9 มกราคม 2553 18:45 น.
ลานเทวา
.
.
.
คงเป็นภาพเลือนราง ที่จางหาย
แลไร้ค่าและความหมาย ไปทุกส่วน
ดังสายลมพัดเพ ใจเรรวน
แผ่วผ่านฝันรัญจวน เพียงครู่ยาม
ล่วงกำซาบ ปลาบปลื้มการดื่มด่ำ
ซ่านกระหน่ำใจสู่ อณูหวาม
เร้นห่วงหาอารมณ์ นิรนาม
มโนภาพงดงาม เป็นความรัก
ละลิ่วล่องครรลองไร้ ไปทุกทิศ
เปลื้องชีวิตทุกห้วง ครุ่นตวงตัก
อยู่แต่ความโหยหา สามิภักดิ์
กับความหมายที่ทายทัก และมอบปัน
ถามเธอเขาเราใคร ไม่อาจรู้
เผินตาดูเพียงภาพ กำซาบฝัน
ล่องลอยในเลอะเลือน ปี เดือน วัน
ฝากสัมพันธ์เคลื่อนคล้อย รอยจางจาง
ไม่ทันคว้าเอาไว้ในอ้อมกอด
ประโลมฝันมืดบอด คลายอ้างว้าง
ไม่ทันเอื้ออุ่นมอบ ใจบอบบาง
ก็เลือนรางลับฝัน ไร้มรรคา
ภาพเธองามความฝัน ควันบุหรี่
อ้อยอิ่งความจริงที่ ไม่อาจคว้า
ดอกไม้งาม งามซ่อนกาลเวลา
เฉกชะตาเร้นเรา กับเงาตัว
บกพร่องโลกหรือไร ในรอยก้าว
ล่วงขื่นร้าวอดอิ่ม ร่านยิ้มหัว
นั่นความรัก ความเขลา หรือเมามัว
ลิขิตพรหมพันพัว เหมือนล้อเล่น
……………………….
โดยคำ ลานเทวา
8 มกราคม 2553 14:19 น.
ลานเทวา
นานมาแล้ว กรรณิการ์
รอยยิ้มกาลเวลา ยังสดใส
หวานแววซึ้งตรึงรับ ประทับใจ
ปลุกอดีตงามละไม ห้วงรำพึง
เหมือนเรื่องราวผันผ่าน เมื่อวานนี้
ทุกอณูไมตรี งามประหนึ่ง
ดอกไม้กาลเวลา อันตราตรึง
หอมไปทุกคำนึง อดีตกาล
เป็นภาพงาม ยามหวนคืนวันหา
สบแววตาประไพพิมพ์ รอยยิ้มหวาน
ฝากประทับเอาไว้ กับวัยวาร
ให้อบอุ่นเนานาน แม้เดียวดาย
งดงามอยู่หนใด กรรณิการ์
ยามสายลมผ่านพา ผมสยาย
ถนนมิตรภาพ ความฝันพรรณราย
เธอซ่อนเร้นความเป็นตาย ไร้ข่าวคราว
อีกครั้ง กับถนนสายนี้
ผ่านฤดูหลากสี ผ่านร้อนหนาว
บนรอยทาง ที่ไปไม่ถึงดวงดาว
เรากอบเก็บกี่เรื่องราว ไว้นำพา
ดังเส้นทางสายเก่า ทอดเงาผ่าน
ทิ้งร่องรอยอดีตกาล ให้หวนหา
ภาพความหลังความฝัน วันเวลา
ย้ำตรึงตราตรึงเตือน มิเลือนใจ
……………………………
โดยคำ ลานเทวา
5 มกราคม 2553 12:39 น.
ลานเทวา
.
.
เปลี่ยวลมดึก ระโชยชาย….
กล่อมราตรีเดียวดาย ปรารถนา
หนาวอารมณ์ว้าเหว่ กาลเวลา
โศกแสงฝันจันทรา ระโหยไห้….
จ่มกับความบอบช้ำ ค่ำคืนนี้
แต่ละท่วงนาที อันอ่อนไหว
ความรู้สึกอะไร ต่อมิอะไร
ผ่านเผินในภวังค์ ประดังประเด….
สงัดดึกลึกร้าว หนาวน้ำค้าง
ลมอ้างว้างหอบรัก ไกลหักเห
เปลี่ยวห้วงเหงารำพึง คนึงคะเน
ใจเอย ช่างรวนเร ดังสายลม….
ฝากฟูกหมอนผ่อนพัก เหนื่อยหนักท้อ
บทเพลงเศร้าเคล้อคลอ ความขื่นขม
โลกยามนี้มีแต่ ตรม และ ตรม
หม่นเสียงไพรระงม ในเรื่องราว…..
ลิบลิบแลเคว้งคว้าง อ้างว้างโลก
นัยน์ตาโศกสบซึ้ง คำนึงร้าว
หม่นไปทุกหุบห้วง เจ้าดวงดาว
เคยสกาวเด่นใจ เลือนไกลตา….
วิเวกฝันสรรค์สู่ ฤดูเศร้า…
เดียวดายเงาทอดผ่าน กาลห่วงหา
เสียงกระซิบแว่วแว่ว ดังแผ่วมา
รักเจ้าสิ้นกาลเวลา แล้วหรือไร…..
…………………………………
โดยคำ ลานเทวา
2 มกราคม 2553 17:55 น.
ลานเทวา
ฟังคำเพรียกเรียกทีไร เป็นได้โกรธ
คำขอโทษเอ็งสู อย่ารู้จัก
ขึ้นหน้าชื่อถือว่า ด่าเจ็บนัก
ชื่อเชยเชยทายทัก ฉันรักคุณ
ตื่นแต่เช้าก็เฝ้ารอ คนล้อชื่อ
กาแฟถือ จิบตั้งควันยังกรุ่น
ผ่านลมเช้าโชยรื่น ชื่นละมุน
หน้าบอกบุญ ไม่รับคำทักทาย
เฮ้ย ไอ้ วรนุส !
เช้าหน้ามุดตะวันแผด หลบแดดสาย
หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง กางผึ่งราย
ข่าวไอ้นายสูเอ็ง ข้าเซ็งแท้
หน้าบันเทิง เริงคาวหนาวรักคุด
นั่นดาราวรนุส ยังตอแหล
บีบน้ำตาร้อนร้อน อ้อนคนแล
แต่งท้องทิ้ง ผันแปรหนอดารา
หน้าการเมือง ส.ส. วรนุส
ยังไม่ผุดไม่เกิด เตลิดหา
ขยำข่าวมันทิ้ง สิ่งเคืองตา
หนังสือพิมพ์ไร้ราคา วรนุส
ฝากข้อความสื่อให้ ใครคนนั้น
เสาร์อาทิตย์ทั้งวัน เธอฉันหยุด
พบอีกทีวันจันทร์ อังคารพุธ
นับวันเร่งใจรุด ไปพ้นวัน
คิดถึงกัน บางหรือ
จากคนดื้อตาใส ลูกใครนั่น
มาแต่เสียงตัวใจ อยู่ไหนกัน
แลสำคัญยิ่งใหญ่ ตะไลเวร
ยังไม่จบชีวิน ไม่สิ้นสุด
วรนุสบอกความจริง กับจิ้งเหลน
คนจัญไรก็ท่วมท้น พอพ้นเพล
รวมกากเดนอุบาทว์เน่า ชำเราไทย
เปลี่ยนชื่อได้แต่ทำไม หน้าไม่เปลี่ยน
ยังวนเวียนให้เขาเยาะ หัวเราะได้
นั่นสภาผู้ทรงเกียรติ์ ของเมืองใคร
เที่ยวเพ่นพ่านทำไม วรนุส
………………………………
โดยคำ ลานเทวา
2 มกราคม 2553 16:59 น.
ลานเทวา
บันทึกปากคำ กวี
หลากอารมณ์บัดพลี กระแสสาย
ความรู้สึกลึกสรรค์ ถ้อยบรรยาย
อักษรสร้างอยู่พร่างพราย จินตนา
โอบกอดสายลม ห่มน้ำค้าง
เปล่าเปลี่ยวโลกอ้างว้าง สัญจรฝ่า
ผ่านถนนเดียวดาย สายแปลกตา
นับเนิ่นกาลเวลา วิเวกนัย
ล่วงสารทุกข์สุขโศก โลกเฉลย
ดังสายลมรำเพย พัดผ่านไหว
พาสรรพสิ่งเคลื่อนคล้อย บนรอยใจ
สู่เส้นทางแสนไกล สัมภาระ
ด้วยความรักท่วมท้น สนตะพาย
โดยสารสู่บั้นปลาย ห้วงขณะ
กอบเก็บงามความฝัน เป็นพันธะ
ข้ามคุใคร่อันปะทะ ทรมาน
แหวกว่ายเวิ้งฝัน หลากฤดู
กอบเก็บงามอณู โลกพ้นผ่าน
โอบทุกห้วงความรัก จักรวาล
เสพสิ้นจินตนาการ เดียวดาย
เหมือนโดดเดี่ยวอยู่เช่นนั้น หนอกวี
ฟังเถิดถ้อยบรรดามี สะท้อนร่าย
แทนทุกท่วงเกิดดับ อันกลับกลาย
ไม่สิ้นฝันบั้นปลาย มิจบสิ้น
โดยคำ ลานเทวา