ใต้สะเดา เงาบัง ยังคลายผ่อน
ทุเลาร้อน จากแดด ที่แผดจ้า
แคร่ตัวเก่า เรานั่ง ดั่งเคยมา
รอเวลา ฝนแรก ลงแทรกดิน
ผืนนากว้าง ร้างน้ำ มิฉ่ำชื่น
ต้นไม้ยืน ไร้ใบ ดูใกล้สิ้น
เมื่อขาดฝน จากฟ้า มาหลั่งริน
ทุกชีวิน ดิ้นรน กับทนรอ
นั่งกอดเข่า เฝ้าแล ชะแง้หา
น้ำตาฟ้า เมื่อไร จะไหลหนอ
นึกน้อยใจ วาสนา น้ำตาคลอ
เริ่มเหี่ยวห่อ ท้อทด เหมือนหมดแรง
เตรียมคันไถ ไอ้ทุย จะลุยทุ่ง
ยังหมายมุ่ง พลิกหล้า อย่างกล้าแกร่ง
รอฝนมา ฟ้าฉ่ำ จะสำแดง
วิถีแห่ง ชาวนา ต้องฝ่าฟัน
วสันต์ล่า ครานี้ กว่าปีก่อน
หรือโลกร้อน ดินฟ้า จึงพาผัน
ธรรมชาติ ขึ้งโกรธ ลงโทษทัณฑ์
กำหนดวัน พิภพ ต้องจบลง
นั่งกอดเข่า เรายัง มุ่งหวังอยู่
เบิ่งตาดู มิแต่ แค่ฝุ่นผง
ที่ขอบฟ้า มือดำ ค่ำนี้คง
พิรุณส่ง สายน้ำ ให้ฉ่ำนา
ถ้าเหนื่อนัก พักลง ที่ตรงนี้
ฟังวลี คำกลอน ที่อ่อนหวาน
มธุรส บทถ้อย ร้อยเป็นกานท์
ปลอบดวงมาน ให้คลาย หายกังวล
หลายกวี ที่รัก งานอักษร
เหล่านักกลอน หลากแหล่ง ทุกแห่งหน
นั่งจารคำ ล้ำค่า มาให้ยล
เสกสรรมนต์ วรรณกรรม ที่อำไพ
คนร่ายคำ คลอเคียง เสียงขลุ่ยแว่ว
ผิวเบาแผ่ว คอยรับ ขับเสียงใส
ทั้งเนื้อหา คารม คมบาดใจ
ชุ่มหทัย เมื่อยล มนต์กวี
หลายเรื่องราว จำลอง ท่องโลกฝัน
มาแบ่งปัน แนวทาง ต่างวิถี
อาจเท็จบ้าง จริงบ้าง ทุกอย่างมี
หลายวจี แว่วหวาน ซ่านวิญญา
เขาร่วมงาน สานฝัน วรรณศิลป์
ให้ระบิล เลื่องลือ สื่อภาษา
บรรพชน ค้นคิด ประดิษฐ์มา
สุดล้ำค่า ไว้ให้ เราใช้กัน
ถ้าเหนื่อยนัก พักลง ที่ตรงนี้
ตามวิถี ที่วาง ร่วมสร้างสรร
หลับตาร้อย ถ้อยคำ อยากจำนรรจ์
ระบายฝัน ที่ใจ เราใฝ่ปอง
ขลุ่ยบรรเลง เพลงเศร้า เหงาจริงหนอ
เขาผิวคลอ คำกลอน ที่อ่อนหวาน
คนประพันธ์ นั้นเล่า คงร้าวราญ
เนื้อความกานท์ กลั่นฝาก มาจากใจ
ถ้อยวลี จารคำ ที่ล้ำลึก
จนรู้สึก อาวรณ์ และอ่อนไหว
เขาพ้อพร่ำ รำพึง ฝากถึงใคร
เธออยู่ไหน ไยลับ มิกลับคืน
คนร่ายกลอน อ่อนหวาน ช่างขานขับ
คราสดับ กินใจ ให้สุดฝืน
เหมือนเจ็บช้ำ ย้ำอยู่ ดูยั่งยืน
แอบสะอื้น เบาเบา เพราะเหงาจัง
เมื่อมาเทียบ เปรียบเรา เหมือนเขานัก
ที่จมปลัก วังวน เรื่องหนหลัง
อยากจำเรียง รวมถ้อย ร้อยให้ฟัง
เขาช้ำยัง มิเท่า ครึ่งเราเลย
พอลมเย็น เยือกผ่าน ราญใจแท้
คนพ่ายแพ้ เตรียมใจ อย่างไรเอ๋ย
ฟังวรรคทอง ต้องเศร้า เหงาเช่นเคย
ลมรำเพย ยิ่งร้าว หนาวฤดี
ขลุ่ยบรรเลง ท้ายกลอน เสียงอ่อนช้อย
แล้วก็ค่อย จางไป คล้ายหลีกหนี
ปล่อยคนเศร้า เฝ้าหวล ทวนวลี
ทิ้งคนที่ เปล่าเปลี่ยว ....ให้เดียวดาย