19 มิถุนายน 2552 15:09 น.
คนกุลา
แม้วันนั้น จะ นาน มาก แล้ว แต่ สำหรับ ผม แล้ว มัน เหมือน เหตุ การณ์ เพิ่ง เกิด ขึ้น เมื่อ วาน นี้ เอง
เช้า วันนั้น ใน ฐานะเด็ก ที่จบ ม.ศ. 5 มาสองปี แล้ว จึงไม่มีชุดนักเรียน ใส่ ไป สอบ สัมภาษณ์ ก็พยายาม แต่ง ชุดที่ดูว่าเรียบร้อยที่สุด ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็รีบออกจากที่พัก ย่านฝั่งธน แล้วรีบไปแต่เช้า เพื่อไปสอบสัมภาษณ์ พร้อม กับ ความครึ้ม ใจ ว่าผ่านสัมภาษณ์ วันนี้ แล้ว ซิหนอ เรา ก็จะ ได้เข้าเรียน ในคณะ และมหาวิทยาลัย ที่สามารถทำให้ทางบ้าน ได้ ภาคภูมิ ใจ อีก ครั้ง หลัง จากที่ต้องทำให้ ท่านทั้งสอง พ่อ และ แม่ ต้องช้ำใจ หนักๆเมื่อ หก เดือน ที่ผ่านมา
ไปถึงมหาวิทยาลัยและไปดูคิวสอบสัมภาษณ์ของเรา อยู่ที่ 10:00 น. ตอนนั้นเพิ่ง 8 นาฬิกา กว่าๆ ก็เลยเดินดูไปทั่วๆบริเวณคณะที่สอบติดมา ความภูมิใจก็ยิ่งมีมากขึ้น เมื่อเดินชมทั่วไป ไม่ใช่เพราะสอบเข้าได้ คณะนี้หรอกแต่เป็นเพราะว่า ได้คิดและได้ทำสิ่งที่ถูก....เป็นครั้งแรกในช่วงเวลานี้ หลังจากที่ทำผิด ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก มามากต่อมาก หลายต่อหลายครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ต่างหาก...เล่าครับ
จากการสอบผ่าน ม.ศ. 5 สายวิทยาศาสตร์ ด้วยคะแนน ร้อยละ 50.00 ซึ่งเพื่อนๆ แซวว่า อาจารย์เขาคงปัดคะแนนให้ผ่าน ทั้งที่จริงแล้วคะแนนจริงอาจจะตกแบบเฉียดฉิว ซะด้วยซ้ำ
จบ ม.ศ. ปีแรก ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้สมัครสอบ เอ็นทร้านส์ เพราะคิดว่า อย่างไร ก็ คง สอบ ตก ม.ศ. 5 แน่ๆ เก็ง ผิด ไป นิด หนึ่ง
เลยต้องว่างเสีย 1 ปี จะว่าว่าง เสีย ทีเดียวก็ไม่ได้ หรอก เพราะ อันที่จริงแล้ว ผมได้ระเห็จ ลงไปเป็นคนงาน สวนยางพารา ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เสียหลายเดือน ก่อนจะกลับขึ้นมาสอบ เอ็นทร้านส์ ตอนปลายปี คราวนี้ สอบติดคณะวิศวกรรมของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง เรียนได้เพียง 1 เทอมก็ถูกอัปเปหิ ออกมา เพราะเกรดไม่ถึง 1 ปกติในสมัยนั้น ถ้าเกรดไม่ถึง 2 จะติดโปรฯ ไม่ใช่ โปรเฟสชั่นนัล นะครับ โปรเบชั่น แต่ของผม ได้ ไม่ถึง 1 สถาบันฯ ก็เลยเชิญออก เพราะเขากลัวว่า จะเสียเวลา ทั้งผม บรรดาอาจารย์ และสถาบันฯ พูดเล่นนะครับ อันที่จริงแล้ว กฎเขาเป็นอย่างนั้นเอง ก็จะไม่ให้ได้เกรดแค่นั้นได้อย่างไรละครับ ก็ทั้งเทอม ผม เอา แต่เมาหัวราน้ำ บางวัน เข้าไปเรียน ยังไม่สร่างเมาดี เลยครับ
เดินคิดเดินดูบริเวณเพลินๆ พอไกล้เวลานัด จึงเดินกลับมาที่ตึกที่ทางคณะฯจัดสัมภาษณ์ ปรากฏว่ารออีกพักหนึ่งก็ถึงคิว ผม "นายกุลา เข้า ห้อง สัมภาษณ์ที่ 3 นะคะ" เจ้าหน้าที่บอกผม หลังจากตรวจสอบเอกสารต่างๆเรียบร้อยแล้ว ผมเข้าไปในห้องสอบสัมภาษณ์ เห็น อาจารย์ สองท่านเป็นกรรมการสอบ นั่ง อยู่ฝั่งตรงข้าม ผมยกมือไหว้ อย่างที่คิดว่าเรียบร้อยที่สุด นั่ง ซี กรรมการท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งชี้ให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ ด้านหน้าของท่านทั้งสอง โดยมีโต๊ะขั้นอยู่ตรงกลาง
กรรมการถามคำถามไม่กี่คำถาม ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าท่านถามว่าอะไรบ้างก่อนจะถึงคำถาม สุดท้าย
อ้อ ได้คะแนนร้อยละ 50.00 และจบมาสองปีแล้ว ไปทำอะไรอยู่เหรอ
มีปัญหาส่วนตัว ครับ เลยหยุดเรียน ไปทำงาน ผม พยายามตอบเลี่ยงๆไป
อ้อ เอาอย่างนี้นะ ...กุลา ออกไปก่อน แล้วกลับมาสอบใหม่ ตอน 5 โมง เย็น วันนี้ อีกครั้ง นะ
ครับ ผมรับคำ มือ เย็น เฉียบ หัวใจตกวูบ เหมือนหล่นลงไปในถังน้ำแข็ง
ผมยกมือไหว้ ลา อาจารย์ทั้งสองท่าน แล้วเดินออกมาอย่างเหม่อลอย คิดแต่ว่าคงมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับการสัมภาษณ์ของตนเองแน่นอน เพียงแต่ไม่ทราบว่าปัญหาอะไร เท่านั้น เอง
ผม..จะทำอย่างไร..ดี คำถาม ที่ประเด ประดัง เข้ามาในหัว ดูเหมือนก้อนหินหนักหลายตัน กดทับลงบน หัวใจของผม..แสนจะหนัก...อึ้ง...ผม จะทำ อย่างไร ผมจะทำอย่างไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ผม เดินเกร่ไป....เกร่มา.....อยู่แถวหน้าตึกที่สอบสัมภาษณ์ ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ และก็สังเกตุว่า...นักเรียนที่มาสอบสัมภาษณ์ คนอื่นๆพอเขาสอบเสร็จ ทุกคนก็กลับบ้านไปเลยทุกคน ขณะที่ผมเดินไปเดินมา ก็พอดีได้พบเด็กที่รู้จักคนหนึ่ง ซึ่งสอบติดคณะเดียวกับผมแต่คนละแผนก ผมเคยพบเขาหลายครั้งเพราะเป็นคนจังหวัดเดียวกันกับผม ผมรีบเดินเข้าไปทักทายเขา
ยังไม่กลับบ้านอีก เหรอเห็นสอบเสร็จตั้งนาน แล้ว เขาถามขึ้นอย่างสงสัย
ของเราอาจารย์ เขานัดให้มาสอบอีกครั้งตอน 5 โมงเย็น ของนายไม่ต้องกลับมาสอบอีกครั้ง เหรอ ผมถามเขาโดยนำเสียงที่ปิดแวววิตกกังวลไว้ไม่มิด
ไม่เห็นมี นี่ แล้วนายจะต้องรอจนเย็นละซี เขาตอบ พลางถามผมต่อ
อื้อ..คงงั้น..แหละมั๊ง.ผมตอบ
งั้น เราไปก่อนนะ โชคดี นะ เพื่อน
เออ..ขอบใจ ..นะ.
เพื่อนจากไปแล้ว....ผมนั่งคอตกอยู่บนม้าหิน คนเดียว....เด็กนักเรียน ที่มารอสอบสัมภาษณ์ คอยๆทยอยสอบและทยอยกลับไปเรื่อยๆ จนเหลือน้อยลงๆทุกที
ณ.วินาทีนั้น ผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ในโลกใบนี้ ไม่รู้จะปรึกษาใคร.....กับคำถามว่าเราจะทำอย่างไร ดี
พ่อและแม่..คงไม่ต้องพูดถึงเพราะผมตัดขาดการติดต่อกับทางบ้าน หลังจากวันถูกรีไทร์ จากสถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้า และถูก พ่อเทศน์เสียกัณฑ์..ใหญ่.. และในปี พ.ศ.นั้นการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่างกรุงเทพฯกับบ้านผมในต่างจังหวัดนั้นทำไม่ได้เลย เพราะบ้านผมยังไม่มีโทรศัพท์ใช้เลย
เพื่อนของน้าชาย ที่เคยมาพักอาศัยกับเขาเมื่อมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ระยะหลังก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ผมตัดสินใจออกมาหาที่อยู่ใหม่ หลังจากจบ ม.ศ. 5 และลงไปทำงานทางภาคใต้ เมื่อกลับขึ้นมาผมก็ระเหเร่ร่อนเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนบ้าง เช่าหอพักอยู่บ้าง
ในบางวาบ..ของความคิด...ผมรู้สึก...กลัว...กังวล..ใจ...อย่างมาก
ผมจะตอบกรรมการว่าอย่างไร...หากกรรมการเขาไม่พอใจอาจให้ผมตกสัมภาษณ์..เท่าที่ผมทราบมาบ้าง คนตกสัมภาษณ์ มีน้อยมาก...และมัน คงเป็นเรื่องร้ายแรง จริงๆ เท่านั้น..ยิ่งคิด ยิ่งกลัว ยิ่งคิด ยิ่ง กังวล ใจ
ผม.....อยากสอบให้ได้...ผม...อยากเอาความสำเร็จจากการสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ นำไปลบความผิดหวังของพ่อและแม่..นั่น คือ ความหวังลึกๆ ว่าอยากจะทำสิ่งที่ถูก..ให้ท่านภูมิใจ ได้ บ้าง...
เพราะผมได้ยินเพื่อน.ที่ไปเยี่ยมบ้านกลับมา...เล่าให้ฟังว่า...พ่อไปเที่ยวเล่าใครต่อใคร อย่างภาคภูมิใจตอนที่ผมสอบเข้าเรียนที่ฯเทคโนฯลาดกระบังได้ และต่อมา.เมื่อผมถูก รีไทร์...พ่อผม...ก็มักหายหน้าหายตาไปจากวงสนทนา..เพราะไม่อยากตอบคำถาม..เพื่อนๆเกี่ยวกับเรื่อง.ที่..ผมถูกให้ออกจากสถาบัน..นั้นจริงหรือไม่ และเพราะเหตุอะไร....เฮ้อ...กุลา...หนอ...กุลา....
ผม คิดวนไปเวียนมา...บางช่วงขณะ..ผมอยากหนี ไปให้พ้น สภาพที่ต้องเผชิญหน้า อยู่ ผมเพียงลืมความหวังทุกอย่างเสีย หนีไปอยู่ที่ไหนไกลๆ แล้วหางานทำ...ยังไงเสียผมก็ไม่ได้สนใจอนาคตของตัวเองมากเท่าไรอยู่แล้ว.นี่.และด้วยความรู้ ที่จบ ชั้น ม.ศ. 5 ผมคงจะพอหาเลี้ยงชีพ ได้ไม่อดตาย ละมั๊ง....
เพียงแต่ไม่สามารถทำให้พ่อแม่..สมหวังอย่างตั้งใจ
จะเป็นไรไปเล่า...ถ้าจะต้องทำให้ท่านผิดหวังอีกสักครั้ง...เหมือนที่ได้ทำให้ท่านผิดหวังมามากต่อมาก...แล้ว..ในระยะที่ผ่านๆมา...เพราะถึงอย่างไร ท่านก็ไม่ทราบว่าตอนนั้นผมอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรอยู่ เสียด้วย ซ้ำไป..
คะแนน 50.00 สอบติดคณะที่เด็กที่สอบติดส่วนใหญ่ จากทางสายศิลป์ก็ติดบอร์ด 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้น ถ้ามาจากสายวิทย์ก็ 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นเป็นส่วนใหญ่ กรรมการท่านอาจคิดว่าผมทุจริตการสอบก็ได้ หรือ คิดไปอย่างอื่นๆได้อีกหลายแง่...
ไม่มีอะไรดีที่สุดเท่ากับการพูดความจริง....เล่าทุกอย่างตามความจริงผมคิดตกและตัดสินใจ...หลังจากคิดทบทวนกลับไปกลับมาอยู่หลายชั่วโมง..
กลัวและกังวลมาก...จนหายกลัว....หายกังวล...... สอบได้..หรือไม่ได้...ก็ไม่สำคัญ...อยู่แล้ว..ไม่ใช่หรือ..ทำให้ดีที่สุด บอกกรรมการไปตามความจริง...ที่เหลือ..ให้เป็นเรื่องของท่านเหล่านั้น พิจารณา.... เมื่อคิดตก..ตัดสินใจได้..ผมก็สบายใจขึ้นมากและพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์
เมื่อจิตใจสงบลง...ผมเริ่มพบว่า...นอกจากผมแล้ว ขณะที่ผู้มาสอบสัมภาษณ์คนอื่นๆทะยอยกลับกันไปเกือบหมดยกเว้นผม ก็ยังมีนักเรียนที่สอบติดข้อเขียนอีกหนึ่งคนจากสุโขทัย ชัยพร คือชื่อของเขา เราสองคนจึงนั่งปรับทุกข์ กัน ตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายให้กำลังใจเขา..เสียอีก ด้วย ซ้ำ
เพราะสำหรับผมนั้น ..พอจะเดาสาเหตุ ได้ เลาๆ....ว่าทำใมกรรมการท่านถึงเรียกผมสอบสัมภาษณ์ อีกครั้ง และผมได้ คิดตกแล้วว่า จะเตรียม เตรียมใจ อย่างไร.. ขณะที่ชัยพรเอง เขา ยังไม่ทราบว่าปัญหาของเขาเกิดเพราะอะไร ทำใมอาจารย์ถึงเรียกเขาสอบอีกครั้ง ผมมาทราบภายหลังว่าเขามีปัญหาบุคลิกภาพบางอย่าง กรรมการจึงไม่มั่นใจว่าเขาจะเรียนได้
เมื่อเวลา 5 โมงเย็นมาถึงหลังจากกรรมการสอบสัมภาษณ์ ผู้สอบติดข้อเขียนทุกคนเสร็จสิ้นแล้ว ผมก็เข้าไปเจ้าหน้าที่ตามที่กรรมการท่านนัดไว้
อ้อ...นาย กุลา เหรอ เข้าไปซิ กรรมการท่านรออยู่แล้ว. เจ้าหน้าที่คนเดียวกับคนเมื่อเช้าบอก หน้าเธอเหมือนกังวลแทนผม...อยู่บ้าง...คงจะสงสาร..มั๊ง ผมคิด เธอคงรู้สถานการณ์บางอย่างที่ผมไม่รู้
ห้องที่ผมไปสัมภาษณ์ตอนนี้เป็นคนละห้องกับที่สอบเมื่อตอนเช้า
ผมเคาะประตูก่อนเปิดประตูเข้าไปหลังจากได้ยินเสียงอนุญาต
ผมเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ก็พบว่า ในห้องสัมภาษณ์ตอนนี้ มีอาจารย์ นั่งอยู่ทั้งหมด สิบท่าน ผมเข้าใจว่ากรรมการทุกคณะที่แบ่งกันสัมภาษณ์คณะละสองท่าน เมื่อตอนเช้าคงจะมารวมกันทั้งหมดเพราะต้องตัดสินใจเรื่องที่สำคัญบางอย่าง....แต่ใจผมสงบเสียแล้ว....สภาพนั้นจึงไม่ทำให้ผมกังวลใจใดๆเลย
ผมยกมือไหว้กรรมการทุกท่านอีกครั้ง ก่อนนั่งลงตรงหน้าของกรรมการทั้งสิบท่านที่นั่งรายล้อมผม..เป็นรูปครึ่งวงกลม
กุลา...มีอะไรจะพูดกับกรรมการ ก็พูดมาตามความจริงทั้งหมด ได้เลยนะ กรรมการท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น
หากเป็นก่อนหน้านั้นมือผมคงเย็นเยียบ ใจคงเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ตอนนั้น ผมคงสงบมาก..มากเสียจน กรรมการบางท่านอาจจะแปลกใจ
ครับ...ผม..จะเล่า ความจริง ให้ทุกท่านทราบ...ครับ
อาจารย์ทุกท่านครับ ผมเกิดในต่างจังหวัด มีคุณพ่อคุณแม่เป็นครูประชาบาล..คุณพ่อคุณแม่ผมมีลูกทั้งหมดเจ็ดคน ครับ ครอบครัวเราจึงมีความลำบากทางการเงินพอสมควร แต่คุณพ่อ คุณแม่ผมท่านก็พยายามกระเหม็ดกระแหม่เงินเดือนที่ได้รับค่อนข้างน้อยเพื่อรวบรวมส่งให้ผมและน้องๆเรียน โดยหวังจะให้ลูกๆได้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ท่านจะทำให้..ลูกๆได้..เพราะท่านบอก..เสมอว่านอกจากการศึกษา..แล้วท่านก็..ไม่มีสมบัติมีค่าอื่นใดจะให้อีก..ในวัยเด็กผมเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านเกิด ผลการเรียนก็ดีพอสมควร ต่อมาได้ย้ายเข้ามาพักกับน้าชายเพื่อสะดวกในการเข้าเรียนในชั้นที่สูงขึ้น การเรียนของผมในช่วงประถมจนถึงมัธยมต้นผลการเรียนของผมก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี สอบได้ก็ไม่เคยต่ำกว่า ร้อยละ 80 เลย ดังนั้นหากเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็อยู่ในอันดับ 1-5 มาตลอด .....เมื่อจบชั้นมัธยมต้น...ผมก็เดินทางเข้ามาเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพฯ ความอิสสระของชีวิตในกรุง..ประกอบกับการย่างเข้าสู่วัยรุ่นทำให้ผมเริ่มเกเร ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หนีเรียนจนจบ ม.ศ. 5 ด้วยคะแนนร้อยละ 50.00 จนไม่สามารถสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ในปีแรก ในปีที่สองแม้จะสอบเข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าได้ แต่ผมก็ยังไม่ได้สำนึกเอาแต่กินเหล้าเมายา จนต้องถูกรีไทร์ ตั้งแต่เทอมแรก...เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น...ผมมาคิดทบทวน..ดูแล้ว เห็นว่าชีวิตผมที่ผ่านมาช่างไร้สาระสิ้นดี...ไม่เพียงทำลายอนาคตของตัวเองหากยังทำลายความหวังของพ่อและแม่..รวมทั้งคนอื่นๆที่รักผม
อาจารย์ทุกท่าน..ครับ...จากวันที่ผมเริ่ม..คิดได้...ผมเลิกดื่มเหล้า ผมนั่งอ่านแต่หนังสืออ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน ในหก เดือนนี้ผมแทบไม่ได้ไปไหนเลย ครับ...หนึ่งนั้น..เพราะผมไม่มีเงิน เนื่องจากผมไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านมา 5-6 เดือนแล้ว ผมอาศัยอยู่กับเพื่อน ดังนั้นนอกจากกินข้าวกับพวกเขา พักที่หอของเขาโดยไม่ต้องจ่ายเงินช่วยแล้ว ผมก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนๆในเรื่องอื่นๆอีก..แม้เขาจะเต็มใจช่วยเหลือผม รวมทั้งยินดีจ่ายเงิน เลี้ยงผมก็ตาม...อีกอย่างหนึ่ง..ผมอยากอ่านหนังสือ เพื่อให้มั่นใจว่าผมจะสามารถสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่แห่งนี้ ตามที่เลือกไว้หลายคณะ จะได้ลบความผิดหวังที่ผมสร้างขึ้นในใจของพ่อกับแม่ผม...ซึ่งทำให้..หลังจากที่ทำข้อสอบสอบแล้วผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมทำข้อสอบได้ดีกว่าทุกครั้ง ที่ผมเคยสอบมาครับ...ทั้งหมดนี้คือ..ความจริง...ที่ผมอยากจะเรียน อาจารย์ทั้งหลาย ครับ ผมหยุดการตอบอย่างยืดยาวลง และรู้สึกโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะรู้สึกว่าผมได้ทำหน้าที่ของตนเองจบลงแล้ว
แต่ก็น่าแปลกใจนะครับ ในขณะที่ผมตอบแบบร่ายยาวอยู่นั้น ไม่มีอาจารย์ท่านใด ขัดจังหวะผมเลย และไม่มีใครถามอะไรผมอีก
เธอออกไปรอข้างนอกก่อนนะแล้วไปพบอาจารย์ที่ห้องอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวขึ้น..ผมมาทราบชื่อท่านภายหลังว่าท่านชื่ออาจารย์พรรณี ประจวบเหมาะ ท่านเป็นอาจารย์ฝ่ายกิจการนิสิตของคณะ
ผมลาอาจารย์ทุกท่านและออกมานั่งรออยู่อย่างสงบ ที่หน้าห้องสอบสัมภาษณ์..สักพักก็เห็นอาจารย์ทุกท่านค่อยๆทะยอยกันออกมา จนท่านสุดท้าย คือ อาจารย์พรรณี ท่านเรียกผมไปนั่งคุยที่โต๊ะทำงานของท่าน ท่านมอบแบบฟอร์มให้ผมชุดหนึ่งเป็นแบบฟอร์มขอทุนจากคณะ
เอาไปกรอกให้เรียบร้อย แล้วเอามายื่นให้อาจารย์วันที่มามอบตัว ณ.วินาทีนั้น ผมคิดว่าว่าผมทำสำเร็จแล้ว เมื่อผมพูดทุกอย่างตามความจริง ความจริงก็ช่วยผม และอาจารย์ทุกท่านพร้อมที่จะฟังความจริงและพร้อมที่จะให้โอกาส..ให้ผมได้ทำสิ่ง...ที่ถูก...สักครั้งเพื่อผมจะได้ทำสิ่งที่ถูกครั้งต่อๆไป....ไม่ใช่เพื่อตัวผม หากเพื่อพ่อและแม่ และทุกคนที่รักผม
หากไม่มีความเข้าใจจากอาจารย์ทั้งสิบท่าน...ในวันนั้น.....แม้ว่าในตอนเริ่มต้น..ผมคิดว่า อาจารย์..หลายท่านอาจสงสัย..กระทั่งบางท่านอาจจะเข้าใจไปแล้วก็ได้ ว่าผมทุจริต ในการสอบ..เพราะเหตุการณ์ มันสามารถชวนให้เชื่อและคิดอย่างนั้นได้จริงๆเสีย ด้วย เพียง แต่ทุกท่าน ให้โอกาส..ผมชี้แจง และรับฟัง ผม พูด..ครับ อย่าง ค่อน ข้างยาว
ผมเล่าเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการอะไร หรอก ครับนอกจาก..อยากให้เป็นอุธาหรณ์ ให้กำลังใจ และเป็นบทเรียน สำหรับบางคน โดยเฉพาะเด็กๆวัยรุ่น..ที่เคยทำผิดมา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก...หากเธอ..ต้องการจะทำสิ่งที่ถูก สัก ครั้ง..ก็จงทำเถอะ..ลูก...ทำด้วยความจริงใจ..ในโลกนี้..บางครั้ง..สำหรับคนแบบพวกเราแล้ว..บางเวลา..แม้จะเหมือนอยู่ตัวคนเดียว แต่ เชื่อเถิด ครับว่า....ถ้าคิดว่าอยากทำสิ่ง..ที่ถูกสักครั้ง..แม้อาจไม่สำคัญในสายตาผู้ใดเลย...แต่มันก็จะสำคัญมากเสมอสำหรับคนที่รักเรา..และเชื่อเถิดว่า หากเราตั้งใจ และเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง และจริงใจ แม้จะมีความระแวงในตัวเราอยู่บ้าง จากบางคน..ก็อย่า หวั่นไหว..เพราะสุดท้าย ก็จะมีคนเข้าใจ และจะคอยให้โอกาส..แก่เราอยู่เสมอ
เรื่องนี้..อาจไม่มีสาระและประโยชน์มากนัก..หรือแทบไม่มีประโยชน์เลย สำหรับทุกท่านที่ทำทุกสิ่งหรือส่วนใหญ่ อย่างถูกต้องและทำดีอยู่แล้ว..ครับ...แต่หากจะมีประโยชน์ บ้าง..แม้ เล็กน้อย..สำหรับ..บางคน ผมก็พอใจแล้วครับ ที่ได้เขียน มาเล่า ให้ฟัง
............................................................
...........................................................
อาจารย์ยังไม่กลับบ้าน เหรอคะ เสียงแม่บ้านทักทาย..ทำให้ผมตื่นจากภวังค์
จะรับกาแฟ อีกหรือเปล่า คะ. เธอถามอย่างมีน้ำใจ...
อ้อ..ไม่ละครับ...ผมกำลังจะเก็บของกลับบ้าน อยู่เดี๋ยวนี้แล้ว..หละ ครับ..ตาม..สบาย นะครับ ผมตอบกลับไป..เพราะรู้ว่าเธอต้องไปดูความเรียบร้อยๆตามจุดอื่นๆอีก...เพราะตอนนี้ก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว...
หากไม่มีบางคน เข้าใจใน วันนั้น ผมก็ไม่ทราบ ว่าวันนี้...ผม จะเป็นเช่นไร...ขอบคุณ ครับ..อาจารย์..ที่เข้า ใจ และให้โอกาส.....
12 มิถุนายน 2552 02:33 น.
คนกุลา
พี่..กุลา วันนี้เวรใคร..เสียง สร้อย น้องสาววัย เจ็ด ขวบของผมถามขึ้น
ก็เวร เธอนั่นแหละ แหม ทำเป็นจำไม่ได้ ผมรีบตอบ ตัดบทน้องสาวไป เพราะตนเองกำลังจะรีบไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆที่มาตะโกน เรียกอยู่หน้าบ้าน
อ้อ สร้อย นึกว่า เวร สาย เสียอีก เธอกล่าวแก้เก้อแบบเขินๆ อ้างไปแบบแกนๆ เสเป็นเข้าใจว่าเป็นเวรของน้องสาวคนรองอีกคน
ที่สร้อยถามผมเรื่องเวร นั้นเป็นเวรในการล้างจาน ที่บ้านผม ซึ่งแม่ผม ท่านนำมาจากการจัดเวรการทำความสะอาดห้องเรียนในหมู่เด็กนักเรียนมาใช้ที่บ้าน เพราะแม่ผมเป็นครูประชาบาล นี่ครับ
เพราะฉะนั้นตั้งแต่เริ่มทำงานเป็น ลูกๆทุกคนจะได้รับหน้าที่นี้ ตามตารางเวรของตัวเองเป็นประจำ โดยหนึ่งวันก็มีพี่น้องของผมหนึ่งคนต้องรับหน้าที่ไป ยกเว้นวันไหนเป็นไข้ไม่สบายมากๆ ก็อาจจะให้คนที่จะทำหน้าที่ในวันถัดไป เลื่อนขึ้นมาทำแทน
ผมจำได้ว่า ผมทำงานนี้ผลัดเปลี่ยนกับน้องๆอีก สองสามคน จนถึงวันที่ผมต้องเดินทางเข้าไปเรียนในตัวจังหวัด ไอ้ประเภทคำพังเพย ที่ว่า กินเสร็จก่อนได้ดูละครโขนหนัง กินเสร็จทีหลังล้างถ้วยล้างชาม ไม่สามารถเอาใช่ได้ที่บ้านผมหรอก... ครับ
ดังนั้นการล้างจานสำหรับผมแล้ว มันดูเหมือนเป็นเรื่องทรมานใจมากๆจนทำให้ผมพาลเกลียดการล้างจานเป็นชีวิตจิตใจ จนแม้กระทั่งโตขึ้นแล้วก็ตาม เพราะสมัยเด็กๆที่ว่ามานั้นหลายๆครั้งที่ต้องติดเวรล้างจาน ในขณะที่ห่วงเล่นตามประสาเด็กอายุราวๆ สิบขวบ หลายครั้งที่ผมโมโห หงุดหงิด กระทั่งพลอยพาลโกรธแม่เอาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะ ในวันที่มีเพื่อนมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านให้ไปวิ่งเล่นด้วยกัน
แล้วไอ้การล้างจาน ทุกท่านคงทราบดี ว่าหากล้างแบบรีบๆลวกๆจานก็จะไม่สะอาด จาน ชามเป็นมันย่องติดมือ ฟ้องโดยตัวมันเอง พาลโดนเอ็ด หรืออย่างร้ายแรงก็ต้องกลับมาล้างใหม่ เสียเวลาที่จะได้ไปเที่ยวเล่น เข้าไปอีก อันนี้ไม่นับในกรณีที่รีบๆรนๆจนถ้วยชามลื่นหลุดมือตกแตก ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันซวยมหาซวย ของผมหรือน้องๆ เพราะจะโดนเอ็ดยกใหญ่ พาลถูกทำโทษไม่ให้ออกไปเล่นกับเพื่อน ซึ่งถือว่าเป็นโชคร้ายเอามากๆ
ถึงจะไม่ชอบอย่างไร ผมกับน้องๆก็โตมากับหน้าที่นี้ จนกระทั่งเราโตพอที่จะย้ายเข้าไปเรียนในตัวจังหวัด หน้าที่นี้ ก็เป็นอันละเลิกไปโดยอัตโนมัติ เพราะบ้านผมอยู่ห่างจากตัวจังหวัด ร่วมร้อยกิโลเมตร การมาเรียนในเมืองทางบ้านต้องให้มาพักอาศัยบ้านญาติๆ จนกระทั่งตอนหลังเมื่อน้องๆหลายคนทยอยกันเข้ามาเรียนทางบ้านจึงตัดสินใจมาสร้างบ้านอีกหลังให้ได้อยู่อาศัยเรียนหนังสือกันในตัวเมืองเสียเลย แต่ทั้งนี้พวกผมกับน้องๆก็ต้องดูแลกันเองนะครับ เพราะพ่อกับแม่ก็ยังมีภาระหน้าที่การงานของท่านที่บ้านในชนบทอยู่
อันที่จริงพักหลัง เมื่อโตขึ้น ผมก็เพลาๆความเกลียดการล้างจานนี้ลงไปมากพอสมควรแล้ว หละครับ แม้จะไม่ทั้งหมด เพราะไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก
จนมาเมื่อสี่ ห้าปีมานี้ ผมค้นพบวิธีที่ไม่เพียงทำให้ผมหายเกลียดการล้างจานเป็นปลิดทิ้งเท่านั้น หากทำให้ผมรัก และมีความสุขกับการล้างจานอีกด้วย
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการล้างจานนี้เองที่ทำให้ผมได้ค้นพบวิธีที่จะได้อยู่และพูดคุยกับแม่ผม ทางความรู้สึกได้เหมือนได้พบเจอ ท่านจริงๆ....... อ้อ ผมลืมบอกไปว่าแม่ผมท่านเสียชีวิตไป ร่วมยี่สิบปีแล้วหละครับ
การค้นพบที่ว่านั้นเพราะผมไปอ่าน งานเขียนของอาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล ท่านได้บอกว่า คนเรานั้นมักเกลียดสิ่งที่เรารัก และเรามักจะรักในสิ่งที่เราเกลียด ผมอ่านประโยคนี้ ก็ชอบเพราะมันซึ้งๆดี ก็ในฐานะคนชอบภาษานะครับ แล้วจนกระทั่งอีกวันหนึ่ง ผมไปอ่านเจออีกข้อความหนึ่ง เจอที่ไหนไม่ทราบ เขาบอกว่าหากเราไม่ชอบหรือพาลเกลียดสิ่งไหน ให้ลองเอาสิ่งนั้นมาเชื่อมโยงร้อยกับสิ่งที่เรารักดู ถ้าทำได้ลงตัว เราอาจจะเลิกเกลียด สิ่งนั้นๆไปเลย และพาลจะมีความสุขกับการได้อยู่และได้ทำมัน เสียอีกด้วยซ้ำ ไป
ผมลองเอา สองสิ่งนี้ คือ แม่ที่ผม รัก กับการล้างจานที่ผมไม่ชอบมาโยงกัน ได้ดังนี้ ทุกครั้งที่ผมลงมือล้างจาน ผมจะทำให้เวลานั้น เป็นเวลาที่ผมเหมือนไปพบ และสนทนากับแม่ ซึ่งตอนนี้ท่านอยู่บนสรวงสวรรค์แล้ว ละครับ
เวลาดังกล่าว จึงค่อยๆกลายเป็นเวลาที่ผมมีความสุขมากๆ เพราะถึงผมจะไม่ชอบการล้างจานมาแต่สมัยยังเด็ก และพาลโกรธแม่ในบางครั้งเพราะเรื่องนี้ แต่ผมก็เป็นคน ที่รักแม่มากๆเช่นเดียวกัน
จนปัจจุบันนี้ คนที่ไกล้ชิดผมจะแปลกใจที่ผมทำท่าเหมือนกับว่าจะแย่งล้างจานทุกครั้งที่มีโอกาส เหมือนกับจะชอบเสียเต็มประดา อันที่จริง เขาไม่รู้หรอกว่า ผมไม่ได้ชอบการล้างจานหรอกครับ หากแต่ผมกำลังดีใจที่จะได้ไป พบ..แม่ ผมอีกครั้งหนึ่งต่างหากเล่า
26 เมษายน 2552 11:13 น.
คนกุลา
หลังเสร็จงานแต่งงานหลานชาย พวกเราซึ่งเป็นญาติเจ้าบ่าว ก็แยกย้ายกันกลับ
บางกลุ่มก็กลับเลย บางกลุ่มก็จะไปเที่ยวต่อ ไหนๆก็มาแล้ว กลุ่มของผมตัดสิน
ใจที่จะพักอยู่ที่บ้านแม่ทา อีกหนึ่งคืน กะว่าวันรุ่งขึ้นก็จะเข้าไปเที่ยวในตัวเมือง
แม่ฮ่องสอน ก่อนจะตีกลับ กรุงเทพฯรวดเดียว
เช้าขึ้นมา ทานอาหารเช้าเสร็จ เราก็ขับรถออกมาจากหมู่บ้าน พอมาถึงเส้นทาง
แม่สะเรียง แม่ฮ่องสอน เราก็เลี้ยวซ้ายขึ้นไปทางแม่ฮ่องสอน ขับรถเลี้ยวลด คด
เคี้ยวไปเรื่อยๆผ่านน้ำพุร้อน เล็กๆที่พัฒนาโดย อบต.ในพื้นที่ เราก็แวะเข้าไป
ชมดู ได้พบกับคณะทัวร์รถมอร์เตอร์ไซค์กลุ่มหนึ่งประมาณ ๓๐ คนตั้งแคมป์พัก
อยู่ที่นั่น พวกเขากำลังเก็บของเดินทางต่อ จากการเข้าไปสอบถามได้ความว่าเขา
เดินทางกันมาจากจังหวัดตาก เป็นเด็กหนุ่มๆในวัยเรียน แล้วตั้งเป็นชมรม สำหรับ
ออกทัวร์เป็นคณะ ในช่วงหยุดยาว รู้สึกว่าคนริเริ่มจะอาวุโสกว่าคนอื่นๆ เพราะ
อายุอาจจะราวๆเกือบ ๔๐ ปีได้ ช่วงที่พวกเราเดินทางออกมาจากแหล่งน้ำพุร้อน
รถของเราก็แซงรถของคณะมอเตอร์ไซค์กลุ่มนี้อีกครั้ง เขาขับเป็นกลุ่มๆ แต่ขับ
ไม่เร็ว ไม่เหมือนกลุ่มรถซิ่งในกทม. หรอกครับพวกเราตั้งใจว่าไหนๆก็มาแล้ว
ก็จะแวะดูทุ่งดอกบัวตองที่ดอยแม่อูคอ เสียหน่อย แม้จะรู้ว่า คงจะไม่ได้เห็นบัวตองบานแล้วหละ เพราะทุ่งบัวตองจะบานสะพรั่งเต็มที่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น แต่ตอนที่ไปนั้น มันหลังปีใหม่มาได้ สองวันแล้ว บัวตองคงไม่มามัวรอเราอยู่หรอก
เมื่อไปถึง....ก็เป็นจริงตามที่คาดการณ์ไว้ ทุ่งบัวตองส่วนใหญ่แห้งเป็นสี
น้ำตาลไหม้ไปหมดแล้วอาจจะมีอยู่บ้างที่เป็นจุดเหลืองประปราย แต่ก็มีอีกที่หนึ่ง
ที่ไม่ได้เป็นทุ่งแต่เป็นแปลงบัวตอง ที่พ่อค้าแม่ค้าขายผักผลไม้ที่ นั่น เขา ปลูกไว้
โดยรดน้ำทุกวัน บัวตองแปลงนั้นก็จะขึ้นสวยงามออกดอกเหลืองอร่าม เอาไว้ให้
นักเดินทางท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและซื้อของจากเขา อย่างน้อยก็ไม่ให้เสียเที่ยวจนเกินไป
ด้วยอารมณ์ และจินตนาการ ท่ามกลางม่านเมฆหมอก และทะเลภูเขา สุดสายตา
ก็บรรยายมาเป็นภาษา สำหรับคนชอบเขียนกลอนไม่ได้...ก็มันเห็น..
.
ม่านภูเขา ละลานตา วันผาหม่น
ดอกบัวตอง ยืนต้น แห้งหม่นไหม้
ทะเลฟ้า ล้อเมฆฝัน เหมือนควันไฟ
เยียบหัวใจ ถามหา ผู้มาเยือน
หมู่ทิวสน เรียงต้น เหมือนคนเหงา
ในใจเรา คงคล้าย แม้ไม่เหมือน
ดังจะรอ บัวตอง คืนครองเรือน
วนรอบเดือน พฤศจิกา กลับมาเนาว์
เพื่อระบาย สีเหลือง ให้เรืองรุ่ง
แต้มเป็นทุ่ง ตะวันหวัง ตั้งต้นหนาว
ระยิบยับ กับน้ำค้าง พรูพร่างพราว
ขับแสงดาว พรายฟ้า ในราตรี
แต่วันนี้ วันที่ ทุ่งยังร้าง
อาจมีบ้าง บางดอกไม้ ได้แย้มคลี่
ความสวยงาม บางครั้งหนอ ต้องพอดี
และก็มี อยู่บ้าง เพียงบางวัน
จึงจะหวัง วันที่ ฟ้าสีฟ้า
เมื่อบัวตอง พร่างตา ระบายฝัน
ฤดูกาล ผ่านไป ตามวัยวัน
มาเติมฝัน พร่องใจ ให้คนจร
.
บนดอยแม่อูคอ มีจุดชมวิว อยู่จุดหนึ่ง เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในแถบนั้น ยอดดอยขึ้นปกคลุมเต็มไปด้วยสนภูเขา ยามมองลงไปเบื้องล่าง จะเห็นทะเลภูเขาเรียงรายสลับกันไปจนสุดสายตา ที่นี่ก็เช่นเดียวกัน อบต.เขาก็พัฒนาแหล่งชมวิว เพื่อให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เป็นอย่างดีมาก
การเดินทางมาแม่ฮ่องสอนคราวนี้ ดูถนนหนทางสะดวก สะบาย มากทีเดียว ผม..
อดนึกย้อน ไปเปรียบเทียบกับ หลายสิบปีก่อนไม่ได้ เมื่อครั้งสมัย ที่ยังมาตะลอนๆเดินข้ามเทือกเขาภูดอย ลูกแล้วลูกเล่า อย่างลำบากยากเย็น เพื่อมาสอนหนังสือเด็กน้อยๆแถวนี้ ผมสังเกตุว่าในขณะที่ถนนหนทางสะดวกสบายมากขึ้นในปัจจุบัน ภูเขาหัวโล้นก็มากขึ้นตามไปด้วย
ความสะดวกที่มีมาเหล่านี้ เพื่อชาวเขา หรือเพื่อชาวเมือง หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน บางทีผมเองก็ชักไม่แน่ ใจเหมือนกัน...ครับ
ดอยแม่อูคอ ขุนยวม แม่ฮ่องสอน, สอง มกราคม
.
.....................
หมายเหตุ ภาพนั้นเป็นภาพในช่วงที่ดอกบัวตองบานเต็มภูเขา เอามาลงให้ดูภาพงามๆเฉยๆ....ครับ
22 เมษายน 2552 20:33 น.
คนกุลา
.
เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตอนเที่ยง ฟ้าเริ่มมืดเมื่อเราออกจาก
ตัวเมืองนครสวรรค์..หลังทานข้าวมื้อเย็น ...นั่งรถฝ่าความมืดมาถึง
หมู่บ้าน ประมาณตีหนึ่งของวันรุ่งขึ้น บางคนในคณะที่ไปด้วยกันก็
เข้านอน..เพื่อพักผ่อนเอาแรง...
.
ผมพร้อมกับอีกบางคนซึ่งนอนมาในรถพอสมควรแล้วก็เลยนั่งผิงไฟ
กินกาแฟและคุยกันจนกระทั่งเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสว่างขึ้นได้มามองเห็น
สภาพบ้านเรือนโดยทั่วไปของหมู่บ้านแม่ทา เป็นหมู่บ้านชาวปาเกอะญอ
มีชาวบ้านอยู่อาศัยประมาณ ๑๕๐ หลังคาเรือน ส่วนชื่อหมู่บ้านนั้น
ตั้งตามชื่อลำน้ำทาที่ไหลผ่าน เท่าที่ถามดูคร่าวๆ ก็ ทราบว่าได้มีการ
ตั้งบ้านเรือนมาไม่น้อยกว่า ๗๐ ปี หลังจากนั่งคุยกันอยู่ที่ที่พักจน
ตกตอนบ่าย หลานๆ และน้องชวนไปเที่ยวบ้านขุนแม่ทา คำว่าขุน
น่าจะหมายถึงต้นน้ำ ดังนั้นบ้านขุนแม่ทา หมายถึงหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ที่
ต้นน้ำแม่ทานั่นเอง
.
การเดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าวมีวิธีเดียวคือการขับรถลงไปตาม
ลำน้ำแม่ทา ซึ่งหน้านี้มีน้ำไม่มากนัก ระยะทางอยู่ในราว ๑๐
กิโลเมตร ดังนั้นจึงไม่กล้าคิดเลยว่าในหน้าน้ำมากๆ ชาวบ้านจะ
เดินทางกันอย่างไร บ้านขุนแม่ทา มีบ้านเรือนอยู่ ประมาณ ๓๐ หลังคา
ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าปาเกอะญอ เช่นเดียวกัน
.
ขณะขับรถขึ้นไปสองฝั่งลำน้ำมีสภาพเป็นไร่ นา สลับกับป่าไม้ หลาน
ชายเล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านที่นี่พยายามรักษาต้นไม้ไว้ โดยเฉพาะ
บริเวณต้นน้ำหรือขุนน้ำ บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ราชการเข้ามาตัดไม้
โดยผิดกฎหมาย ก็จะถูกชาวบ้านล้อมจับ และแจ้งไปทางอำเภอ
ให้มารับตัวไปอีกทอดหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน เวลาที่ชาวบ้านใน
หมู่บ้านไปตัดไม้มาทำบ้านเรือน ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุม
เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงที่กำลังชักลากจากป่าเข้ามาในหมู่บ้าน
ก็ดูมีการถ่วงดุลย์กันดีนะ ผมเปรยขึ้นมาบ้าง ด้วยอคติเข้าข้าง
ชาวบ้านที่มักจะซ่อนไว้ไม่มิด
.
หลายชายคนที่ขับรถและเล่าเรื่องนี้ คือคนที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์
ในวันพรุ่งนี้กับเจ้าสาวชาวปาเกอะญอ เรือนหอผม ก็จ่ายค้าจ้าง
เลื่อยไม้ และจ้างลากไม้และค่าสร้างบ้าน รวมๆ แล้วตกสองแสนบาท
เขาเล่าอีก แต่ผมคะเนดูด้วยตาเบื้องต้นแล้วถ้าเป็นบ้านที่เราสร้าง
ในเมืองก็ตกไม่ต่ำกว่า สอง-สามล้านบาทขึ้นไป แม้จะไม่เห็นด้วย
กับการสร้างบ้านของเขานัก เพราะรู้สึกว่าจะเป็นการใช้ไม้มากเกิน
ความจำเป็น แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
.
บ้านของชาวบ้านที่นี่ โดยทั่วๆ ไปเป็นทั้งบ้านและร้านขายไม้ คือเป็น
บ้านที่เขาใช้พักอาศัยและทำกิจกรรมอื่นๆ เหมือนกับบ้านของเราๆ
ท่านๆ โดยทั่วไป แต่ตัวบ้านของเขามีหน้าที่อีกอย่างคือฝาและพื้นบ้าน
ใช้เป็นที่เก็บไม้สำหรับขายไปในตัว โดยเขาจะกั้นฝาและพื้นใน
ลักษณะชั่วคราว เพื่อความพร้อมที่จะงัดออกมาขายหากต้องการใช้เงิน
ในราคาตกแผ่นละ ๑๕๐ บาท และหลังจากนั้นก็กลับเข้าป่าไปเลื่อย
ไม้แผ่นจำนวนเท่าเดิมมาทดแทนไว้ดังเดิม ภายในเวลาไม่เกิน
สองสัปดาห์ พูดตรงๆ ก็คือชาวบ้านที่นี้มีอาชีพรับจ้างและเลื่อยไม้ขาย
.
บ้านของชาวบ้านโดยทั่วไปจะสร้างโดยไม้สักทั้งหลัง หรือไม่ก็ใช้ไม้สักเป็นเสา พื้นและไม้เครื่องแล้วกั้นด้วยไม้ไผ่สานเป็นฟาก ส่วนไม้แดง หรือไม้ที่เราเห็นเป็นไม้มีค่าอื่นๆ เช่นไม้ตะเคียนทอง เขาใช้ทำฟืนกัน แต่ก็นับว่ายังดีกว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ผมมาร่อนเร่อยู่แถวนี้ ซึ่งจำได้ว่าเขาใช้ไม้สักมาทำฟืนกัน ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวปาเกอะญอแล้ว ไม้ทุกต้นมีเจ้าของ การเป็นเจ้าของนี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในชุมชน แม้จะอยู่ในแปลงที่รัฐถือว่าเป็นที่ ป่าสงวน ก็ตามที ชาวบ้านที่นี่ก็เหมือนชาวเขาเผ่าอื่นๆ นอกจากมีการทำนาข้าวและปลูกกระเทียมซึ่งทำอย่างถาวรแล้วก็มีการทำไร่หมุนเวียน คือแต่ละครอบครัวจะมีที่จำนวน สี่-ห้าแปลงและทำไร่หมุนเวียนกันไปแปลงละหนึ่งปี จนครบปีที่สี่ ที่ ห้า ก็จะวนกลับมาสู่ที่เดิม นัยว่าจะเป็นการให้ที่ดินได้พักสาม สี่ ปี โดยถางและเผาต้นไม้ที่งอกขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นปุ๋ยให้ต้นพืชที่ปลูกต่อไป
.
ดูไปแล้วทัศนคติและความเชื่อหลายอย่างดูแปลกแปร่งสำหรับ คนในเมืองเช่นเราท่านทั้งหลาย ซึ่งนั่นก็ต้องนับรวมบรรดาท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ต้องรักษากฎหมายด้วย ความแตกต่างทางความคิด และความเชื่อเหล่านี้ นำไปสู่ความแปลกแยกและใช้กำลังจับกุมดังที่หลานได้กล่าวไปตอนต้น ดีที่ทั้งสองฝ่ายใช้กำลัง โดยที่อิงอยู่กับกฎหมาย โดยเฉพาะฝ่ายชาวบ้าน มิฉะนั้นก็อาจจะมีข้อหาการกระทำผิดอื่นๆ ตามมาอีกแน่นอน
ดีนะ ที่ที่นี่เป็นชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่ใช่ชายแดนสามจังหวัดภาคใต้ มิฉะนั้น ปัญหาคงจะไม่สามารถจบลงแบบง่ายๆ อย่างที่เป็นอยู่ก็ได้ ผมกล่าวขึ้นเบาๆ และอดที่จะคิดและกังวลใจอยู่เงียบๆไม่ได้
.
เพราะถ้าจะว่าไปแล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก คงเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นกระมังที่แตกต่างกัน และที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาอย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น
.
จากตัวอย่างเรื่องที่กล่าวมา ฝ่ายรัฐหรือแม้แต่เราเองมองว่าชาวบ้านกำลังใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า และทำลายต้นน้ำของแม่น้ำสำคัญๆ ในประเทศนี้ ขณะที่ชาวบ้านก็มองว่าเขาอยู่ที่นี่ ดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้มานับหลายชั่วอายุคน เจ้าหน้าที่ของเราต่างหากที่เข้าไปพยายามเปลี่ยนแปลงเขาโดยที่เขาไม่ยินยอม โดยที่เจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายอยู่ในมือ
.
เขาจึงสรุปว่าเจ้าหน้าที่ต่างหากที่ข่มเหงรังแกเขา อีกทั้งเจ้าหน้าที่หลายส่วนที่ทำผิดกฎหมายเสียเอง โดยที่เข้าไปตัดไม้เพื่อการค้าอย่างผิดกฎหมาย ความคิดและความเชื่อเหล่านี้ดูไปก็เหมือนเส้นขนานที่ยากจะหาจุดที่จะมาบรรจบกันได้อย่างลงตัว
.
เมื่อขับรถไปถึงบ้านขุนแม่ทา หลังจากทักทายชาวบ้านที่รู้จักแล้ว หลานชายก็พาเราไปดูโรงเรียน ซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน มีครูเพียงคนเดียวซึ่งต้องสอนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปด้วย ดูๆ ไปก็คล้ายกับหมู่บ้านในพื้นราบ ที่เป็นไปในลักษณะนี้เมื่อประมาณ ๔๐ ๕๐ ปีก่อน
.
ตอนขับรถขากลับลงมาตามทางเดิม ที่จริงน่าจะพูดว่าตามทางน้ำสายเดิมมากกว่า เราสวนกับชาวปาเกอะญอชายหญิงคู่หนึ่งอายุราวๆ ๒๔-๒๕ ปี อุ้มลูกน้อยอายุราวขวบกว่าเดินสวนขึ้นมา ลูกเขาไม่สบาย เขาพาลูกไปหาหมอที่ตลาดแม่ลาน้อย ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพิ่งกลับ หลานชายเล่าเบาๆ เขาต้องเดินจากจุดนี้ไปอีกครึ่งวัน จึงจะถึงบ้านเขา หลานชายเล่าต่อ อ้าวแล้วเมื่อคืนเขาพักที่ไหนละ ผมถามอย่างงงๆ ก็คงพักกับญาติในหมู่บ้านห้วยแม่ทามั๊ง หลานชายตอบแบบไม่มีอารมณ์อะไร ขณะที่สำหรับผมเมื่อเจอเรื่องพวกนี้ก็อดคิดถึงความไม่ยุติธรรม ในการรับบริการจากรัฐของคนยากคนจนไม่ได้สักที อารมณ์นี้นี่เองที่ทำให้ตัวเองต้องลำบากใจ บ่อยครั้ง
.
อ้อ เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านขุนแม่ทา หรอกเหรอ ผมถามขัดขึ้น อย่างแสดงความสนใจ
.
บ้านเขาอยู่ลึกเข้าไปในป่า เ ลยบ้านขุนแม่ทาเข้าไปอีก หลานชายขยายความเมื่อเห็นว่าเราอยากรู้
.
แวบหนึ่งของความรู้สึก อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงพวกเขาสามคนแม่ลูกที่สวนกันเมื่อสักครู่ เพราะตามมาตรฐานของเราแล้ว ชีวิตของเขาดูน่ารันทดในสายตาเราค่อนข้างมาก แต่ถ้ามาคิดให้ดี เขาเองก็อาจคิดรันทดต่อชีวิตของเราอยู่เช่นเดียวกันก็เป็นไปได้ ที่ต้องอยู่กับความจอมปลอมต่างๆ เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย หรือถ้าพูดให้ตรงที่สุดคือ ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ตัวตนของตนเอง ขอเพียงได้เป็นทาสของความทันสมัยและเทคโนโลยีที่ต้องซื้อหามาด้วยราคาแสนแพง
.
ผมนั่งคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ มาจน ใกล้ถึงหมู่บ้านแม่ทาราวๆ ๑-๒ กิโลเมตร จึงเอ่ยบอกหลานขึ้นว่า เดี๋ยวจอดส่งอาว์ที่นี่แหละ อาว์จะเดินเล่นสักพัก และเดี๋ยวจะเดินเข้าไปในหมู่บ้านเอง ผมบอกหลานชาย แต่จุดประสงค์ที่แท้ก็คือ ต้องการลงเดินก็เพราะเห็นมีก้อนหินสวยเรียงรายอยู่ในลำน้ำแม่ทาที่กำลังไหลเอื่อยริน จึงอยากเก็บเพื่อไปฝากเพื่อนคนหนึ่งที่รู้ว่าเธอชอบสะสมหินสวยๆ แวบแรกก็ไม่มั่นใจว่าเราจะเก็บก้อนหินไปฝากได้สวยถูกใจเธอหรือเปล่า แต่หลังจากเริ่มเลือกเก็บก้อนหินอยู่สักพักหนึ่ง ก็พบว่าตนเองเกิดความสุขสงบอย่างประหลาด เป็นความรู้สึกที่ยากจะเกิดขึ้นได้ในท่ามกลางความเร่งรีบของเมืองใหญ่ คิดแล้วก็รู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนั้น ที่แนะนำให้เราได้มาพบแง่มุมของความสงบเช่นนี้
.
จากการทบทวนเรื่องที่ผ่านเข้ามาในความคิดคำนึงในช่วงสองสามวันนี้ หรือว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเราทุกๆ คนก็กำลังใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อจุดมุ่งหมายส่วนตัวอยู่ด้วยกันโดยถ้วนทั่ว......จะต่างกันก็แต่ที่แต่ละคนก็มีเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการใช้ของตนเอง อาจจะไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน หากแต่เราแต่ละคนเคยหยุดคิดบ้างสักนิดไหมว่า เหตุผลของผู้อื่นที่กำลังทำในสิ่งที่แตกต่างและเราไม่เห็นด้วย จริงๆ นั้นคืออะไร และเขาทำเพราะอะไร ในขณะเดียวกันเราเองมีบ้างไหมที่กำลังทำสิ่งที่อยู่ในลักษณะที่แทบจะนับได้ว่าเป็นการกระทำในระนาบเดียวกันกับการกระทำของผู้อื่นที่เรากำลังประนามเขาอยู่
.
เพราะหากทุกคนทำได้ดังนั้นผมคิดว่า โลกเรานี้คงจะสงบและน่าอยู่ขึ้นอีกมาก หรือท่านละครับ...ว่าอย่างไร..กันบ้าง..เอ่ย
""""""""""""""""""""""
20 เมษายน 2552 10:58 น.
คนกุลา
.
กุลา ระหว่างเรียนกับงานคุณเลือกอย่างไหน..??? ประภพ ถามผม หลังจากที่เราทักทายกันเรียบร้อยแล้ว และนั่งลงคนละฟากของโต๊ะนั่งเอนกประสงค์ ที่บริเวณใต้ตึกนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในราวๆต้นปี 2519
เราทั้งสองเป็นสมาชิกของกลุ่มนักศึกษาที่จัดตั้งขึ้นและเรียกตัวเองว่า สหพันธ์นักศึกษาเสรี ผู้ริเริ่มและก่อตั้งคือ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล แต่ระยะหลังๆก็ถอยๆออกไปนัยว่าเพื่อให้รุ่นหลังๆขึ้นมารับผิดชอบแทน
สหพันธ์นักศึกษาเสรี จัดตั้งขึ้นเพื่อรวมกลุ่มนักศึกษาจากทุกมหาวิทยาลัย เพื่อทำงานกับกรรมกรในโรงงานและชาวนาในชนบท ในระยะแรกก็มีการทำงานการเคลื่อนไหวทั้งด้านกว้างและด้านลึกทั้งในเมืองและในชนบทผมเองนั้นรับผิดชอบการทำงานอยู่ใน อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ การทำงานที่นั่นก็เป็นการจัดตั้งและขยายการจัดตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย โดยอาศัยการรวมตัวกันคัดค้านการสร้างเขื่อนชีบน เป็นสาระในการให้การศึกษาและปลุกระดมให้เข้าใจปัญหาเฉพาะหน้าของพวกเขา และเมื่อชาวนาได้ลุกขึ้นมากล้าต่อสู้กับอำนาจรัฐในปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว จึงมีการจัดกลุ่มให้การศึกษาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พวกเขาจัดตั้งกันเป็นขบวนการชาวนาที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้ทางการเมืองละชนชั้นต่อไป
ในปลายปี 2518 เมื่อการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างทั้งสองฝ่าย ซ้ายและขวา สังคมนิยม และเผด็จการ เริ่มเข้มข้นขึ้น การข่มขู่คุกคามจากฝ่ายอำนาจรัฐ และมวลชนจัดตั้งของกองกำลังฝ่ายขวาจัดก็ค่อนข้างแรงขึ้น พวกเราเองซึ่งถูกจัดอยู่ในฝ่ายซ้ายก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้โดยตรง เพราะที่ตั้งของสหพันธ์นักศึกษาเสรีตอนนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราจะต้องมาประชุมกันแทบจะทุกเดือน เพื่อประชุมร่วมกับสมาชิกที่ทำงานอยู่ในจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ เช่นอุดรธานี พิษณุโลก รวมทั้งกลุ่มที่ทำงานอยู่ตามโรงงาน หลังจากประชุมเสร็จก็จะแยกย้ายกลับไปทำงานที่รับผิดชอบอยู่กันตามปกติต่อไป สำหรับพวกผมก็ต้องกลับเข้าไปทำงานเกาะติดกันอยู่ในหมู่บ้านในอำเภอหนองบัวแดง ชัยภูมิ ดังที่เล่ามาข้างต้น แต่การเข้าหมู่บ้านพวกเราพักหลังๆมักจะถูกดักกลุ้มรุมทำร้ายกันซึ่งหน้าเมื่อลงรถที่ตัวอำเภอ จากบุคคลที่เป็น อส. ซึ่งเป็นกำลังติดอาวุธของทางการในระดับอำเภอในยุคนั้น จนพวกเราไม่สามารถเข้าออกหมู่บ้านได้อีกเลย
.
ในระยะต้นปี 2519 จึงมีการตัดสินใจถอนกำลังทั้งหมดกลับเข้าเมือง และเตรียมการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ในเขตุป่าเขา ต่อไป ผมทราบว่าสหพันธ์นักศึกษาเสรีได้มีการส่งคนบุกขึ้นไปเจรจากับฝ่ายนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย บริเวณเทือกเขารอยต่อสามจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์และเลย เพื่อให้ส่งคนมานำการต่อสู้ต่อไป เพราะพวกเราทั้งหมดทั้งที่เป็นนักศึกษาและกรรมกร ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตป่าเขาเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องนี้ผมมาทราบภายหลังว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้ตัดสินใจเปิดเขตุการต่อสู้เขตุนี้เป็นพิเศษ โดยส่งกำลังมาเพียงสามคน แต่ให้กำลังส่วนใหญ่ที่จะทำงานต่อไปเป็นกลุ่มสหพันธ์นักศึกษาเสรี ที่ทำงานอยู่เดิมเป็นกำลังสำคัญ และคำถามของคุณประภพ ที่ถามผมนั้นคือภาพต่อขยาย จากการที่สหพันธ์นักศึกษาเสรีได้ตัดสินใจต่อสู้ด้วยอาวุธ ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่กล่าวมานั่นเอง
เราต้องการคนจำนวนหนึ่งไปทำงานฝังตัวแบบปิดลับ ในหมู่บ้านรอบภูเขียว ไปอยู่ในหมู่บ้านไม่ต้องเข้าป่า...ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านไปก่อน!!! ประภพ กล่าวทิ้งท้าย ด้วยเสียงเข้มๆ
ก็พวกเราสอนอยู่เสมอ ไม่ใช่เหรอว่า ให้ส่วนตัว ขึ้นกับส่วนรวม ผมกล่าวตอบไป หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ด้วยน้ำเสียงแบบที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก
ตกลงว่าคุณเลือกงาน ใช่ใหม..??? ประภพ ถามรุกย้ำ มาอีก เพื่อความมั่นใจ
ครับ..!!! ผมย้ำคำตอบเดิม
เรามีเวลาให้คุณ สองสัปดาห์ เพื่อจัดการเคลียร์เรื่องส่วนตัวทุกอย่าง ให้เรียบร้อย แล้วเรามานัดพบกับอีกครั้ง เพื่อรับมอบภารกิจที่จะต้องทำประภพสรุป
.
เรา..ผมและประภพ เด็กหนุ่มสองคนในวัยที่ห่างจากการครบเบญจเพสอีกหลายปี จบการสนทนาลงและแยกย้ายกัน เพียงแค่นั้น เพื่อเตรียมตัวไปรับภาระที่หนักอึ้ง สำหรับเด็กหนุ่มวัยเพียงแค่นั้น ภาระในการต่อสู้เพื่อปฏิวัติประเทศไทย
อยากกอบดาวราวดวงในห้วงฟ้า
เก็บเอามาเรียงร้อยเป็นสร้อยขวัญ
แล้วเก็บแสงแรงกล้าแห่งตาวัน
ล้อมด้วยจันทร์เพ็ญพร่างกลางสายลม
.
บางเหตุการณ์เลยผ่านไม่นานนัก
ยังทอถักใยฝันไม่ทันสม
ปล่อยหัวใจไหวว่างอย่างตรอมตรม
เงียบระงมมาทวนซ้ำ..เหยียบย้ำรอย
.
ผมและเขาและผู้คนอีกจำนวนมาก ได้เข้าร่วมภาระกิจการต่อสู้ด้วยอาวุธที่ต้องเสียเลือดเนื้อของพี่น้องคนไทยทั้งสองฝ่าย เป็นเวลาต่อมาอีกหลายๆปี เคยมีคนถามผมว่า เมื่อโตขึ้นมาขนาดนี้ หากผมเลือกได้ผมจะตัดสินใจแบบนั้นอีกหรือไม่ ผมมักตอบว่าด้วยสถานการณ์แบบนั้น เมืองการปกครองแบบนั้น การคุกคามทำร้ายแบบนั้น ผมคงเลือกตัดสินใจเป็นอย่างอื่นได้ยาก และชีวิตเราทุกคนบางครั้งการตัดสินใจ เลือกทางเดินชีวิตที่มีผลต่อเนื่องกับชีวิตทั้งชีวิตของเรา ก็มักจะเกิดขึ้นในวัยก่อนเบญจเพส ทั้งนั้น ใช่หรือ..ไม่..???
ด้วยวัยและวุฒิภาวะ ที่ยังไม่พร้อม กับการตัดสินใจขนาดนั้น แต่ต้องอย่าลืมว่า คนในวัยนั้น ขนาดของหัวใจ ของเขามักจะใหญ่เกินกว่า วัยและวุฒิภาวะ อย่างแทบจะเทียบกันไม่ได้
ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพราะเมื่อวานผมนั่งคุยกับน้องๆเรื่องปัญหาในภาคใต้ และการปลุกระดมเยาวชนหนุ่มสาวให้เข้าไปต่อสู้ด้วยอาวุธ ในป่าเขา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมีความเหมือนกันอย่างยิ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
หรือแท้ที่จริงแล้วสังคมไทยไม่ได้โตขึ้นเลย ทางการเมือง.เพราะสถานการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้ เหมือนย้ำกับผมว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลง.ไปนั้น เป็นเพียงแค่สถานที่ ผู้คน และวันเวลา เท่านั้น แต่สาระของปัญหานั้นแทบจะยังคงเหมือนเดิม..
..