เพราะไม่มีธรรมใดไว้นำพา
เลื่อนลอยแห่งนาวาจึงไร้ทิศ
เดียวดายกลางมหานที
เรือแก่นจันทร์ดั้นวารีวิปริต
มรสุมมายาแกร่งเข้าแฝงฤทธิ์
กระหน่ำห้วงชีวิตอยู่นิรันดร์
........................
โดยคำ ลานเทวา
24 สิงหาคม 2551 00:15 น.
ลานเทวา
เนิ่นนาน
ในกัลปาวสานอันต้อยต่ำ
ว่ายเวิ้งความฝันวรรณกรรม
รินคำร่ายเพลงบรรเลงกานท์
หมื่นแสนลำนำ
สื่อคำอาทรอักษรหวาน
ร่ายวลีร้อยรักจักรวาล
ขับกล่อมรัตติกาลเดียวดาย
ปรารถนา
อักษราแห่งจินต์มิสิ้นสาย
ประหนึ่งลมแผ่วโผยระโชยชาย
ไม่มีบทสุดท้ายจากกวี
ด้วยรัก
ย้ำตระหนักโดยมรรคาแลหน้าที่
ทุกข์สุขอันหลากล้นหนฤดี
จะขับเร้นเป็นวลีภิรมย์รัก
โลกเอย
ปรารถนาชื่นเชยให้รู้จัก
ในงดงามความหมายที่ทายทัก
โดยกวีผู้มอบภักดิ์จิตวิญญาณ์
โดยคำ
อันดื่มด่ำในถ้อยร้อยภาษา
วาดเวิ้งฝันอันถวิลจินตนา
ระรินสายอักษราปลอบประโลม
.........................
โดยคำ ลานเทวา
23 สิงหาคม 2551 08:25 น.
ลานเทวา
สหาย !
รางวัลผู้แพ้พ่ายสำมะหา
ในรอยทางย่างย่ำการนำพา
บันทึกเลือดและน้ำตานั้นเพื่อใคร
กี่บทเพลงบรรเลงเร้าปลอบเถ้าถ่าน
ปาฏิหาริย์นิยมสังคมใหม่
บทกวีจากเมืองฟ้าจากป่าไพร
เขียนหัวใจอ้างว้างบนทางทิศ
สหาย !
ความเข้มแข็งสุดท้ายใช่ความผิด
เปลี่ยนแปลงอันงดงามในความคิด
จักเคลื่อนไหวชีวิตนิรันดร
แม้นวันนี้จะขมขื่น
แต่จุดยืนยังคงมั่นเหมือนวันก่อน
อาวุธทางความคิดใช่ฤทธิ์รอน
ยังสะท้อนความจริงทุกสิ่งมา
ท่ามกลางยุคสมัย
วัฒนธรรมยังเป็นไปอย่างไร้ค่า
คีตะกานท์ขานขับแล้วลับลา
กระแสนิยมมายาเข้ากลืนกิน
สหาย !
แผ่วบทเพลงเงียบหายไปจากถิ่น
ไร้เสียงซึงซึ้งหวานร้าวรานจินต์
หรือเราสิ้นแนวรบจบนิรันด์
ไร้สิ้นบทกวีการต่อสู้
แผ่วเพียงบทฟองสบู่ประโลมฝัน
ยังแต่บทพร่ำเพ้อละเมอจันทร์
จารเขียนกล่อมคืนวันไร้สาระ
สหาย !
กวีบทสุดท้ายปานขยะ
โลกบ่งชี้ความเปลี่ยนแปรแพ้ชนะ
แนวรบเราคงจะปลดระวาง
ไปกับกองคาราวานกองสุดท้าย
ทิ้งคุณค่าความหมายให้รกร้าง
เนิ่นยาวนานการต่อสู้คู่เส้นทาง
รินน้ำตาปล่อยวางโลกเดียวดาย
สมรภูมิเปลี่ยนไปแล้ว
นักรบแผ่วแรงโรยระโหยหาย
ความเป็นจริงมืดมัวซากหัวควาย
อุดมการณ์สุดท้ายทิ้งลงดิน
............................
โดยคำ ลานเทวา
22 สิงหาคม 2551 22:53 น.
ลานเทวา
... มรณะรำพัน ...
ลมดึกกรรโชกสาย
หอบพัดพาความตายให้รู้จัก
ผ่านล่วงมุมงดงามของความรัก
หยาดน้ำตาทายทักอย่างเข้าใจ
เหมือนเศร้าโศกโลกเร้นอย่างเย็นชา
ปรารถนาแดโดยระโหยไห้
เกลือนกลบศพซากฝากอาลัย
บอกวัฏฏะเป็นไปอยู่เช่นนั้น
แล้วโลกก็รู้สึก
ไปจนถึงรากลึกแห่งความฝัน
เราแค่เพียงผ่านมาพบกัน
ความพลัดพรากยืนยันปรากฏกาล
อย่ากระนั้นเลย
สิ่งที่เชยล่วงชมอารมณ์ผ่าน
หรืออาจเก็บชื่นฤดูดอกไม้บาน
มาตระการกล่อมย้ำห้วงรำพึง
ลมดึกกรรโชกสาย
หอบพัดพาความตายนั้นมาถึง
ซีกโลกอันโสภาอันตราตรึง
งามชีวิตช่วงหนึ่งใคร่มอบวาง
วางลงตรงที่เคยรู้จัก
ยิ้มทายทักเงาโศกโลกอ้างว้าง
ก่อนวิญญาณจะระเหินออกเดินทาง
ฝากสายลมบางบางถึงความรัก
ว่าขออำลานิรันดร์
ขอบคุณสายสัมพันธ์ที่ทอถัก
ภิรมย์รื่นแห่งคืนวันช่างสั้นนัก
แต่ก็ยินดีที่รู้จักก่อนจากลา
คงไม่มีอะไรจะมอบ
ไม่มีแม้คำตอบที่ปรารถนา
ลบเลือนความว่างเปล่าของน้ำตา
แย้มรอยยิ้มอีกครา เย้ยความตาย..........
.................................
โดยคำ ลานเทวา
21 สิงหาคม 2551 14:12 น.
ลานเทวา
..... ฉากที่ ๑ ......
(.....ลอยล่องครรลองฝัน .....)
เคว้งคว้างปลิดปลิวละลิ่วล่อง
สู่วาบทองอันเจิดแจ้งสุดแสงฝัน
ร่ายบำเทิงเวิ้งว้างแต่ปางบรรพ์
คีตกามคนธรรพ์ภิรมย์พา
ปานสายลมชื่นแผ่วเบา
ผ่านรูปเงาความฝันแลตัณหา
ระรนกามวิถีเริงลีลา
เอมอิ่มห้วงกามาอภิรมย์
จักรวาลวิถี
ปรารถนาราคีลวงเสพสม
ปรกติสมัญญาค่านิยม
เสพโสมมเอิบอิ่มพิมพ์ประไพ
มโหรีประโคมครื้น
ลีลาศชื่นดื่มด่ำกำซาบไหว
บรรเทิงแห่งกามกล ณ หนใจ
เริงละไมลีลาละมุนเมา
ไกลสุดฟากมรรคาอารมณ์ฝัน
ยะเยียบงันอ้างว้างบนทางเก่า
ปรารถนาไหววูบในรูปเงา
เคลื่อนรอยจางบางเบาห้วงภวังค์
ใดเล่าผู้จากพราก
โลกฝังฝากชีวินถวิลหวัง
เราก้าวผ่านความจริงความชิงชัง
โดยกระแสประดังกาลเวลา
สุดมรรคาอารมณ์ประหนึ่งนั้น
ฤางามฝันพิลาศปรารถนา
บริบทห้วงกมลสนทนา
กำซาบคืนมายาใจดิ่งจม
หรือเจ้าใคร่ปลดระวาง
จากหนทางแห่งฝันอันทับถม
ตะกอนกามกลืนกาลมานานนม
ล่วงผ่านชื่นใดชมสิ่งลวงตา
ค้นความฝันใดจะไปสู่
การเรียนรู้ในหนที่ค้นหา
แลสิ่งหวังใดย้ำการนำพา
ลวงชีวิตชีวาความเป็นไป
..... ฉากที่ ๒ .....
.......( กล กาม ) ......
เอกัคตา
ดิ่งล่วงกาลเวลาภวังค์ใคร่
สรรพสิ่งเลือนร้างอย่างปราชัย
อารมณ์หนึ่งเป็นไปสภาวะ
ลวงกำหนัดอนัตตาปาฏิหาริย์
อัประมาณเกินคำย้ำปาฐะ
อัศจรรย์ผันผ่านการชำระ
วิสาสะเริงรื่นใคร่ชื่นชม
กัณหธรรมจึงด่ำดื่ม
ปานสิ้นลืมร้อนหนาวอันร้าวข่ม
ภวังค์ไหวสรรพสิ่งลงดิ่งจม
ณ มณฑลโสมมจินตนาการ
อนาจารแห่งห้วง
ประหนึ่งบ่วงรัดเร้าอารมณ์ร่าน
อุบัติเบื้องบัญชาอันสามานย์
ล่วงรอนลาญในปลักสรดักคาว
กำซาบซ่านปานมนต์
ในลึกเร้นเริงรนมโนหนาว
โหมกำหนัดประดังอย่างพรั่งพราว
รอนรอนร้าวอารมณ์สมประดี
คีตกามจึ่งบรรเลง
พาเทพไท้ครื้นเครงทรามบัดสี
มนุษาบำเทิงเริงราคี
อยู่ในกาลอจิตตีเนิ่นกัปกัลป์
มธุรสใดเล่าจะเท่าเทียบ
ห้วงอารมณ์ยะเยียบญัตติฝัน
อรรฆผลกลกามอนุพันธ์
เปลือกสามัญดื่มด่ำการบำเรอ
กว่าจะล่วงหนกาลพ้นผ่าน
ต่างเราท่านจึ่งสราญสนองเสนอ
ครึ่งทางแห่งการสบและพบเจอ
รติกาลละเมอซ่านภวังค์
ต่างเกลือกกลิ้งแลเกลือกกลั้ว
อยู่ถ้วนทั่วอารมณ์เร้นเป็นที่ตั้ง
รูปและเงาปรุงแต่งแฝงประดัง
ปานจริงจังปรารถนาสุดอารมณ์
ไยเล่าผู้ใฝ่ละ
ฤารอโลกปล่อยปะการทับถม
ตะกอนกามเสพสรรค์อันโสมม
ลวงใจจมสู่ภวังค์กาลเวลา
..... ฉากที่ ๓ .....
( ...หรือเสพสิ้นถวิลวาด...? )
เสพสมดาวดวงใดเล่าในสรวง
ฤาเสพลวงใจวาดปรารถนา
เสพใดถ้วนกระบวนสรรค์ห้วงมรรคา
ฤาเสพสิ้นจินตนาร้อยอารมณ์
เสพสมสร้างสรรพสุขมาปลุกย้ำ
นาฏกรรมความใคร่ไหวเสพสม
เสพวิถีสุขโศกโลกกลมกลม
เสพซ่านแล้วโสมมห้วงหทัย
ปรารถนาวาดอารมณ์ขึ้นห่มหาว
กำแหงกร้าวอัตตาบ่มสาไถย
บดดวงตาจักรวาลกาลใดใด
เล็มละเมียดละไมทรามมายา
ปานนั้นแล้ว ... โลกกู
ถ้วนพธูเสพสรรกร้านตัณหา
ร้อยพันหมื่นสืบสาวคาวชีวา
เสพสิ้นฝันมรรคาทรามบัดซบ
กร้าวกำลังวังชาปาณสาร
สเน่หาอนาจารจริตจบ
สิ้นมณฑลกระบวนการทวนทบ
ล้วนสยบศิโรราบกำซาบทรวง
นาฏกรรมแห่งความใคร่
ละเมียดละไมอารมณ์ปานห่มห้วง
สุขสมสร้างประทังโลกทั้งปวง
ดิ่งแดดวงว่ายเวิ้งบันเทิงจินต์
ระเริงลึกปรารถนาอารมณ์ร่าน
สะท้อนสะท้านห้วงใจไหวถวิล
เสพสมฝันตัณหาอย่างชาชิน
ปานนั้นแล้ว ชีวิน แห่งมนุษย์
สรรพสิ่งจึงเลยล่วงในห่วงหา
ความใคร่วาดปรารถนามิสิ้นสุด
นั่นก็ดีนี่ก็งามตามยื้อยุด
เข้าประทุษโดยแรงแต่งประชัน
โลกจึงไหวในกาลทะยานอยาก
กามวิบากแสวงการแข่งขัน
ปรารถนาในผู้มิรู้ทัน
ว่ายเวิ้งกามนิรันดร์อวิชชา
.......................
โดยคำ ลานเทวา