24 พฤศจิกายน 2552 15:56 น.
คนกุลา
การชิงสัมผัส บางท่านเรียก สัมผัสสะท้อน บางท่านเรียก สัมผัสแย่ง ซึ่งตามที่ผม ตรวจ
ดูแล้ว ก็เป็นลักษณะเดียวกัน โดย Yimwhan นั้นออกความเห็นไว้ดังนี้ ว่า
การชิงสัมผัส....เป็นเรื่องของคำส่งคือคำที่แปดหรือเก้าของวรรค ที่จะส่งเสียงไปสัมผัส
กับวรรคถัดไป ดังนั้นถ้าคำส่ง(คำที่แปดหรือเก้า) เป็นเสียงใด คำก่อนหน้านั้นทั้งเจ็ดหรือแปดคำ
จะมีเสียงเดียวกับคำส่งย่อมจะเป็นชิงสัมผัสเสียงของวรรคเสมอนะครับ ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะ
ทำให้ความไพเราะของกลอนลดลงไป
สำหรับ ม้าก้านกล้วย เรียกข้อห้ามชนิดนี้ ว่า สัมผัสสะท้อนคำ โดยยกตัวอย่างจาก
บทกลอนว่า ใจ ของวรรคส่ง ในท่อนที่แล้ว จะต้องส่งมาสัมผัสกับ ตำแหน่งท้าย ของวรรครับ
(คำว่า ใหม่) แต่ วรรคนี้ มีคำว่า ให้ มาสะท้อนสัมผัสเสียก่อน
....จนไม้โศกสิ้นร่างลงกลางป่า
ด้วยหนักเหลือภาระจึงสูญสิ้น
ไม่อาจหาอาหารพอต่อชีวิน
เพราะกาฝากฝากกากินจนสิ้น(ใจ)
....กาฝากยังชูช่อต่อสายพันธุ์
(ให้)กานั้นกินลูกไปปลูก(ใหม่)
ไม่มีแม้คำอำลาคำอาลัย
ต้นไม้ใหญ่ที่ตายไป เพราะใครเอย
สำหรับ บุญเสริม แก้วพรหม นั้นเรียกสัมผัสแบบนี้ว่า สัมผัสแย่ง และอธิบายว่า
หมายถึง การมีเสียงคำอื่นในวรรคเดียวกันมารับสัมผัสเสียก่อนที่จะถึงคำที่อยู่ในตำแหน่ง
รับสัมผัสตามที่กำหนดไว้ในลักษณะบังคับ (เรียกว่า แย่งสัมผัส หรือ ชิงสัมผัส ก็มี) เช่น
หวังประเทศลุกฟื้นคืนจากภัย
(ไม่) กลัว (ใคร) มากลุ้มรุมข่มเหง
ถึงวัง (เวง) แต่ใจไม่กลัวเกรง
ถึงมาเบ่งจะสู้ให้รู้กัน
ข้อบกพร่อง คือ
ไม่ มาแย่งสัมผัสเสียก่อนคำว่า ใคร ซึ่งเป็นตำแหน่งบังคับ
เวง มาแย่งสัมผัสเสียก่อนคำว่า เกรง ซึ่งเป็นตำแหน่งบังคับ
กิตติกานต์ จาก บ้านกลอนไทย ก็มีความเห็นไว้ดังนี้
กิตติกานต์เคยถูกติงเรื่อง>>>การชิงสัมผัส เช่น
...บนถนนสายนี้คลุกคลีฝุ่น
แต่เคยคุ้นชินชามาแต่หลัง
(ทั้ง) รักโลภ โกรธหลงปนชิง(ชัง)
ระไวระวังยังพลั้งพลาดแทบขาดใจ
เธอบอกว่า ในบทนี้ สังเกตที่วรรครับ คำสุดท้าย หลัง
ต้องสัมผัสกับ ชัง
แต่ก่อนจะถึงคำรับสัมผัสที่ ชัง
ก่อนชัง ในวรรคเดียวกัน
มีคำที่ใช้สระเดียวกัน คือคำว่า ทั้ง
ทั้ง จึงเป็นการชิงสัมผัสค่ะ
สำหรับ วาสนา บุญสม ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของกลอน ได้เขียนเสนอเรื่องเทคนิค
การเขียนกลอนบางประการ ไว้ในหนังสือ กลอนสัมผัสใจได้อย่างไร โดยบุคคลท่านนี้ได้
เสนอแนะแนวทางเรื่องการเขียนกลอนที่ถูกต้อง และการเลือกสรรคำที่ใช้ในการเขียนกลอนหลาย
แง่มุมด้วยกัน ในส่วนเรื่อง สัมผัสเลือน นั้น ท่านเสนอความรู้และความคิดเรื่องวิธีการชิงสัมผัส
และสัมผัสเลือน ไว้ดังนี้
ในการแต่งกลอนแต่ละวรรคไม่ใช้สระเสียงเดียวกันในตำแหน่งคำที่ ๓ กับคำที่ ๘ เพราะ
จะทำให้เกิดการใช้สระเดียวกันในวรรคเดียวกันมากมายเกินไป หรือเป็นการรับสัมผัสที่พร่ำเพรื่อ
จนด้อยความไพเราะและความสมดุล ดังกลอนตัวอย่างที่แสดงถึงความบกพร่องในการใช้คำของ
กลอนแต่ละวรรค ดังต่อไปนี้
ห้วงลึกลมหายใจ
นายทุน (จาก) ญี่ปุ่นลงทุน (มาก) เที่ยวออกปากสร้างโรงงานกว้านซื้อที่
ราวดอกเห็ดล้อมเมืองรุ่งเรืองดี แต่ยายนี้ทอดถอนใจพึ่งใครเอย
ศิลปินอย่างฉัน
ทุกข์วิบากยากจนทางชนชั้น ศิลปิน(ไทย) อย่างฉันย่อมหวั่น (ไหว)
ยามฉัน (ใด) ฉันจนใครสน (ใจ) จะหันหน้าพึ่งใครไม่มีเลย
อิจฉาริษยา
คนอิจ (ฉา) ตาร้อนชอบค่อน(ว่า) มีจิต(ใจ) ไร้เมตตามากสา (ไถย)
ส่อนิ(สัย)อันธพาลคิดจัญ(ไร) ริษ(ยา)เรื่อยไปในทุก(ครา)
ในกลอนบทหลังสุดนี้จะเห็นว่ามีสัมผัสเลือนและชิงสัมผัสทั้ง ๔วรรค ได้แก่วรรคที่ ๑,๒,
๓ และ ๔(ในส่วนที่เน้นตัวอักษรในวงเล็บไว้)
แต่ตามความเห็นผมนั้นเรื่องของ วาสนา บุญสม ที่ผมยกมา น่าจะเป็นการผสมผสานระหว่างสัมผัสเลือนและการชิงสัมผัส หรือ สัมผัสแย่ง ในรูปหนึ่งด้วย นะครับ ผิดถูกอย่างไร ผู้รู้ช่วยกันออกความเห็น ช่วยกันด้วยนะครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสเลือน ชิงสัมผัส หรือผสมผสาน
ทั้งสองอย่าง ก็เป็นสัมผัสที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะเป็นการทำให้บทกลอนสะดุด หรือสัมผัสเลอะเลือนขาดความไพเราะด้วยกันทั้งสิ้น
ส่วน ประเด็นของการชิงสัมผัสโดยตรงนั้น คือทำให้จังหวะกลอนสะดุด หยุดชะงัก ทำให้ความไพเราะลดลง จึงไม่เป็นที่นิยม
คนกุลา
ในเหมันต์
ขอบคุณ กาลเวลา, บุญสม แก้วพรม, Anna_Hawkins, ช่อประยงค์ (หรือ ประยงค์ อนันทวงศ์),
วาสนา บุญสม, Yimwhan, ม้าก้านกล้วย และ ครูไท ที่ได้มีการค้นคว้าเรียบเรียงเรื่องเหล่านี้ไว้
ให้ได้ไปสืบค้นเพื่อศึกษากัน
24 พฤศจิกายน 2552 14:44 น.
คนกุลา
วันนี้ ผม อยากรู้และอยากคุยด้วยเรื่องสัมผัสเลือน จึงได้ไป ค้นหาอ่านดูจากผู้รู้หลายท่าน ดังนี้
Yimwhan เขาว่าไว้ดังนี้ ครับว่า
เรื่องสัมผัสเลือน เป็นสัมผัสในที่วางไว้ไม่ถูกตำแหน่งที่กำหนด ทำให้เสียงเลือนไปอยู่ตำแหน่งอื่น เช่น
1 2 (3) (4) ((5)) 6 ((7)) 8
ตำแหน่งสัมผัสในจะมีสองคู่ คู่แรกคำที่ 3 และ 4 คู่ที่สองคือคำที่ 5 และ 7
สัมผัสเลือนมักเกิดกับสัมผัสในคู่แรก สัมผัสเลือนเกิดจากคำที่น่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ 4 กลับไปอยู่ในคำที่5 (กรณีมีแปดคำ) เสียงที่ลงหนักจะอยู่คำที่สามโดยปกติ เมื่อเป็นสัมผัสเลือนเสียงจะเลื่อนไปในคำที่ 5 แทน
เช่น
หากพูดไป กลัวใจ นี้คอยเก้อ.....คำว่า ใจ เป็นสัมผัสเลือนมีเสียงเดียวกันกับคำว่า ไป
แต่อยู่ผิดตำแหน่งสัมผัส ทำให้เสียงเลื่อนหรือเลือนไป
Anna_Hawkins เขียนโดยอ้างจากหนังสือ กลอน และวิธีการเขียนกลอน เขียนโดย ช่อประยงค์ (หรือ ประยงค์ อนันทวงศ์) ว่า
สัมผัสเลือน หมายถึงสัมผัสที่อยู่ใกล้กันหลายคำ จนทำให้เลอะเลือนไปหมด เช่น
โอ้เจ้าพวงบุปผามณฑาทิพย์ สูงลิบลิบเหลือหยิบถึงตะลึงแหงน
หรือ แม้เธอเป็นดอกฟ้าน่าถนอม เหล่าชายล้อมอยู่พร้อมพรั่งดังฝูงผึ้ง
คำว่า ลิบลิบ กับ หยิบ และ ล้อม กับ พร้อม เป็นสัมผัสรับได้ทั้งนั้น ก็คือทำให้สัมผัส เลือน ไป บางท่านก็ว่า สัมผัสเลือน หมายถึง การสัมผัสคำที่ 3 และ 5 ในวรรครับและส่ง
โดย Anna วิจารณ์ต่อประเด็นนี้ว่า ถึงแม้ว่าวรรครับและส่งจะมีสัมผัสรับได้ตั้งแต่คำที่ 1 2 3 4 5 6 แต่สัมผัสจะเพราะที่สุดคือคำที่ 3 หรืออนุโลมว่า 5
แต่กลอนที่ยกตัวอย่างมา วรรคหนึ่งมี 9 คำ หรือท่อนตรงกลางมี 3 คำ เช่นที่ยกตัวอย่างมา สูงลิบลิบ เหลือหยิบถึง ตะลึงแหงน สัมผัสที่ดีสุดจะอยู่ตรงคำที่ 3 การที่ให้คำที่ 5 สัมผัสด้วยจะไม่เพราะ น่าจะให้คำที่ 6 สัมผัส
ทีนี้คำที่ 3 และ 5 เกิดมาสัมผัสพร้อมกัน เลยกลายเป็นสับสนแทนว่าตกลงจะอ่านอย่างไร อาจอ่านเพี้ยนเป็นว่า สูงลิบลิบ เหลือหยิบ ถึงตะลึงแหงน ก็ไม่ได้รสกันพอดี สัมผัสเลือนก็เลยไม่พึงปรารถนา Anna ว่าไว้ดังนี้
ส่วน กิตติกานต์ บอกว่าในความเห็น ที่เขียนในสัมผัส ซ้ำ-ซ้อนของผมว่า เธอเคยถูกติงเรื่อง
สัมผัสเลือน ว่า>>> สัมผัสเลือน ซึ่งเป็นจังหวะตกของเสียงอ่าน ๓/๒/๓ หรือ ๓ /๓/๓ โดยยกตัวอย่างประกอบว่า
...พักเถิดหนาดวงใจให้หายล้า
ค่อยฟันฝ่าโลกกว้างทางฝันใฝ่
มหานทีลึกล้ำหากข้ามไป
อาจจมได้/หากไม่/ระวังตน
เธอขยายความ ว่า ในบทนี้ วรรคส่ง
ที่คำว่า ไม่ จะนับว่าทำให้สัมผัสเลือน
เพราะเป็นจังหวะตกของเสียงอ่าน
๓/๒/๓
ส่วน บุญเสริม แก้วพรหม กล่าวว่า สัมผัสเลือน หมายถึง การรับ-ส่งสัมผัสระหว่างวรรคที่ ๑ กับ วรรคที่ ๒ และวรรคที่ ๓ กับ วรรคที่ ๔ กำหนดว่า ให้คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคำที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๒ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับคำที่ ๓ หรือ ๕ ของวรรคที่ ๔ ใช้คำว่า หรือ เพื่อให้เลือกสัมผัสในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเพียงที่เดียว ดังนั้นถ้ารับสัมผัสทั้งในคำที่ ๓ และคำที่ ๕ ไปพร้อมกัน จึงเป็นการสัมผัสเลือน และทำให้กลอน
ขาดความไพเราะ เช่น
ในคืนที่เจิดแจ้งด้วยแสงดาว
นวลสีพราวห้วงหาวราวสวรรค์
คิดถึงคนจากไกลใจผูกพัน
เพียงรอวันเธอนั้นผันกลับคืน
ข้อบกพร่อง คือ
ดาว ส่ง-รับสัมผัสทั้ง พราว และ หาว
พัน ส่ง-รับสัมผัสทั้ง วัน และ นั้น
จากการศึกษาดู ผมพบว่า สัมผัสเลือน นั้น เป็นสัมผัสที่ไม่เป็นที่นิยม เพราะเมื่อคำสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสนอก ที่รับ-ส่งมา แทนที่จะสัมผัสในคำที่ใน คำที่ 3 หรือ 5 ของวรรค รับ และวรรค ส่ง กลายเป็นสัมผัสในคำอื่นแทนหรือเป็นสัมผัสใน ไม่ตรงตามตำแหน่งที่กำหนด ที่ตำแหน่ง 3 สัมผัส กับ 4 และ 5 สัมผัส กับ 7 ทำให้จังหวะคำ เสียจังหวะไป ทำให้ความไพเราะของกลอนลดลง
อีกกรณีหนึ่งนักกลอนบางท่าน แม้แต่ตัวผมเองบางครั้งคำนึงถึงสัมผัสในมากไป จนมีการเขียนซ้ำคำ จนกระทั่งคำซ้ำที่ให้เกิดการสัมผัสนั้น เลือนไปจากตำแหน่ง ที่เหมาะสม เลยกลายเป็นสัมผัสเลือน ที่ขาดความไพเราะไปเสียนี่
ก็ลองออกความเห็นแลกเปลี่ยนกันดูนะครับ
คนกุลา
ในเหมันต์
ขอขอบคุณ กาลเวลา, บุญสม แก้วพรม, Anna_Hawkins, ช่อประยงค์ (หรือ ประยงค์ อนันทวงศ์), วาสนา บุญสม, ม้าก้านกล้วย และ ครูไท ที่ได้มีการค้นคว้าเรียบเรียงเรื่องเหล่านี้ไว้ให้ได้ไปสืบค้นเพื่อศึกษากัน
24 พฤศจิกายน 2552 11:55 น.
คนกุลา
จากการที่ได้เขียนเรื่องสัมผัส ซ้ำ-ซ้อน ขึ้นเพราะความสนใจใคร่รู้แล้ว ทำให้ผมสนใจที่จะค้นคว้าต่อ เกี่ยวกับการเขียน กลอนแปด หรือ กลอนสุภาพ โดยเริ่ม จากจับประเด็นเรื่อง ของสัมผัส เป็นจุดเริ่ม ขอออกตัวเสียก่อนนะครับ ว่าไม่ใช่ผู้รู้ แต่อยากเรียน และหากใครสนใจจะแลกเปลี่ยนและติติง ก็ขอเชิญชวนนะครับ วัตถุประสงค์อีกอย่าง ก็เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้เขียนกลอนใหม่ และสำหรับท่านที่เขียนช่ำชองอยู่แล้ว ก็ถือเป็นการทบทวน และแลกเปลี่ยนพัฒนากันให้ดียิ่งๆขึ้นไปนะครับ
ตัวอย่าง
กลอนสุภาพแปดคำประจำบ่อน อ่านทุกตอนสามวรรคประจักษ์แถลง
ตอนต้นสามตอนสองสองแสดง ตอนสามแจ้งสามคำครบจำนวน
มีกำหนดบทระยะกะสัมผัส ให้ฟาดฟัดชัดความตามกระสวน
วางจังหวะกะทำนองต้องกระบวน จึงจะชวนฟังเสนาะเพราะจับใจ ฯ
หลักเกณฑ์ทั่วไป-ฉันทลักษณ์ ในการเขียนกลอนแปดนั้นมีดังนี้
๑ . ในหนึ่งบทนั้นจะมี 4 วรรค
วรรคแรกเรียกว่า วรรคสดับ
วรรคที่สองเรียกว่า วรรครับ
วรรคที่สามเรียกว่า วรรครอง
วรรคที่สี่ เรียกว่า วรรคส่ง
คำสุดท้ายของวรรคแรก ควร เป็นเสียงสูง กลางหรือต่ำ เว้นไว้แต่เสียงสามัญห้ามใช้
คำสุดท้ายของวรรคที่สอง ควร เป็นเสียง สูง เสียงเดียว
คำสุดท้ายของวรรคที่สาม ควร เป็นเสียงกลางหรือต่ำ
คำสุดท้ายของวรรคที่สี่ ควรเป็นเสียงเสียงกลางหรือต่ำเท่านั้น(ห้ามเป็นเป็นเสียงต่ำคำตาย)
๒. ในวรรคหนึ่ง ๆ มีอยู่ ๘ คำ จะใช้คำเกินกว่ากำหนดได้บ้าง แต่ต้องเป็นคำที่ประกอบด้วยเสียงสั้น
๓. การส่งสัมผัส คำที่ ๘ ของวรรคแรก สัมผัสกับคำที่ ๓ หรือคำที่ ๕ ของวรรคที่สอง คำที่ ๘ ของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำที่ ๘ ของวรรคที่ ๓
คำ ที่ ๘ ของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับคำที่ ๓ หรือที่ ๕ ของวรรคที่ ๔ และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของบทต่อไป
๔. วรรคสดับ หรือวรรคแรก คำสุดท้ายใช้คำเต้น คือ เว้นคำสามัญใช้ได้หมด แต่ถ้าจำเป็นจะใช้เป็นเสียงสามัญก็อนุญาตให้ใช้ได้บ้าง แต่อย่าบ่อยนักพยายามหลีกเลี่ยง
๕. วรรครับ หรือวรรคสอง คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงจัตวา ส่วน เอก โท ตรี ได้บ้าง ห้ามเด็ดขาดคือ เสียงสามัญ
๖. วรรครอง หรือวรรคสาม คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงสามัญ ไม่นิยมใช้เสียงจัตวา หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์
๗. วรรคส่งหรือวรรคสี่ คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงสามัญ ห้ามใช้คำตายและไม่นิยมใช้คำที่มีรูปวรรณยุกต์
๘. คำที่ ๓ ของวรรครองและวรรคส่ง ใช้ได้ทุกเสียง
๙. นิยมสัมผัสในระหว่างคำที่ ๕-๖-๗ ของทุก ๆ วรรค
๑๐. นิยมสัมผัสชิดในระหว่างคำที่ ๓-๔ ของวรรคสดับและวรรครอง
๑๑. อย่าให้มีสัมผัสเลือน, สัมผัสซ้ำ, สัมผัสซ้อน, สัมผัสเกิน, สัมผัสแย่ง, สัมผัสเผลอ, และสัมผัสเพี้ยน
สัมผัสประเภทต่างๆในกลอนแปด
@ กลอนแปดจะมีทั้งสัมผัสนอกและสัมผัสใน จึงจะไพเราะ แต่สัมผัสในไม่ได้บังคับว่า จะต้องมี แต่ถ้ามีจะทำให้กลอนไพเราะอีกมาก บางครั้งจะเห็นว่า กลอนบางบทไม่มีสัมผัสในแต่ไพเราะได้เช่นกัน เพราะอาศัยจังหวะและน้ำหนักของคำ ซึ่งในโอกาสต่อๆไปหากมีเวลา ผมจะเขียนถึงเรื่องนี้ แต่วันนี้มาว่าเรื่องสัมผัสก่อน
๑) สัมผัสนอก คือ สัมผัสบังคับของบทร้อยกรองทุกชนิด ได้แก่ สัมผัสที่ส่งและรับกันระหว่างวรรค ระหว่างบาท และระหว่างบท ตามลักษณะบังคับของบทร้อยกรองแต่ละชนิด คำที่ใช้เป็นสัมผัสนอกต้องเป็นคำที่สัมผัสสระเท่านั้น
สัมผัสนอก เป็น สัมผัสบังคับ
คือ สัมผัสระหว่างวรรค ระหว่างบท เป็นสัมผัสบังคับ ในตำแหน่งที่กำหนดของบทร้อยกรองแต่ละชนิด ซึ่งกำหนดไว้เป็นการเฉพาะตามแผนผังบังคับ สัมผัสนอกใช้เฉพาะสัมผัสสระเท่านั้น
นอกจากนั้นในกรณีที่มีคำว่า หรือ หมายถึงให้เลือกสัมผัสในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเพียงทีเดียวเท่านั้น
" สัมผัสนอก " มีลักษณะดังนี้
1 2 3 4 5 6 7 8..............1 2 3 4 5 6 7 8
1 2 3 4 5 6 7 8..............1 2 3 4 5 6 7 8
- คำสุดท้ายของวรรคแรก จะต้องสัมผัสเสียงกับ คำที่สามหรือห้า ของวรรคสอง
- คำสุดท้ายของวรรคที่สอง จะต้องสัมผัสเสียงกับคำสุดท้ายของวรรคที่สี่
- คำสุดท้ายของวรรคที่สอง จะต้องสัมผัสเสียงกับคำที่สามหรือห้า ของวรรคที่สี่ด้วย
สำหรับสัมผัสสระหว่างบท (กรณีมีมากกว่าหนึ่งบท)
คำสุดท้ายของวรรคที่สี่ของบท " แรก "
จะต้องสัมผัสเสียงกับคำท้ายของวรรคสองของบทถัดมา
การหาเสียงว่าคำใดเป็นเสียง สูง กลาง หรือ ต่ำ สามารถเอาคำนั้นๆเข้าไปเทียบเสียงกับการผันพยัญชนะเสียงกลาง ดังนี้ กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า เช่นคำว่า ค้า.......เทียบดังนี้ คา ค่า ค้า ค๊า........คำว่า ค้ารูปเป็นเสียงโทแต่เสียงนั้นเป็น เสียงตรี ตรงเสียงสระ ถ้าเป็น กา ก่า จัดเป็นเสียงต่ำส่วนเสียงสูงคือ ก๋า นอกนั้นจัดได้เป็นเสียงกลาง
๒) สัมผัสใน คือ สัมผัสที่ส่งและรับสัมผัสกันภายในวรรคเดียวกัน เป็นสัมผัสที่ไม่บังคับ สัมผัสในเป็นสัมผัสที่จะทำให้บทร้อยกรองนั้นไพเราะยิ่งขึ้น คำที่ใช้เป็นสัมผัสใน จะเป็นคำที่สัมผัสสระหรือสัมผัสอักษร ก็ได้ สัมผัสใน โดยทั่วไปไม่ได้บังคับว่าจะต้องมีหรือไม่ แต่ถ้าหากมีจะทำให้กลอนไพเราะมากยิ่งขึ้นแต่ถ้าไม่มีก็สามารถทำให้กลอนไพเราะได้เช่นกัน ถ้าแต่งให้สละสลวย
1 2 (3) (4) ((5)) 6 ((7)) (((8))
สัมผัสในจะมีสองคู่ๆแรกคือคำที่สามและสี่ คู่ที่สองคือคำที่ห้าและเจ็ด ของวรรคสัมผัสนั้นเป็นการสัมผัสเสียง ส่วนคำที่แปดคือคำส่งสัมผัส
- ส่วนกรณีที่วรรคหนึ่งมีเก้าคำกลอน สัมผัสในจะมีลักษณะดังนี้
1 2 (3) (4) 5 ((6)) 7 ((8) (((9)))
จะเห็นได้ว่าสัมผัสในคู่ที่สองจะเปลี่ยนไปเป็นคำที่หกและแปด ส่วนคำที่เก้าเป็นคำเสียงส่งของวรรคไปสู่วรรคต่อไปเท่านั้น
ในการดูตัวอย่างสัมผัสใน ขอยกตัวอย่างกลอนของสุนทรภู่ว่าสัมผัสอย่างไรกัน
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้นเกิดในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้ท่านจะไม่ได้ใช้เช่นนี้ทุกวรรค แต่สังเกตว่าท่านพยายามให้ลงแบบนี้ สรุปได้ว่า คำที่ 3 สัมผัสคำที่ 4 และคำที่ 5 สัมผัสคำที่ 7 (จะสัมผัสสระหรืออักษรก็ได้) ก็ฟังดูไพเราะ อันนี้แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว จนบางคนว่าเห็นกลอนก็รู้ได้ว่าใครแต่ง เป็นต้น
บางคนมัวแต่คิดจะเล่นสัมผัสใน จนบางทีเกิดปัญหาสัมผัสไม่พึงปรารถนาขึ้น สัมผัสเหล่านี้ ช่อประยงค์ เขียนไว้ จะมี สัมผัสเลือน สัมผัสซ้ำ สัมผัสเกิน สัมผัสแย่ง สัมผัสเผลอ และสัมผัสเพี้ยน ซึ่งผมได้เขียนเรื่อง สัมผัสซ้ำ-ซ้อนไปแล้ว ส่วนสัมผัสผิดพลาด หรือสัมผัสที่ไม่นิยมใช่กันอย่างอื่น ผมจะทยอยเขียนเรียบเรียงไปตามกำลังที่มีนะครับ
ที่เรียบเรียงมานี่ ก็จากการไปอ่านและค้นคว้ามาจากท่านผู้รู้ หากท่านใดรู้ในบางแง่มุมจากนี้ ช่วยเพิ่มเติม วิพากษ์ วิจารณ์ ด้วยนะครับ เพราะฉันทลักษณ์ เหล่านี้เป็นเพียงพื้นฐาน แต่การใช้ลูกเล่นที่เป็นความเชี่ยวชาญ หรือเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัวนั้น ก็เป็นเรื่องของเฉพาะบุคคลอยู่แล้ว นะครับ
คุณกุลา
ในเหมันต์
ขอบคุณ กาลเวลา, บุญสม แก้วพรม, Anna_Hawkins, ช่อประยงค์ (หรือ ประยงค์ อนันทวงศ์), วาสนา บุญสม, ม้าก้านกล้วย และ ครูไท ที่ได้มีการค้นคว้าเรียบเรียงเรื่องเหล่านี้ไว้ให้ได้ไปสืบค้นเพื่อศึกษากัน
23 พฤศจิกายน 2552 12:05 น.
คนกุลา
สัมผัสซ้ำ-ซ้อน
ผมเองตั้งแต่เขียนกลอนมา ก็เคยได้ยินเรื่องสัมผัส ซ้ำ สัมผัสซ้อน แต่ก็ไม่ได้ค้นคว้าจริง จังนัก จนกระทั่ง ท่านพี่แก้วประเสริฐ ติงเรื่องนี้ ขึ้น ด้วยความอยากรู้จึงไปลองหาอ่าน ค้นคว้าเรื่อง สัมผัสซ้ำ สัมผัสซ้อน ตามสำนวน ของ ครูไท และ ม้าก้านกล้วย ซึ่งคิดว่า อาจจะมีประโยชน์ เลยเอามาขยายความไว้ที่นี่ หากท่านใดสนใจ และ มีบางแง่มุม ก็ลองแลกเปลี่ยนกันดูเผื่อ เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ต่อไปนะครับ
สัมผัสซ้ำ
ครู ไท ท่านว่าไว้อย่างนี้ นะครับ
สัมผัสซ้ำ คือการเอาคำที่อ่านออกเสียงเหมือนกันมารับสัมผัสกัน ไม่ว่าคำนั้น จะมี หรือไม่มีความหมายต่างกันหรือไม่ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น
รักของน้อง จริงใจ ไร้นัยแฝง
ไม่เคยแสร้ง หลอกลวง คอยห่วงหา
แม้พี่มี ไมตรีจิต คิดเมตตา
ส่งสายตา มาด้วย ช่วยเจือจาน
จะเห็นได้ว่า คำว่า "เมตตา" ไม่ได้มีความหมายเดียวกับ "สายตา" เลย แต่เมื่อออกเสียงเหมือนกัน จับเอามาสัมผัสกัน จึงถือเป็นสัมผัสซ้ำ เป็นการผิดกติกา ที่ดูเหมือนเป็นกติกาสากลของนักกลอนไปแล้ว
ทำนองเดียวกับคำว่า ตา ในตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น คำอื่น ๆ อาทิเช่น ใย (แมงมุม) กับ ไย (เหตุไฉน) , นัย (ตา) กับ ใน (ข้างใน) , กัลป์ กับ กัน, พรรณ กับ พันธุ์ และคำอื่น ๆที่ออกเสียงเหมือนกันแม้จะต่างความหมายก็ตาม
สำหรับ ม้าก้านกล้วย ท่านก็ว่า โดยยกจาก บทกลอน กาฝาก แบบนี้ ครับ
....มาแพร่พันธุ์ชันช่อบนกอก้าน
หาอาหารจากน้ำเลี้ยงลำเลียงหลั่ง
แซกไซร้ซอนชอนไชในต้นดั่ง
แฝงฝากฝังเร้นเช่น(2) เป็นพุ่มพวย
....ต้นตั้งตาแสวงหาเผื่ออาหาร
เพราะต้องการอยู่รอดไว้ใร้ใด(1) ช่วย
เพิ่มภาระให้แล้วยังใร้ ไม่อำนวย
อ่อนระทวยทอดร่างลงกลางดิน
กฎ สัมผัสซ้ำ คำว่า ไว้ และ ไร้ ใด ไม่สามารถส่งสัมผัสใน ทั้งหลัก ทั้งรอง พร้อมกันได้ (หากท่อนส่งมีสองคำ แล้วส่งมาโดยมีคำรับ 1 คำ ใช้ได้ เช่น คำว่า เร้นเช่น มาสัมผัสกับคำว่า เป็น พุ่มพวย)
สัมผัสซ้อน คืออะไร ตัวอย่างนี้คงอธิบายได้ดี (สำนวนของครูไท ตอนเมาขี้ตา)
สมน้ำหน้า ตัวเอง อยากเร่งสอน
แม้ครึ่งค่อน ค่ำคืน ตื่นค้นคว้า
คอมฯเตรื่องเก่า บุโรทั่ง พังคาตา
เดี๋ยวก็ขึ้น จอฟ้า น่าเหนื่อยใจ
ประกาศแจ้ง ศิษย์รัก ให้รับรู้
ใช่แอบอู้ ถ่วงเวลา ก็หาไม่
เครื่องมันรวน ไม่ควรเร่ง ต้องเกรงใจ
ถ้าถึงขั้น ซื้อใหม่ ตังค์ไม่มี !
โปรดสังเกตคำว่า "ใจ" ในท้ายบทแรก ที่ส่งสัมผัสไว้ แล้วมารับด้วยคำว่า "ไม่" ในท้ายวรรคสอง แล้วก็ยังเอาคำว่า "ใจ" มารับสัมผัสที่คำท้ายวรรคสามของบทที่สองอีก
"บางสำนัก" ขอย้ำนะครับว่า บางสำนักเท่านั้น ที่ถือเอาการกระทำดังกล่าวเป็นข้อห้าม ถือเป็นสัมผัสซ้อน กล่าวคือ คำว่า "ไม่" ที่อยู่ตรงกลาง รับสัมผัสกับคำว่า "ใจ" ถึงสองแห่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าสัมผัสซ้อน ถ้าเขียนเป็นแผนภูมิ จะได้ดังนี้ ใจ -- ไม่ -- ใจ ดังนี้ถือเป็นต้องห้าม แต่ก็มีบ้างบางสำนัก อนุโลมให้ใช้ได้ เพราะถือว่าไม่สัมผัสซ้ำ
และ "บางสำนัก" อีกนั่นแหละ ไปไกลถึงห้ามสัมผัสคำนั้นอีกในทุกวรรคของกลอนบทนั้นเลยด้วย เช่นจากตัวอย่าง ถ้าแก้วรรคที่สามและสี่เป็นดังนี้
..........................
เครื่องมันรวน ไม่ควรเร่ง เกรงมีภัย
จึงจนใจ ซื้อไม่ไหว เพราะมันแพง
ขนาดย้าย ใจ ลงมาไว้วรรคสุดท้ายของบทที่สองแล้ว ท่านก็ยังว่าไม่ได้อยู่ดี อะไรจะเคร่งครัดถนัดห้ามกันขนาดนั้นหนอ พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย ห้าม ๆ กันเข้าไป ( ครูไท ท่านว่าไว้ อย่าง นั้น)
ส่วนม้าก้านกล้วย ท่านว่า อย่างนี้ ครับ
....จนไม้โศกสิ้นร่างลงกลางป่า(1)
ด้วยหนักเหลือภา(2) ระจึงสูญสิ้น
ไม่อาจหา(3) อาหารพอต่อชีวิน
เพราะกาฝากฝากกากินจนสิ้นใจ
.ม้าก้านกล้วย ว่า กฎ สัมผัสซ้อน ในวรรครอง จะไม่ให้ใช้สัมผัสนอกวรรค เหมือนวรรครับ ( คำว่าป่า ที่จะมาสัมผัสกับคำว่า ภา แต่ไม่สัมผัส กลับลงมาสัมผัสกับคำว่า หา) (ม้าก้านกล้วย : กลอนกาฝาก)
ดังนั้น หากพอจะจับใจความได้ ว่า วัตถุประสงค์ ที่บรรดาสำนัก กลอน ต่างๆ ท่าน ห้ามสัมผัส ซ้ำ สัมผัสซ้อน เพราะจะทำให้ กลอนขาดความไพเราะ เป็น สำคัญ
โดยสามารถ สรุป กรณี สัมผัส ซ้ำ ใจความได้ดังนี้
1. สัมผัสนอก ภายในบทเดียวกัน เป็นคำซ้ำ กัน ไม่ว่าจะมีความหมายต่างกัน หรือเหมือนกัน ก็ตาม
บัวบังใบใยบานสีหวานล้ำ (1)
งามเลิศล้ำ (2)ย้ำใจหาไหนเหมือน (3)
งามแสนสุดผุดราวพราวพร่างเตือน
งามเสมือน (4) เยือนแดนแคว้นวิมาน (5)
จากตัวอย่าง ข้าง บน (1) กับ (2) และ (3) กับ (4) ถือเป็นการ สัมผัส ซ้ำ
2. การสัมผัสระหว่างวรรค
เมื่อคราไกลแก้วตาจวนลาล่วง
ราวจากดวงหทัยหมายบรรสาน
ฤๅได้เยือนผืนแผ่นแดนพิมาน (6)
หวังนงคราญชื่นชมภิรมย์ปอง
กรณีนี้ เป็น สองความเห็น บางความเห็นว่า สัมผัส (5) จาก ข้อ 1 กับ (6) ในข้อ 2 นั้นห้ามใช้ เพราะว่าเป็น สัมผัส ซ้อน บางสำนักไม่ห้าม แต่ส่วนตัวผม คิดว่า มันไม่ค่อย ไพเราะ เลย ไม่ทำ ส่วนท่านอื่น ก็แล้วแต่จะพิจารณาดู นะครับ
3. การสัมผัส ใน ที่ คำหนึ่ง ส่ง สอง สัมผัส เช่น
เมื่อได้พบสบตา (7)มาลา (8)หนี
ลืมจำปีที่เคยเชยเพียงสอง
ชื่นชมดวงดารา (9) ครา (10)เคียงครอง
สร้างครรลองสุขศรีทุกวี่วัน
กรณี สัมผัส ใน (7) กับ (8) นั้น เป็น สัมผัส ซ้ำ
ส่วนกรณี ท่อนส่ง สองคำ ส่ง ไปสู ท่อนรับ หนึ่ง คำ (9) กับ (10) นั้นใช้ได้
4. สัมผัส อีก ชนิดหนึ่ง ที่เข้าข่าย สัมผัส ซ้อน คือ
การนำเอา สัมผัสนอก ไปรับ รอง เช่น
ด้วยได้หวังไว้ว่าคราคราวใหม่ (11)
เก็บดวงใจ (12)ใครหนาคราสุขสันต์
เพ็ญยองใย (13)ในนภาคราพบกัน
คงมุ่งมั่นจิตตรึงส่งถึงกัน
จาก ท้าย วรรคสดับ ที่ 11 ส่งไป สู่สัมผัสบังคับ ที่ 12 ในวรรค รับ ส่วนสัมผัส ที่ 13 ในวรรค รอง เป็นสัมผัส ที่เกินมา ถือเป็น สัมผัส ซ้ำ
สัมผัส เรื่อง การเขียน กลอน เรื่องสัมผัส ซ้ำ สัมผัส ซ้อน ผมถือว่า สำคัญ และน่าสนใจ ที่จะส่งผลให้กลอน ไพเราะ หรือ ลดความ ไพเราะลง แต่ อันไหน เป็น สัมผัส ซ้ำ อันไหน เป็น สัมผัส ซ้อน นั้น อาจจะทำให้ สับสน พอสมควร เอาเป็นว่า สำหรับ ผม ขอทำความเข้าใจ รวมๆ ว่า สัมผัสซ้ำซ้อน น่าจะเข้าใจง่ายกว่า รวมทั้งสะดวก
ในการนำไปปฎิบัติ ในเวลา เขียนกลอนนะครับ
คนกุล
ต้นเหมันต์