8 พฤษภาคม 2552 00:18 น.
คนกุลา
.
แม้นหนีไปไกลฟ้าสุดหล้าโลก
จะดับโศกสุดเศร้าฤๅสร่างสิ้น
เก็บน้ำตาพร่าพรายรินรายริน
หวังดื่มกินรักละลายร่ายวิญญา
สายไรเล่าไหลพร่างกลางสำนึก
กลางดื่นดึกน้ำตาใจจึงไหลพร่า
ฟ้ามืดดับลับล่วงดวงดารา
เหมือนดับดาวทั่วฟ้ามาลาไกล
ความรู้สึกในใจประไพภาพ
รอยยิ้มอาบแย้มปร่าน้ำตาไหล
ดุจหาปลาคว้าน้ำเหลวกลางเปลวใจ
สุดหาใครถามใครไม่รู้ดี
ตัดใจจากนานมากจากวันเริ่ม
เพื่อต่อเติมแต่งฝันของวันนี้
จำเจ็บปวดรวดร้าวหนาวฤดี
เมื่อหวังยังริบหรี่ยังมีวัน
รู้แต่ว่าต่อนี้ไม่มีแล้ว
คงไม่มีวี่แววแล้วหนอขวัญ
ความหวังไหวหว่างภวังค์พลาดพลั้งพลัน
ก็ดับฝันเรืองเรื่อไม่เหลือแวว
ไม่เหลือรอยระวิงยิ่งวิโยค
ร่ายโศลกบทไหนไม่รู้แล้ว
คนเคยรักกลับมาหักไม่เห็นแนว
เฉกดั่งแก้วย่อยยับสุดกลับคืน
กอบแก้วแล้วกลับเก็บมาเจ็บปวด
ฤทธิ์ร้าวรวดร้อยร่ำคำขมขื่น
ใจเจ้าเล่าคงเจ็บร้าวราวจะกลืน
เราแสร้งฝืนแม้ช้ำสุดจำนรรจ์
ขอโทษเถอะคนดีพี่ขอโทษ
รู้ว่าเธอไม่เคยโกรธหรอกคำขวัญ
ยิ่งเพ-ลาผ่านไปทบวัยวัน
เจ็บคงคั้นควั่นเกลียวเคี่ยวขั้วใจ
น้ำตารินในใจไหลพร่างพร่าง
เผยใจหับว่างว่างกว่าครั้งไหน
คิดถึงเอยคิดถึงมากยามจากไกล
เพราะว่า"ไม่รักแล้ว"คงแคล้วคลาย
อยากจะไปให้สุดฟ้าลับหล้าโลก
หวังดับโศกดับเศร้าเรื่องราวร้าย
หยาดน้ำตาพร่าพรางพร่างพรายพราย
รักมลายล่วงควับดับกลางใจ
...........
7 พฤษภาคม 2552 12:31 น.
คนกุลา
.
๑.
ปุยขาวขาววาวใสในสนาม
วาวแวววามยามสบสุริยะฉาย
งามหิมะริมทางกองพร่างพราย
เหมือนท้าทายสายตาผู้มาเยือน
เลยลอดช่องมองเห็นเย็นสลัว
แม้จิตใจไม่กลัวเพราะมีเพื่อน
แต่น้ำตาพร่างใจไหวเลือนเลือน
ยิ่งย้ำเตือนคำนึงถึงคนดี
เครื่องบินลอยคล้อยลับพยับเมฆ
ใจยิ่งเอกเอกาก่อนมานี่
กล่าวอำนวยพรหวังตั้งใจดี
จากคนที่คิดถึงซึ่งยังจำ
ปุยสีขาวยังวาวใสในสนาม
ทุกเกล็ดวามเยียบเป็นแพแต่ย่ำค่ำ
รื้นสายตาเผ่าร้อนย้อนตอบคำ
หลบกลืนกล้ำสายสบตาผู้มารับ
แลกเงินวอนเหมือนอ้อนอาวรณ์หวัง
ภาพคราวหลังยังนานเนิ่นเกินจะนับ
แสงวาววอนสะท้อนแรงแดงแดดจับ
ดังยิ่งทับทุกท้นคนบ้านไกล
ปุยสีขาววาวใสไม่รู้สร่าง
เก็บใจว่างและว่างกว่าครั้งไหน
เร้นหนีร่างห่างมากจากเมืองไทย
ใยเหงาใจตามข้ามฟ้ามาโคเรีย
๒.
เห็นทิวไม้สงบนิ่งล้วนกิ่งก้าน
ฤดูกาลพรากไหวใบรายเรี่ย
หลับตาหนักพักนอนเพราะอ่อนเพลีย
กอบกอบเกลี่ยคืนหวังยังอีกไกล
เดินตามทางพร่างหิมะคงจะหนาว
กระชับก้าวค้อมก้มห่มห่อไหล่
หวังไล่หนาวข่มหนาวก้าวเดินไป
หากในใจหนาวชากว่าร่างกาย
เลี้ยงมื้อเย็นเป็นอาหารร้านเกาหลี
ข้าวอุ่นดีกิมจิเขามีให้
จิบโซจูอุ่นร้อนค่อยผ่อนคลาย
อาจหนาวกายลดลงบ้างอย่างที่เคย
อากาศหนาวคราวนี้ที่ข้างนอก
เจ็กเก็ตพอกพอแก้ได้ให้เฉยเฉย
จิบโซจูบาดลิ้นรินล่วงเลย
คนไม่เคยร่ำร่ำอยากอำลา
คุยกับเพื่อนมีโซจูเป็นคู่ดื่ม
อาจจะลืมคนไกลบ้างเพราะห่างหน้า
พักที่นี่ไม่มีใครให้ตามมา
เหงาชาชาช้ำช้ำย้ำเยือนใจ
ยิ่งอากาศหนาวเหน็บเจ็บกระดูก
หลั่งน้ำมูกสั่งมาน้ำตาไหล
เช็ดน้ำมูกเคล้าน้ำตาคนมาไกล
ไม่แน่ใจเพราะเย็นหนาวหรือเศร้าตรม
ออกเดินย่ำรายทางพร่างความหนาว
กระชับราวเสื้อหนาขึ้นมาห่ม
ห่อไหล่ล้าหลุบหลบกลบแรงลม
หาใจข่มห่มแรงใจยังไม่มี
หวังให้รสแปร่งเฝื่อนเปื้อนปลายลิ้น
ได้ลบสิ้นความหนาวในคราวนี้
กระดกน้ำรสขมบ่มดีกรี
หากหนาวที่กลางใจไม่เคยจาง
๓.
ออกอินชอนเข้าอีชอนก่อนจะสาย
แสงเลือนรายเหมือนตะวันนั้นไกลห่าง
แดดเที่ยงบ่ายสาดสายปรายรางราง
เพียงพรายพรางไม่กล้ากร้านเหมือนบ้านเรา
ม่านภูเขากลางเงาฝันวันไกลบ้าน
รถเลยผ่านหิมะคลุมห่มภูเขา
ถนนว่างรถวิ่งยิ่งบางเบา
ไม้ยืนเหงาริมทางร้างดอกใบ
กลางทุ่งนาข้างป่าไม้ระรายเหลือง
หิมะเรืองละลายสายน้ำไหล
มวลหมู่ไม้รอวันผลัดระบัดใบ
ฤดูใหม่คล้ายคล้ายไกล้เข้ามา
เมื่อพฤกษาหลายชนิดปลิดใบพราก
สวยสนหากยังยืนกอช่อใบหนา
สดขจีสีเขียวเสมอมา
ไม่หวั่นว่าฤดูไหนได้มาครอง
กลางแดดแดงแสงมาไม่กล้ามาก
หมอกเทาหลากเหลือบฟ้าใสจนไหม้หมอง
หิมะกองเรียงรายสายตามอง
ฝันเห็นห้องหิมะแก้วพราวแพรวใจ
ยามหิมะละลายเป็นสายน้ำ
เหมือนจะเตือนเยือนย้ำสายน้ำไหล
ใจรักแรงแข็งกล้าละลายใจ
คงเหมือนไหมหิมะสายละลายลง
ม่านภูเขาเงาฝันวันไกลบ้าน
รถวิ่งผ่านอย่าเหมือนใจละไหลหลง
มาแสนไกลใจยิ่งคว้างห่างพะวง
ไม่รู้คงเป็นอย่างนี้อีกกี่วัน
๔.
สองข้างทางล้วนเรือนโรงโครงกรีนเฮ้าส์
ดูแพรววาวไกล้ไกลสาดไฟฝัน
ปรับอุณหภูมิแปลงเพาะพอเหมาะพลัน
ปลูกพืชอันต้องขายคลุมชายเฌอ
มาถึงย่านโชนันและซันน็อก
ความหมายบอกบ่งเกี่ยวเขียวเสมอ
แต่หน้าหนาวคราวนี้ที่มาเจอ
เขียวเสมอมีบ้างเพียงบางแปลง
ตะวันดับลับลงตรงขอบเขา
กระทบเงาหิมะพราวคราวอ่อนแสง
ขอบฟ้าเงาเนาแนบแอบโรยแรง
สาดเรื่อแดงเหลืองหลากก่อนจากลา
ม่านต้นไม้ไม่เขียวเมื่อเหลียวเห็น
เขายามเย็นหม่นคล้ำย้ำภูผา
คิดถึงคนไกลมากที่จากมา
เร่งเวลาร่านราวร้าวลำเค็ญ
ยิ่งเยียบเยียบย่ำย่ำก่อนค่ำขาน
เลื่อนวันวานหลายวันไกลไม่ได้เห็น
ฟ้าทึบทับขับหมอกงามยั่วยามเย็น
ก่อนจันทร์เพ็ญแจ่มฟ้าจะมาเยือน
ฟ้าไกล้ค่ำย้ำขอบเขาเหมือนเงาฝัน
ขับตะวันแสดลอยลงคล้อยเคลื่อน
เพ-ลาลับนับวันผันปีเดือน
คนมาเยือนอารมณ์เหงาเศร้ามิคลาย
พาดข้ามเขานั้นเสาไฟไล่เป็นแถว
เรียงเป็นแนวดังวาดเสาพาดสาย
ปาดน้ำตาปริ่มตาพรูพร่าพราย
ก่อนทักทายยิ้มรับกับทุกคน
พระอาทิตย์ลับลงตรงขอบเขา
ไม่เหมือนเราไปแห่งไหนไม่รู้หน
ไม้ไร้ใบใยย้อนย้ำร้อนรน
ว่าไม่ยลยินดีรับกับคนจร
ฟ้าเย็นเยียบเงียบงำย้ำเนื้อหนาว
หิมะพราวพร่างเพราเงาสะท้อน
ต่ำใต้รวงดวงแรงแสงนีออน
ร่ำรอนรอนยิ่งไหวว่าง..ณ กลางใจ
๕.
ชั่วแต่เช้ามืดมาฟ้าโปร่งโปร่ง
ลมโล่งโล่งเปลี่ยนปรับจับฟ้าใส
อากาศปรวนรวนรัดถนัดใจ
หิมะใสปร่างพร่าลงมาพลัน
นั่งเงียบเงียบแอบยิ้มริมหน้าต่าง
ดอกหิมะพร่างพร่างระบายฝัน
ฟูเรี่ยรายล้อรับกับตาวัน
ก่อนปลิวควั่นคว้างคว้างลงกลางดิน
เดินทางฝันวันมีหิมะสวย
ล่วงระรวยพราวตาอยู่ไม่รู้สิ้น
ระบายแซมแต้มหนได้ยลยิน
ดั่งดอกดิ้นแต่งผ่านม่านมายา
อากาศหนาวข้างนอกออกจะเยียบ
ลมเย็นเฉียบกรีดผิวจนนิ่วหน้า
สองมือเปลือยจัดจ้านจนด้านชา
ปากแตกปร่าแสบแสบแทบสุดทน
ปลิวหิมะโปรยลงที่ตรงนี้
คนเกาหลีแสดงท่าว่าไม่สน
แต่กับคนมาเยือนเหมือนทุกคน
แสนสุขล้นออกอาการคนบ้านไกล
กระโดดไขว่คว้าจับพยับหมอก
คลุมเสื้อนอกเกาะเกร็ดกระหิมะใส
หิมะพราวหนาวพร่างเย็นอย่างไร
ไม่มีใครคิดห่วงหวงห่วงตัว
นั่งเงียบเงียบระบายยิ้มริมหน้าต่าง
ดอกพรายพรางหิมะปอยลอยสลัว
กับหนาวกายพอแก้ได้จึงไม่กลัว
ใจระรัวหนาวจะแย่....แก้อย่างไร
๖.
เมื่อกำหนดหมดหมายต้องกลายกลับ
ตะวันลับอับแสงแห่งหนไหน
เหมือนนกต้องกลับรังยังถิ่นไกล
แม้หัวใจยังหวงห่วงรำพึง
เครื่องบินตัดข้ามฟ้าคราไกล้ค่ำ
จึงดื่มด่ำลอยตามความคิดถึง
ความรู้สึกลอยล่วงห้วงคำนึง
ฤๅคิดถึงคนดีที่จากมา
เครื่องบินบินตัดลอยมวลปอยเมฆ
ความมืดเฉกเย็นย่ำทั่วค่ำฟ้า
ในความมืดปรากฎห้วงดวงดารา
มาพรายตาย้ำฝันวันมาไกล
ดาวบางดวงลอยไกล้ได้แค่เอื้อม
งามละเลื่อมประปรายพราวพรายใส
ดาวหลายดวงควงคว้างห่างไกลไกล
สลับไฟพร่างพื้นตื่นตาชม
นั่นดูเกาะด้านล่างพร่างเหมือนแก้ว
ไฟวาวแววขับแสงแรงขึ้นข่ม
เหมือนเกาะแก้วพิศดารผ่ามมาชม
สุนทรข่มขับแก้วให้แวววาว
เครื่องบินร่อนหมุนคว้างคว้างไฟพร่างพริบ
ดาวระยิบยังขับแข่งแต่งห้วงหาว
ในฟ้าค่ำเตือนฟ้าดาราพราว
พริบแสงดาวพราวฟ้าในราตรี
เครื่องบินตัดข้ามฟ้ามาเงียบเงียบ
ใจยังเยียบเย็นปร่ามาถึงนี่
คนที่เคยคอยรับกลับไม่มี
เหม่อเบอร์ฯที่โทรฯหามานานวัน
เหมือนจะกดเบอร์ฯเอยเคยโทรฯออก
เพื่อจะบอกเวลามาถึงนั่น
ไม่ใช้เบอร์ฯโทรฯประสานมานานครัน
ลบเม็มฯฝันกลางใจไม่กล้าโทรฯ
..............
คนกุลา
ปลายฤดูหนาว....ในแดนโสม
..............
อินชอน คือชื่อสนามบินนานาชาติเกาหลี
อีชอนคือชื่อจังหวัดบริเวณติดกับกรุงโซลคล้ายๆปทุมธานี บ้านเรา
ได้มั๊งครับ
กิมจิ คือผักดองกับพริกทานกับอาหารเกาหลีทุกชนิด
โซจู เป็นเครื่องดื่มของเกาหลีมีแอลกอฮอร์ประมาณ 40 ดีกรี
โชนัน เป็นชื่อจังหวัดที่อยู่ทางใต้กรุงโซลลงไป ใช้เวลาเดินทาง
โดยรถยนตร์ ประมาณ 2 ชั่วโมง
ซันน็อก เป็นชื่อรีสอร์ทที่ไปพักเป็นรีสอร์ทแบบพักเป็น
ครอบครัว มีเครื่องเล่นของเด็กๆจำนวนมากไว้บริการ
กรีนเฮ้าส์คือโรงเรือนพลาสติคปรับอุณหภูมิเพื่อให้สามารถปลูก
พืชผักยามหน้าหนาวที่อุณหภูมิภายนอกต่ำกว่าศูนย์องศา
6 พฤษภาคม 2552 22:03 น.
คนกุลา
หลับตาลงตรงนี้เถิดที่รัก
ณ ตรงตักว่างว่างกลางสวนฝัน
ตรับกวีคีตศิลป์พิณพระจันทร์
ปลอบปลุกขวัญฝ่าคืนหนาวอันยาวนาน
ลมทะเลเห่กล่อมหอมลมหนาว
น้ำค้างพราวพร่างพรมห่มกิ่งก้าน
เพียงเพื่อรอฤดูใหม่ได้ผลิบาน
ลมซ่าซ่านกรีดใบไม้ร่ายดนตรี
ละอองพลิ้วเมฆฝนปนหมอกใส
ระบัดใบสลับลายระบายสี
หม่นความหมองของแสงดาวคราวเคยมี
วันวันที่ลมหวนไม่ทวนคืน
ในคืนนี้แม้แสงดาวไม่พราวฟ้า
เชิญขวัญมาพักใจให้เริงรื่น
จะเอาหวังอุ่นหวังต่างไฟฟืน
ลบรอยขื่นจางจางบางเวลา
หลับตาลงตรงนี้นะที่รัก
หลับและพักใจกายหายเหว่ว้า
ลืมวันเก่าเคยหมองนองน้ำตา
มุ่งฟันฝ่าสร้างรุ้งสวยไปด้วยกัน
.
...................
6 พฤษภาคม 2552 15:17 น.
คนกุลา
.............
ดุจมือเท้าจะหนาวเย็นเป็นน้ำแข็ง
ลมพัดแรงดุจดังมีดมากรีดเฉือน
กรวดดินทรายปรายเข้าตาจนพร่าเลือน
ซ่อนรอยเปื้อนเตือนช้ำคราบน้ำตา
บนยอดเขาในเงาฝันวันไกลบ้าน
เกิดอาการเศร้าเศร้าเหงาในหน้า
คิดถึงคนไกลมากที่จากมา
ให้ขอบฟ้าฟูมฟักรักษาใจ
บนยอดเขาสร้างโบสถ์ไว้ให้เคารพ
จึงพานพบผู้คนมากจากแดนไหน
มาแสวงแหล่งบุญสร้างทุนไป
หวังจะให้ผลบุญหนุนประทัง
เราต่างคนต่างภาษามาถึงนี่
ก็หวังมีผลบุญได้หนุนหวัง
ในยามไกลใจอยากหากบุญยัง
ระลึกหวังจากความดีที่ได้ทำ
บนยอดเขาเงาทาบอาบน้ำพลิ้ว
ระลอกริ้วไล่ทิวคลื่นสุดกลืนกล้ำ
หวังส่งฟ้าข้ามฟากฝากลำนำ
เพื่อเตือนย้ำซ้ำหม่น..จากคนไกล
.............................
6 พฤษภาคม 2552 13:33 น.
คนกุลา
รำพึง ในวัน พระใหญ่
.
ชีวิตคนล้วนมีกรรมนำวิถี
ชีวิตมีทางนำกำหนดหมาย
ชีวิตถูกผูกลิขิตขีดระบาย
ชีวิตหมายเพียงทำกรรมดีเติม
.
กรรมที่ทำนำทางอย่างรอยโค
กรรมคือโซ่ชักเกวียนเวียนซ้ำเสริม
กรรมเหมือนจะยิ่งย้ำทำอย่างเดิม
กรรมยิ่งเพิ่มเสริมย้ำกรรมก่อนนั้น
.
ใครรู้บ้างสร้างกรรมใดทำไว้
ใครรู้ได้กรรมของตนบนทางฝัน
ใครรู้ได้ชีพที่ผ่านมานานวัน
ใครรู้นั่นบ้างตัวคนที่ตนมี
.
คู่ที่ผ่านเข้ามาช่างน่ารัก
คู่ที่พักพิงใจในโลกนี้
คู่ที่เดินร่วมทางสร้างกรรมดี
คู่ที่มีธรรมะเสมอกัน
.
เกิดมาเพียงคนเดียวเที่ยวท่องโลก
เกิดมาโศกทุกข์เหงาเศร้าสุขสรรค์
เกิดมาใช้กรรมที่มีด้วยชีวัน
เกิดแสนกัลป์กัปป์วิถีที่ต้องเป็น
.
เรามาเพียงเดียวดายให้สำนึก
เราคือผลึกแห่งกรรมตามที่เห็น
เราสงสัยทำใมไม่จำเป็น
เราควรเน้นปัจจุบันเท่านั้นพอ
.
...................