6 กันยายน 2552 14:47 น.
คนกุลา
๏ ฝนพรมเพียงพลิกฟื้น ธาตรี นางเอย
มาปลุกปวงชีวี ทั่วหล้า
พงไพรพฤกษ์เขียวขจี ไปทุก ผืนแฮ
มวลชีพใดหาช้า ซับชื้นพรายฝน
๏ ฝนปรอยรวมบ่าล้น วารินทร์
คนสัตว์เพลินหากิน อิ่มท้อง
นภานกโผผิน จรจาก รังนา
ยังหรีดเรไรร้อง สู่ฟ้าคะนองฝนฯ
๏ ฝนพรำคราค่ำคล้าย เหงาใจ
ไยมิเหมือนดังใคร กล่าวไว้
ยามฝนสาดทำใม นำโศก เยือนนา
ครวญคร่ำปานฝนไห้ ยิ่งเศร้าตรอมขวัญฯ
๏ หวังฝนเป็นดั่งให้ พรพรหม
รินหลั่งบนใจตรม สะอื้น
พลันหวังทุกข์เคยถม คืนสุข กลับเฮย
ขอช่วยเลือนตารื้น ลบน้ำนองปรางฯ
๏ ฝนเอยยามสร่างแล้ว ใจสราญ ขอนา
รอนับเกินคราวกาล ไป่ถ้วน
คอยฝนสื่อบรรสาน หวนกลับ คู่นา
เคียงรับพรงามล้วน จากห้วงพรหมสรวงฯ
.........
คนกุลา
ในวสันต์
5 กันยายน 2552 12:21 น.
คนกุลา
๏ มวลดาวคราวคร่ำฟ้า พายล แม่เอย
พรายพร่างกลางใจดล ห่อนร้าง
ทอแสงแต่งหาวหน งามสุด เอ่ยนา
พราวพริบขานทางช้าง- เผือกโพ้นสวรรค์สรวงฯ
๏ นภาคราเมื่อไร้ ดวงเดือน นางเอย
ความมืดพลันมาเยือน แผ่นฟ้า
ดาวยังเด่นดังเหมือน เป็นคู่ เคียงแฮ
แสงส่องฤๅเคยล้า หลีกเร้นลอยหายฯ
๏ ดวงดาวใครว่าด้อย แสงพราย แม่เฮย
ยามวับแววพรรณราย ดุจแก้ว
ใครคงต่างเคยหมาย ชมชื่น ดาวนา
ในค่ำคืนฉายแพร้ว สถิตย์ฟ้าจนสางฯ
๏ ใจเรียมคราพรากเจ้า ชวนตรม
ครวญว่ามานระทม โศกซึ้ง
รายเรียงดั่งรุมถม โถมทับ หทัยนา
ยามเมื่อเหมือนนวลขึ้ง- เคียดให้ตรอมทรวงฯ
๏ วอนนางขอจิตได้ ปานดาว
พรายส่องแสงสกาว ปลอบข้าฯ
รวมใจส่งถึงคราว แสนทุกข์ น้องเฮย
เรียมจักหมายภายหน้า ภักดิ์น้องนางเสมอฯ
.........
คนกุลา
ในวสันต์
4 กันยายน 2552 22:20 น.
คนกุลา
ดอกลั่นทมพรมพร่างข้างรั้วบ้าน
เมื่อร้าวรานผ่านหนาวลุคราวฝน
คล้ำเมฆมัวทั่วหล้า-ฟ้าเบื้องบน
หัวใจคนคราหมองครองใจกาย
ฟ้าหลังฝนหม่นเมินเกินพินิจ
ฤๅเพราะพิษคิดถึงตรึงใจหมาย
อ่างบัวบานพาลแห้งจนแล้งตาย
ยามบ้านไร้แรงหวังดังชีพคน
เพราะรักร้าวคราวหลังย้อนฝังลึก
ในดื่นดึกดิ่งร้าวสู่หาวหน
ด้วยใจว่างสร้างกี่วิถีตน
หวังบางคนครองแทนเติมแดนใจ
จะจดจำจากเรียนเพียรทำพลาด
ทุกบทบาทขาดเขินเกินสงสัย
จะดูแลเนื้อทองทุกห้องนัย
เพื่อมิให้ได้เป็นเช่นผ่านมา
สิบนิ้วนบน้อมจิตอธิษฐาน
บุญบันดาลแดนใดในทิศา
ลืมโลกแล้งแสงสีกี่มายา
มุ่งหมายว่าหวังรักจักยืนนาน
ดอกลั่นทมพรมพร่างข้างรั้วเก่า
เพียงสองเราเริ่มใหม่สดใสหวาน
ลืมลั่นทมตรมฤดีมีตำนาน
ลบห้วงกาลราญร้าวเคยเศร้าตรม
ต่อแต่นี้น้ำใจจะใสสด
เพื่อราดรดลีลาวดีสีสวยสม
คืนบานบัวทั่วอ่างกลางดอกพรม
หวังชื่นชมชีพใหม่ได้คืนมา
คนกุลา
ในวสันต์
2 กันยายน 2552 21:32 น.
คนกุลา
๐ เคียงโสมคราวส่องหล้า คืนเพ็ญ
ปานดั่งงามใสเย็น พักตร์น้อง
สวยเกินยิ่งยามเห็น นวลพี่ นางเอย
ยามสาดแสงโสมต้อง อาบเนื้อนวลสมรฯ
๐ คำรำพันที่ได้ มีมา น้องเอย
คราเมื่อครรไลลา จากเจ้า
จึงเพียงส่งวาจา สารสื่อ นางนา
กายพี่หมายคลอเคล้า หากน้องปรารถนาฯ
๐ ใจนวลคงมิให้ ใครครอง แน่นา
ใจพี่วนเวียนปอง นิ่มเนื้อ
ใจรวมภักดิ์เราสอง นานสืบ ต่อนา
เหมือนดุจเป็นบุญเกื้อ แห่งห้วงปางบรรพ์
๐ วอนลมฝนจากแคว้น แดนใด นวลเฮย
คราวรักเราแรมไกล สุดหล้า
นางเธออยู่หนไหน วานบอก พี่แฮ
ถึงสุดไกลหวังคว้า รักนั้นมาเคียงฯ
๏ กรองคำนำสู่ฟ้า วอนจันทร์ แม่เอย
หวังเมื่อใจจำนรรจ์ ส่งให้
รอคำจากสมรขวัญ คืนกลับ พี่นา
คราวฝากคงหวังได้ บอกด้วยเรียมรอฯ
.........
คนกุลา
ในวสันต์
2 กันยายน 2552 13:08 น.
คนกุลา
เคยกระซิบซึ้งคำลำนำรัก
เคยซบตักพักใจในสวนฝัน
เคยชวนชมลมบ่ายปลายตะวัน
กลางแสงจันทร์เจือหม่นเพราะฝนปรอย
เคยชื่นเคล้าคลอเคียงกันเพียงสอง
ตามลำคลองคลื่นนิ่งชมหิ่งห้อย
ในห้วงน้ำยามใจไม่ต้องคอย
เรือล่องลอยเลยหวามทุกยามใจ
น้ำในคลองนองรวมจนท่วมท่า
น้ำที่มาพาฉงนจนสงสัย
น้ำไหลหลากจากถิ่นดินแดนใด
ก่อนรินไหลหลั่งนองท้องนที
เธอตั้งกล้องส่องรับคอยจับภาพ
ยิ้มเอิบอาบอิ่มให้ใจสุขี
ช่วยกันสร้างร่างบทรสกวี
ณ ที่ที่มีเราเข้าใจกัน
มาวันนี้มีบ้างต่างโหยหา
รอเวลากลับมาใหม่เคยได้ฝัน
รอคืนค่ำย้ำเย็นของเพ็ญจันทร์
กลางตะวันนั้นต่างยังคงรอ
ใจมั่นรอขอรอก็เพราะรัก
ใจอยากถักยอมถักเพราะรักหนอ
ใจคอยสานหวานฝันวันพนอ
เพียรเติมต่อทอร้อยสร้อยรักเดิม
.............
คนกุลา
ในวสันต์