วสันต์เยือน เดือนเจ็ด โปรยเม็ดฝน จากเบื้องบน ดั่งฟ้า น้ำตาไหล อึกทึก กึกก้อง ร้องไปไกล คงปวดใจ โศกา แสนอาดูร
หรือฟ้าเศร้า เหงาใจ ไร้คนปลอบ คนที่ชอบ ลาลับ เหมือนดับสูญ มันมากจน ล้นปรี่ ทวีคูณ เพราะเพิ่มพูน แต่ช้ำ ระกำทรวง
ยังนั่งจ้อง มองฟ้า คราใกล้ค่ำ เมฆเทาดำ คลุมหนา จนน่าห่วง เสียงครืนดัง ฟังว่า มาถามทวง เหตุการณ์ล่วง ผ่านมา อย่าลืมเลือน คำสัญญา หน้าฝน เธอคนนั้น ตอนจากกัน มันเหงา เศร้าใดเหมือน บอกหน้าฝน ปีหน้า จะมาเยือน หลายปีเดือน ยังหวัง ตั้งตาคอย
เย็นสายฝน จนสั่น มันสุดหนาว แม้ปวดร้าว แต่ใจ ไม่ถดถอย มองน้ำฝน หล่นมา นั่งตาลอย น้ำตาย้อย แอบสะอื้น คืนเดียวดาย
ความรู้สึก จากใจ คนปลายแถว
ที่ฉายแวว กังวล จนหม่นหมอง
อยากแนะนำ สิ่งล้วน ที่ควรตรอง
แม้ขุ่นข้อง เคืองก็ ขออภัย
หลับเถอะนะ ตักนี้ พี่ให้หนุน
แม้มิอุ่น คงก็ พอทนไหว
มิเท่าเตียง ที่ห้อง ของทรามวัย
แต่ว่าใจ ห่วงหา ด้วยอาทร
ลดกังวล หม่นหมอง เรื่องต้องคิด
ผ่อนสักนิด พักการ เรื่องงานก่อน
หรือให้เห่ เปลไกว ถึงได้นอน
ขับบทกลอน กล่อมถึง จึงนิทรา
เป็นห่วงจัง จากฤทัย คนไกลห่าง
อาจอ้างว้าง แต่ใจ ยังใฝ่หา
เป็นคนหนึ่ง ซึ่งออก นอกสายตา
ก็มิว่า เพียงใจ ขอใกล้เคียง
ความรู้สึก จากใจ คนปลายแถว
คงมิแคล้ว หม่นหมอง แต่ต้องเสี่ยง
ขอแค่หวง ห่วงหนอ ก็พอเพียง
จึงเรียบเรียง ความนัย มาให้ฟัง
ยังไร้ศัพท์ สำเนียง จะเรียงร้อย
ยังไร้ถ้อย คมคำ ที่ฉ่ำหวาน
ยังไร้ลักษณ์ อักษร เขียนกลอนกานท์
ยังไร้งาน สานฝัน มันเลือนลาง
มีเพียงใจ คิดถึง คะนึงฝัน
ห่วงหากัน บ้างไหม เล่าใครบ้าง
หรือว่าความ สัมพันธ์ นั้นเจือจาง
จึงปล่อยวาง เหมือนใจ ไร้อาทร
หวังสักวัน นั้นมี ตามที่หวัง
เรียกพลัง คืนมา หายล้าอ่อน
ประสพการณ์ หลายหลาก มากขั้นตอน
กลั่นเป็นกลอน เผื่อใคร ไหนอยากฟัง
นะมีไหม ใครเอ่๋ย เคยคิดถึง
เพียงนิดหนึ่ง เหมือนก่อน ตอนหนหลัง
คงซึ้งใน ไมตรี มีพลัง
แต่ว่าหวัง เราเหมือน มันเลื่อนลอย