20 เมษายน 2552 00:09 น.
คนกุลา
.
โพทะเลเซกิ่งทิ้งดอกย้อย
จากเรียวรอยเขียวจัดสบัดไสว
ริมถิ่นร่องท่องมาชลาลัย
หล่อเลี้ยงในลุ่มน้ำตำนานเมือง
.
ลานท้องทุ่งคุ้งน้ำต่ำลาดโล่ง
สะพานโค้งยาวทอดลอดฟ้าเหลือง
พร่างแสงไฟราวสะพรั่งมลังเมลือง
สืบเป็นเรื่องเล่าขานต่อกันมา
.
ไม่เคยเยือนยามคราได้มาพบ
เป็นคำรบแรกก็รักเสียหนักหนา
ย่านสำโรงโค้งเว้าเจ้าพระยา
หรือเพราะว่าสมิงพรายคอยร่ายมนต์
.
ในอดีตแห่งกาลโบราณล่วง
ยามผ่านห้วงน้ำแก่งทุกแห่งหน
มักดูดฝืนกลืนกินชีวินคน
ดังผีดลใจโฉดโหดโหงพราย
.
มาบัดนี้ผีพรายหายไปไหน
มีแต่ไฟสาดระยิบกะพริบสาย
กับอนงค์องค์เอวอวดเรียงราย
แทนโหงพรายยุคใหม่ในเมืองกรุง
.
ผีพรายเฮี้ยนยังมีที่พำนัก
ผีพรายรักไม่มีที่เห็นทียุ่ง
ผีพรายกามลามกระจายร้ายนังนุง
ราตรีคลุ้งคาวโลกีย์...หยามผีพราย......!!!
.
.....................
19 เมษายน 2552 07:35 น.
คนกุลา
.
............
ระลอกคลื่นเขียวริ้วทิวใบข้าว
ลมฝนราวทั่วฟ้าทาสีหม่น
บางทุ่งทองรองเรืองเหลืองปะปน
ระลอกชลริ้วริ้วทิวฝนปรอย
.
พุ่มทิวไม้ใบหนาชายคาบ้าน
คันชลธารล่องเลียบเทียบทางน้อย
ต้นตาลตั้งยืนต้นเหมือนคนคอย
ควันไฟลอยอ้อยอิ่งทิ้งกรุ่นควัน
.
เมื่อบ้านนาวันใหม่เปลี่ยนไปมาก
เหมือนเราจากมานานเพื่อสานฝัน
ไร้กองฟางนางคอยชมลอยจันทร์
ไร้รอยควั่นคมเคียวเกี่ยวคอรวง
.
แต่ที่ยังเตือนย้ำซ้ำซ้ำซาก
คือความยากจนจริงยิ่งใหญ่หลวง
หวานคำปลอบนานล้ำถ้อยคำลวง
ยกว่าปวงชาวนาดังสันหลังไทย
.
เป็นสันหลังที่อ่อนแอและผุกร่อน
จึงแรมรอนร้อนเร่าเข้าเมืองใหญ่
จะมีใครรู้ทุกสิ่งพร้อมจริงใจ
กล้าแก้ไขในเชิงรุกทุกข์แผ่นดิน
.
..................
18 เมษายน 2552 22:39 น.
คนกุลา
.
ฟ้าสีฟ้า หม่นไป เหมือนในฝัน
ดวงตะวัน ทาบลง ตรงเหลี่ยมเขา
เมื่อหมอกควัน เหมือนฉากจาง ดูบางเบา
ไม้ทอดเงา รายร่าง อย่างอ่อนใจ
.
แสงยามบ่าย คล้ายฟ้า ตากผ้าอ้อม
แดงแดดย้อม สาดทับ กับยอดไผ่
แพรผืนดำ กำลัง คลุมบังไพร
ถักทอใย ขึ้นห่มฟ้า คราไร้จันทร์
.
ได้แต่รอ ให้ดาว พร่างพราวฟ้า
เพื่อนำพา สองดวงใจ เฝ้าใฝ่ฝัน
ส่งคำตอบ ข้ามขอบฟ้า มาหากัน
ชี้ชมนั่น ดาวสวย ด้วยอยู่ไกล
.
ดาวคันไถ อยู่ที่โน่น กลางโพ้นฟ้า
เคียงคู่อยู่ ด้านขวา ดาวลูกไก่
ดาวคันชั่ง ลอยคว้าง ห่างไกลไกล
เหมือนดวงใจ เหงาเหงา เราคนคอย
.
ฟ้าสีฟ้า หม่นไป ไม่เหมือนฝัน
ดวงตะวัน ทาบเงา ดูเหงาหงอย
เมื่อไฟควัน หมอกเคลื่อน ดูเลื่อนลอย
ใจคนคอย จึงฝันคว้าง เหมือนอย่างเคย
...........
บ้านแม่แลบ แม่ลาน้อย แม่ฮ่องสอน
17 เมษายน 2552 21:30 น.
คนกุลา
.
เหงาเศร้าสุดห่วงดวงใจเอ๋ย
คำใดเอ่ยเล่าจะอ้างอย่างถวิล
แต่วันนั้นตราบวันนี้ชั่วชีวิน
ดุจแผ่นดินเยียบว่างกลางแสงจันทร์
.
บนหนทางพร่างดาวบนราวฟ้า
หลงเพ้อว่ายอดกมลอยู่บนนั้น
หวังและฝันปลอบใจไปวันวัน
ทำได้เพียงเท่านั้นฤาขวัญเอย
.
หากทำได้หมายใจเอาไว้ว่า
อยากสลักนภาแผ่นแทนคำเผย
จารึกในคืนวันผันผ่านเลย
เพื่อทรามเชยงามชื่นได้ตื่นชม
.
ขวัญเจ้าใยจากไปแสนไวนัก
ยังทอถักใยฝันไม่ทันสม
ปล่อยใจดวงหนึ่งคว้างกลางสายลม
หนาวเหน็บพรมพร่างพร่างน้ำค้างพราย
.
จงรอพี่ที่นั่นนะขวัญจ๋า
รอเวลาแห่งนิรันดร์เคยมั่นหมาย
ที่ที่ความผูกพันมั่นไม่คลาย
แม้ความตายมิอาจพราก...เราจากกัน
.
...................................
17 เมษายน 2552 19:35 น.
คนกุลา
.............
วูบประหวั่นพรั่นใจในห้วงนึก
ในส่วนลึกเหมือนไม่มีที่บรรจบ
ไม่เคยเห็นก็อุตส่าห์ได้มาพบ
แล้วจะจบอย่างไรตรงไหนนี่
.
ประเทศชาติบาดหมางเป็นอย่างนี้
แล้วจะมาญาติดีกันวันไหน
ยามคนไทยเห็นต่างก็อย่างไทย
หลายสมัยหมุนเวียนเปลี่ยนเรื่อยมา
.
บางยุคเคยแตกแยกแปลกความคิด
ญาติมิตรแบ่งค่ายสร้างฝ่ายฟ้า
เมื่อความคิดลงตัวทั่วพารา
ก็กลับมาเป็นคนไทย...ได้อย่างเดิม
.
เมื่อต่างยกต่อสู้เพื่อกู้ชาติ
ต่างฝ่ายวาดแต่งฝันแต่วันเริ่ม
แต่ละฝ่ายสานก่อและต่อเติม
ขยายเพิ่มกำลังของฝั่งตน
.
ใครรักชาติเชิญเข้ามา...นะพี่น้อง...!!!
ไม่เหลืองต้อง..แดงไกล..ไปทุกหน
แบ่งฝ่ายแบ่งสีที่กลุ่มคน
เวียนวนว่ายเวียนเพียรชักชวน
.
วูบประหวั่นพรั่นใจในห้วงนึก
ในสำนึกหวิวไหวใจไห้หวน
สงบจิตสะกิดใจใคร่ทบทวน
ทั้งหมดล้วนเลือดข้น..ของคนไทย
.
...................