20 มิถุนายน 2552 17:56 น.
คนกุลา
.
มาเมืองแกลงเยือนอนุสรณ์สุนทรภู่
ท่านเหมือนครูสอนสั่งแต่ตั้งต้น
โอ้ดีใจหาไหนเหมือนยามเยือนยล
กราบหวังดลให้สุนทรครอบกลอนใจ
บรรจงกราบตรงลงแทบเท้า
หวังโน้มน้าวให้ผ่องแผ้วดั่งแก้วใส
เปิดกมลดลสรรพเสียงเพราะเพียงใด
เบิกหัวใจเบิกฟ้าเบิกบาดาล
ทุกถ้อยคำย้ำเสียงสำเนียงเสนาะ
คำไพเราะมาร้อยเรียงเสียงประสาน
ให้สุนทรเบิกกะพริบทิพย์วิมาน
ช่วยขับขานร้อยคำขลังได้ดังใจ
จะกลอนรักกลอนโศกวิโยคฝัน
นิราศอันร้างนี่เยือนที่ไหน
ถ้อยคำคมพรมพร่างตรงกลางใจ
ศัพท์ใดใดใช้ได้สรรพตรับสำเนียง
สิ้นสุนทรกลอนครูท่านภู่แล้ว
สุนทรแก้วเคยขับไกลไม่ยินเสียง
คนกุลาฝึกกลอนหนอแค่พอเพียง
คงไม่เสี่ยงขืนกล้ามาแข่งแวว
ขอเป็นศิษย์ปลายแถวก็แล้วกัน
กวีวรรณหลากหวานกังวาลแว่ว
ขอเป็นทรายเม็ดน้อยคอยส่องแนว
พอพรายแพรวพราวฝันกลางจันทร์นวล
ด้วยนานนมเนื่องนิยมชมความคิด
ลองถูกผิดฝึกกลอนฝันวันไห้หวล
ค่อยขีดเขียนเรียนฝึกหัดจัดกระบวน
เทียบทบทวนอิงบทกลอน ......สุนทรครู.
...........
คนกุลา
รังนกไฟ
ในกลางวสันต์
.................
18 มิถุนายน 2552 23:03 น.
คนกุลา
..
เมื่อมองผ่านม่านแมกไม้ชายใบหนา
สุริยาสาดฉายส่องครรลองหวัง
มาปลุกเร้าเจ้านกไพรในรวงรัง
ร้าวประดังเริ่มบรรเทาและเบาบาง
ท่ามคืนหนาวสุดร้าวหวังในรังนก
ยามวิตกปวดประทังทั้งปีกหาง
เจ็บเกินกล่าวจะเล่าใครในเส้นทาง
เว้นบางนางที่เคียงคู่คอยดูแล
เฝ้าดูแลอารมณ์คมความคิด
อะไรถูกผูกติดผิดกระแส
อะไรคล้ายหมายเหมือนไม่เชือนแช
ช่วยกันแก้ปรับไขสิ่งใดควร
หากไม่มีนะน้องนางในพร่างหวัง
นกคงยังเศร้าอาลัยจนใจหวน
ติดอารมณ์พรมระบายไร้ทบทวน
อาจจะด่วนเผยคำซ้ำอีกอำลา
สัญญาใจในครั้งนี้คงมีมาก
มิรู้แสนจะลำบากยากเบื้องหน้า
ยามนกบินผ่านเลยล่วงห้วงมายา
ให้ปีกกล้าขาขนแกร่งทานแรงลม
สัญญาใจกลางใบว่างถูกร่างยก
อาจถูกถกจนงามชื่นแอบขื่นขม
ยิ่งหนาวใจในน้ำค้างที่พร่างพรม
ท่ามสายลมหอบห่มฟ้ามาโรยริน
หอมเอยหอมบุปผาดารดาษ
บุปชาติยังอบอวลหวนถวิล
ในกลางใจนกน้ำใสเย็นไหลริน
ฤๅจะสิ้นดิ้นแรงรั้งรังบ้านกลอน
เมื่อมองฝ่าม่านไม้ชายใบหนา
เพื่อนมิตรมาดูใจให้สลอน
เปิดห้วงหวังในรังนกวิหคคอน
ให้หวนย้อนคืนหลังสร้างรังใจ
..............
คนกุลา
รังนกไฟ
ในกลางวสันต์
......................
17 มิถุนายน 2552 14:57 น.
คนกุลา
.
ในฟ้าค่ำดึกดำเงียบยะเยียบฟ้า
เจ็บปวดปร่าหน่วงหนักร้าวกว่าคราวไหน
เลือดจับเลอะเปรอะเกรอะกรังรังนกไพร
ปีกข้างใดก็ฉีกขาดบาดแผลเต็ม
ทั่วทั้งร่างน่าตระหนกฟกช้ำเขียว
หน้าซีดเซียวตาแดงก่ำช้ำเลือดเข้ม
เสลดข้นคาคอปากขากจนเค็ม
ดุจดังเข็มทิ่มแทงฝังไปทั้งตัว
รังหมุนวนโยนไกวเหมือนใครแกล้ง
พลิกตะแคงคว่ำหายคล้ายเวียนหัว
โอ้กอาเจียนเวียนวิงยิ่งขุ่นมัว
หรือขลาดกลัวหากต้องตายเพียงดายเดียว
ปิดตาหลับกับรังก่อนหวังดับ
ภวังค์ลับลาเพลินเดินทางเปลี่ยว
ฝันถึงท้องนภาเคยฝ่าเทียว
เมฆควั่นเกลียวพาดพร่างริมทางดาว
ค่ำคืนนี้ยังมีใครไหนรู้บ้าง
ชีวิตดังเจ้านกไพรในคืนหนาว
ยามเจ็บหนักต้องรักษาคราหม่นพราว
แม้นรวดร้าวเมื่อเจ็บมารักษาตน
นั่งพินิจกลวิธีวิถีนก
ปวงวิหคร่ายตำนานก่อนผ่านพ้น
ชีวิตนกคล้ายบางทีวิถีคน
ย้ำสอนตนฝ่าคืนร้ายได้อย่างไร
ในฟ้าค่ำดึกดำเงียบยะเยียบฟ้า
เจ็บปวดปร่าหน่วงหนักร้าวกว่าคราวไหน
ก่อนภวังค์ลับล่วงสั่งดวงใจ
รอวันใหม่เพื่อกลับฟื้นตื่นอีกครา
........
คนกุลา
รังนกไฟ
กลางวสันต์
.......................
16 มิถุนายน 2552 18:28 น.
คนกุลา
.
นั่งร่ายนำคำกลอนอักษรสาร
ร่ายตำนานเทพศรีกวีศิลป์
เพื่อถักถ้อยรอยจำย้ำดวงจินต์
หวังปั้นดินเป็นรวงร้อยดวงใจ
ยามเขียนบทอัศจรรย์ในวันก่อน
มาเหนื่อยอ่อนหนักเหน็บหนาวกว่าคราวไหน
เคยเขียนกลอนวอนเรื่องราวทุกคราวไป
ด้วยหวังใจเพียงสืบสานงานกาพย์กลอน
หลายเสียงเงียบเยียบมาหรือฟ้าโกรธ
บ้างพิโรธผ่านเพียงเสียงสะท้อน
ด้วยทั้งหมดที่รจน์ฤๅคือบทกลอน
ที่เรียนสอนสืบประสงค์ในวงวรรณ
คืนฟ้าร่ำดำสรวงแสนหน่วงหนัก
สายใยรักถักร้อยเป็นสร้อยขวัญ
คือสร้อยทอรอสายหลายคืนวัน
อาบด้วยจันทร์อวลฤดีกี่วันเพ็ญ
คืนเพียงเดือนมาเลือนลับพยับหมอก
ดับดวงดอกบุปผาเคยตาเห็น
มิมองมามุ่งหมายคล้ายเคยเป็น
ย้ำหยดเย็นย้อยไยในคลองตา
ในท่ามความเงียบเชียบและเยียบหนาว
เธอมาราวดาวรวงแห่งห้วงฟ้า
สถิตย์แทบแนบใจในดารา
ดุจมายา"ปีกฝัน"วันร้าวเรา
เมื่อนกไฟ ณในวันฝันเคว้งคว้าง
ว่ายเริงทางเลาะเรื่อยมาขอบฟ้าเหงา
เสียบ"ปีกฝัน"ในวันหวังดังเดือนเงา
ม่านเมฆเทาเบาบางพัดสบัดลอย
หลับในห้วงดวงตะวันแล้วขวัญจ๋า
รอเวลาจะกลับมาเมื่อฟ้าใหม่
ด้วยดวงจิตอิสร์เสรีมีในใจ
ว่ายห้วงไฟด้วย"ปีกฝัน"นิรันดร
คนกุลา
รังนกไฟ
ในกลางวสันต์
.................