26 สิงหาคม 2554 22:25 น.

คนบ้านนา ฟ้าเมืองหลวง

คนกรุงศรี

เมื่ออยู่นา ป่าเขา ลำเนาหนอง
มีบึงคลอง ทิวไผ่ ไร่นาสวน
เคยขุดดิน เผาถ่าน หว่านไถพรวน
ฟังเพลงครวญ ขลุ่ยแผ่ว ดังแว่วมา

บ้านมุงจาก ฟากทำ ด้วยลำไผ่
จุดขี้ไต้ ไล่ยุง พร้อมหุงหา
กินน้ำพริก ผักต้ม แกงส้มปลา
มีชีวา อยู่สุข มิทุกข์ใจ

พอขายนา มาเมือง มีเรื่องยุ่ง
เริ่มเฟ้อฟุ้ง รุ่งเรือง ที่เมืองใหญ่
อยู่ตึกราม ระฟ้า อ่าอำไพ
สุดวิไล ในกรุง ลืมทุ่งนา

ตกคืนค่ำ แสงสี มีวิจิตร
ใช้ชีวิต กลางคืน ชื่นนักหนา
ทั้งดื่มกิน เที่ยวเตร่ และเฮฮา
ลืมที่มา ของตัว เริ่มมัวเมา

มีเพื่อนหลาก มากมาย คบหลายหน้า
สุขอุรา ช่วยให้ ได้คลายเหงา
พอหมดเงิน บ่ายเย็น ไม่เห็นเงา
เริ่มซบเซา ขัดสน คนไม่มอง

คนบ้านนา ฟ้าเมืองหลวง ทรวงซอกซ้ำ
ต้องระกำ เหตุใด ไร้สมอง
เก็บเงินเก่า ก้อนสุดท้าย ที่ขายทอง
แล้วลอยล่อง กลับนา มาถิ่นเดิม				
25 สิงหาคม 2554 22:58 น.

วันเก่า ที่เราเคย

คนกรุงศรี

แว่วกังวาน ขานขัน ไก่มันกู่
พอเช้าตรู่ ฟ้าแดง แจ้งแล้วหนอ
หนาวลมเหนือ พัดล่อง แสงทองทอ
ข้าวตั้งกอ แกว่งพลิ้ว ลิ่วตามลม

เคยคว้าเคียว กระจาด พร้อมถาดข้าว
ก่อนฟ้าขาว ออกนา มาผสม
เห็นรวงทอง  ทั่วแดน แสนชื่นชม
พวกเราก้ม กำเคียว เกี่ยวกันไว

ที่หนุ่มสาว คลอเคล้า กระเซ้ากระซี้
สุขฤดี ยิ่งนัก เพราะรักใคร่
ช่วยกันเกี่ยว เก็บนำ แดดรำไร
ก็กลับไป เรือนชาน บ้านของเรา

วันนี้ตื่น ยืนมอง แล้วหมองหม่น
มิมีคน ทำนา พาใจเหงา
ทุ่งที่เคย เรืองรอง ต้องซบเซา
เหลือเพียงเงา ภาพจาง อย่างอาวรณ์

ทิ้งท้องทุ่ง เหินห่าง จนร้างแล้ว
ไร้ทิวแถว รวงริ้ว ที่ปลิวว่อน
ซากกองฟาง ข้างบ้าน บนลานดอน
กับไถกร่อน ผุพัง เคียงข้างกัน

ลมพัดกิ่ง ก้านไผ่ เอนไหวลู่
เสียงซ่าซู่ เบียดกอ ข้อดังลั่น
ดุจเสียงครวญ หวนมา จากนานั้น
ได้เพียงฝัน วันเก่า ที่เราเคย				
25 สิงหาคม 2554 22:30 น.

เข็ดแล้วรัก

คนกรุงศรี

เคยนั่งเศร้า เหล้าตั้ง อยู่ข้างตัก
เพราะว่ารัก เป็นพิษ เดินผิดกฎ
ลืมสัญญา แล้วก็ ทรยศ
ล้างเลือนหมด หม่นหมอง ไม่ตรองคิด

เธอทอดทิ้ง จากไป ไร้สำนึก
ความรู้สึก สับสน ดลดวงจิต
มอบสัมพันธ์ มั่นแท้ แด่มิ่งมิตร
เหตุน้อยนิด เดียวมา บอกลาละ

พอพบหน้า คราใด เลิกทายทัก
มิรู้จัก หรือไร จึงได้ผละ
เกลียดฉันหรือ ทรามวัย ใช่สินะ
คนจนจะ คบไย เกรงได้ทุกข์

ด้วยไร้ญาติ ขาดเพื่อน เขาเบือนหลบ
ไม่อยากพบ พาเรา นั่งเจ่าจุก
มีเหล้าอยู่ คู่กาย ก็หลายยุค
เสพก็สุข ลืมได้ ใจมันรับ

แสนซื่อสัตย์ กว่าคน อยู่บนโลก
ถ้าเศร้าโศก วันที่ ฤดีดับ
ก็หันหน้า หาเหล้า เข้าซึมซับ
สุขไปกับ ภาพฝัน จิตมันแนะ

เข็ดแล้วรัก ทำให้ ใจเลี้ยวลด 
มัวกำสรด โศกเศร้า เท่านั้นแหละ
หัดปลงตก เสียบ้าง ทางเยอะแยะ
จงวกแวะ หันหน้า มาเข้าวัด				
22 สิงหาคม 2554 23:17 น.

จีรัง

คนกรุงศรี

ผิวหนัง เหี่ยวย่น ปนหยาบ
ฉายฉาบ ดวงตา พร่าหม่น
ความเศร้า เคล้าคละ ปะปน
ตัวตน ร้าวรอน อ่อนแรง


ริ้วรอย เส้นเอ็น เห็นชัด
สัมผัส ทั่วทุก ตำแหน่ง
เวลา หมุนเวียน เปลี่ยนแปลง
ความแกร่ง แรมร้าง ห่างไกล


ก่อนนั้น สง่า ผ่าเผย
มิเคย จะพรั่น หวั่นไหว
เดี๋ยวนี้ ที่เห็น เป็นไป
เพราะวัย เหลือน้อย คอยรอ


งกงก เงิ่นเงิ่น เดินสั่น
ผมฟัน ล่าถอย ร่อยหรอ
หลังไหล่ กลับโก่ง โค้งงอ
เสียงก้อ แหบเครือ เมื่อฟัง


ครุ่นคิด คำนึง แต่ต้น
ตัวตน หนก่อน ย้อนหลัง
ใดหรือ จะมี จีรัง
ถึงฝั่ง ก็ตอน นอนโลง

คุณยาย
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา								

				
21 สิงหาคม 2554 22:51 น.

ธรรมชาติหรือ

คนกรุงศรี

               ดินแห้ง แล้งหนัก ชักแย่
               มีแต่ แพร่ฝุ่น หมุนติ้ว
               พื้นแตก แยกถอย รอยริ้ว
               ลมปลิว เปลวแดด แผดแรง
                            เพลิงไฟ ไหม้ป่า พาสิ้น
                            ทั่วถิ่น วน แสลง
                            ควันสุม รุมคลุก ลุกแดง
                           หลายแหล่ง โล่งแท้ แลมอง
               พ้นเดือน เลื่อนมา ฟ้ามิด 
               ลิขิต ของใคร ให้หมอง
               ฝนหลั่ง ดั่งทำ น้ำนอง
               หลากล่อง ฟ่องพา น่ากลัว

                            รินไหล ไม่หยุด สุดต้าน
                            สาดซ่าน ปานว่า ฟ้ารั่ว
                            ทรัพย์ลอย ถอยลด หมดตัว
                           หมองมัว ประชา หน้าดำ
               โทษใคร ไหนเล่า เขาแกล้ง
               สาบแช่ง เทวา น่าขำ
               คนใด ใครหนอ ก่อทำ
               ยีย่ำ ถางดง พงไพร
                            พฤกษา ป่าปก รกชัฏ
                            แอบตัด เคยดู รู้ไหม
                           บาปซ้ำ กรรมรับ กับใคร
                           แล้วใย ไม่แก้ แย่จริง
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกรุงศรี