8 กันยายน 2552 11:35 น.
คนกุลา
มุ่ง จะสร้างทางฝันจำนรรจ์รัก
มุ่ง จะถักทอฝันอันสดใส
มุ่ง จะสร้างทางทองครองห้องใจ
มุ่ง จะใฝ่เฝ้าปองแห่งสองเรา
มุ่ง จะสร้างทางชีวีวิถีสุข
มุ่ง จะปลุกปลอบขวัญในวันเหงา
มุ่ง จะเชยชมปรางนวลบางเบา
มุ่ง จะเคล้าคลออยู่คู่อนงค์
มุ่ง จะคอยเจือจานสานความคิด
มุ่ง จะติดตามหวังดังประสงค์
มุ่ง จะสานฐานใจให้ยืนยง
มุ่ง จะตรงคงรักจักเท่านาน
มุ่ง จะคอยตั้งใจให้ดังคิด
มุ่ง จะคอยตั้งจิตอธิษฐาน
มุ่ง จะคอยครองใจให้เบิกบาน
มุ่ง จะสานเราสองสู่คลองธรรม...ฯ
เมื่อ มุ่งหมายได้หวังดังประสงค์
ใจ ก็คงคิดตามแต่งามขำ
ใฝ่ นิยามความใดได้กระทำ
ปอง ใจย้ำคำหวังทุกครั้งไป
เพียง น้องนางอย่าจางใจไปจากพี่
น้อง คนดีอย่าพะวงเฝ้าสงสัย
นาง อย่าหวั่นแม้วันอันห่างไกล
เดียว ในใจต่อนี้มีแต่นวล
คนกุลา
ในวสันต์
7 กันยายน 2552 17:13 น.
คนกุลา
๐ ดาวพรายในเด่นฟ้า รายเรียง
ยังส่องแสงมาเคียง ชิดใกล้
หวังสารสื่อพอเพียง มามอบ นางนา
ยามพี่คงคอยให้ นิ่มน้องรอสนองฯ
๐ วอนดาวมาจากด้าว แดนใด นวลเอย
วานส่งตรงถึงใจ จากเจ้า
ลอยมาทุกคราไหน ใจชุ่ม ชื่นนา
หมายว่านางรอเฝ้า จิตนั้นหวังถวิลฯ
๐ หวังดาวคราวจากฟ้า ลาจร
คงมิลืมคำกลอน ฝากไว้
เพียรจารึกอาวรณ์ เวียนบอก นางนา
ใจพี่หมายนวลได้ อ่านถ้อยคืนสารฯ
๐ วอนดาวคราวพี่เพ้อ รำพัน
หวังสื่อตรงถึงกัน สุดฟ้า
เพียงดาวอย่าลืมฝัน เคยคู่ นานนา
เรียมมุ่งหมายภายหน้า เมื่อได้ครองสมรฯ
๐ ดาวเอยจงโปรดชี้ ทางนำ
ยามเมื่อนางมีคำ ตอบข้าฯ
ใจคงจรดจารจำ คงอิ่ม เกินนา
หวังที่คอยนานช้า รับด้วยสุขเกษมฯ
คนกุลา
ในวสันต์
6 กันยายน 2552 14:47 น.
คนกุลา
๏ ฝนพรมเพียงพลิกฟื้น ธาตรี นางเอย
มาปลุกปวงชีวี ทั่วหล้า
พงไพรพฤกษ์เขียวขจี ไปทุก ผืนแฮ
มวลชีพใดหาช้า ซับชื้นพรายฝน
๏ ฝนปรอยรวมบ่าล้น วารินทร์
คนสัตว์เพลินหากิน อิ่มท้อง
นภานกโผผิน จรจาก รังนา
ยังหรีดเรไรร้อง สู่ฟ้าคะนองฝนฯ
๏ ฝนพรำคราค่ำคล้าย เหงาใจ
ไยมิเหมือนดังใคร กล่าวไว้
ยามฝนสาดทำใม นำโศก เยือนนา
ครวญคร่ำปานฝนไห้ ยิ่งเศร้าตรอมขวัญฯ
๏ หวังฝนเป็นดั่งให้ พรพรหม
รินหลั่งบนใจตรม สะอื้น
พลันหวังทุกข์เคยถม คืนสุข กลับเฮย
ขอช่วยเลือนตารื้น ลบน้ำนองปรางฯ
๏ ฝนเอยยามสร่างแล้ว ใจสราญ ขอนา
รอนับเกินคราวกาล ไป่ถ้วน
คอยฝนสื่อบรรสาน หวนกลับ คู่นา
เคียงรับพรงามล้วน จากห้วงพรหมสรวงฯ
.........
คนกุลา
ในวสันต์
5 กันยายน 2552 12:21 น.
คนกุลา
๏ มวลดาวคราวคร่ำฟ้า พายล แม่เอย
พรายพร่างกลางใจดล ห่อนร้าง
ทอแสงแต่งหาวหน งามสุด เอ่ยนา
พราวพริบขานทางช้าง- เผือกโพ้นสวรรค์สรวงฯ
๏ นภาคราเมื่อไร้ ดวงเดือน นางเอย
ความมืดพลันมาเยือน แผ่นฟ้า
ดาวยังเด่นดังเหมือน เป็นคู่ เคียงแฮ
แสงส่องฤๅเคยล้า หลีกเร้นลอยหายฯ
๏ ดวงดาวใครว่าด้อย แสงพราย แม่เฮย
ยามวับแววพรรณราย ดุจแก้ว
ใครคงต่างเคยหมาย ชมชื่น ดาวนา
ในค่ำคืนฉายแพร้ว สถิตย์ฟ้าจนสางฯ
๏ ใจเรียมคราพรากเจ้า ชวนตรม
ครวญว่ามานระทม โศกซึ้ง
รายเรียงดั่งรุมถม โถมทับ หทัยนา
ยามเมื่อเหมือนนวลขึ้ง- เคียดให้ตรอมทรวงฯ
๏ วอนนางขอจิตได้ ปานดาว
พรายส่องแสงสกาว ปลอบข้าฯ
รวมใจส่งถึงคราว แสนทุกข์ น้องเฮย
เรียมจักหมายภายหน้า ภักดิ์น้องนางเสมอฯ
.........
คนกุลา
ในวสันต์
4 กันยายน 2552 22:20 น.
คนกุลา
ดอกลั่นทมพรมพร่างข้างรั้วบ้าน
เมื่อร้าวรานผ่านหนาวลุคราวฝน
คล้ำเมฆมัวทั่วหล้า-ฟ้าเบื้องบน
หัวใจคนคราหมองครองใจกาย
ฟ้าหลังฝนหม่นเมินเกินพินิจ
ฤๅเพราะพิษคิดถึงตรึงใจหมาย
อ่างบัวบานพาลแห้งจนแล้งตาย
ยามบ้านไร้แรงหวังดังชีพคน
เพราะรักร้าวคราวหลังย้อนฝังลึก
ในดื่นดึกดิ่งร้าวสู่หาวหน
ด้วยใจว่างสร้างกี่วิถีตน
หวังบางคนครองแทนเติมแดนใจ
จะจดจำจากเรียนเพียรทำพลาด
ทุกบทบาทขาดเขินเกินสงสัย
จะดูแลเนื้อทองทุกห้องนัย
เพื่อมิให้ได้เป็นเช่นผ่านมา
สิบนิ้วนบน้อมจิตอธิษฐาน
บุญบันดาลแดนใดในทิศา
ลืมโลกแล้งแสงสีกี่มายา
มุ่งหมายว่าหวังรักจักยืนนาน
ดอกลั่นทมพรมพร่างข้างรั้วเก่า
เพียงสองเราเริ่มใหม่สดใสหวาน
ลืมลั่นทมตรมฤดีมีตำนาน
ลบห้วงกาลราญร้าวเคยเศร้าตรม
ต่อแต่นี้น้ำใจจะใสสด
เพื่อราดรดลีลาวดีสีสวยสม
คืนบานบัวทั่วอ่างกลางดอกพรม
หวังชื่นชมชีพใหม่ได้คืนมา
คนกุลา
ในวสันต์