18 กรกฎาคม 2554 22:27 น.
คนกรุงศรี
คลื่นทะเล ถาโถม เร้าโรมหาด
เฝ้าซัดสาด ผืนทราย พรายฟองขาว
ไม่เคยหลับ กลับตื่น อย่างยืนยาว
ดุจเรื่องราว ของคน บนโลกา
คลื่นมนุษย์ รุดเร่ง คล้ายเคร่งเครียด
รักโกรธเกลียด ปะปน คล้ายค้นหา
ทั้งโลภหลง บ่งชัด เป็นอัตตา
เมื่อเกิดมา เวียนว่าย ในสายกรรม
บ้างดิ้นรน ทนสู้ อย่างผู้น้อย
บ้างก็คอย โชคชะตา ดูน่าขำ
บ้างก็ชอบ ป่ายปีน ศีลธรรม
บ้างถลำ เกลือกกลั้ว มั่วอบาย
ทรชน คนพาล สันดานหยาบ
ติดตราบาป ให้เห็น เป็นเครื่องหมาย
มองกงจักร เป็นดอกบัว จนตัวตาย
สิ่งสุดท้าย ฝากชื่อ คือคนเลว
ก่อนจะถึง กองฟอน นอนสงบ
อาจต้องพบ วิบาก อยู่ปากเหว
ดิ่งจมสู่ นรก หมกไฟเปลว
ร่างหลอมเหลว สิ้นลับ ดับชีวา
น้ำทะเล เป็นคลื่น ซัดผืนฝั่ง
ครืนโครมคลั่ง กระโชก โตรกหินผา
คลื่นชีวิต คนเทียบ เปรียบคงคา
โชคชะตา ผันแปร ไม่แน่นอน
17 กรกฎาคม 2554 23:35 น.
คนกรุงศรี
เพราะหอมหวน ชวนให้ ใจลุ่มหลง
ภมรตรง บินล้อม ตอมบุปผา
มวลไม้ออก ดอกบาน ตระการตา
ภู่ผึ้งพา ดื่มด่ำ ชุ่มฉ่ำใจ
แวะเวียนเชย ชื่นชม ดั่งสมหมาย
จนหวานคลาย แห้งหมด มิสดใส
กลีบก็ช้ำ หมองเศร้า เหี่ยวเฉาไป
ภมรไกล บินลา มิอาทร
หาดอกใหม่ ไต่ตอม รสหอมหวาน
สุขสำราญ ซุกซน วนเวียนว่อน
ทิ้งดอกเก่า หม่นไหม้ ใจร้าวรอน
มิคืนย้อน ลืมหวาน เคยซ่านทรวง
แต่ภมร ผู้นี้ มีใจมั่น
มิแปรผัน ห่างไกล ไยเจ้าห่วง
หาได้เป็น เช่นเหล่า เขาทั้งปวง
กาลเลยล่วง เท่าไร ใจมั่นคง
แม้ดมดอม หอมจาง มิห่างหาย
มานมิคลาย มั่นตาม ความประสงค์
ยังถนอม ดอมเจ้า เราเจาะจง
รักยืนยง ฝังปลูก ผูกสัมพันธ์
เพราะดอกไม้ ดอกนี้ มีค่ายิ่ง
หากทอดทิ้ง จากไกล ใจโศกศัลย์
จะขอคู่ เคียงเจ้า จนนานวัน
มิทิ้งกัน จนกว่า จะลาไกล
17 กรกฎาคม 2554 23:05 น.
คนกรุงศรี
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
เรื่องกวางไพร กลางป่า มาเล่าขาน
มันยังหนุ่ม อ่อนวัย เกิดไม่นาน
ทั้งกล้าหาญ เขางาม ตามตำรา
เขาสามกิ่ง แผ่กว้าง อย่างสวยสม
กวางสาวชม หลงใหล ใจหรรษา
กวางแก่เก่า เขาหลุด สุดโศกา
หมดสง่า หลบไป ไม่ไยดี
จึงทะนง หลงตน บนความเขลา
ทุกค่ำเช้า มาดเข้ม กร่างเต็มที่
เที่ยวเดินอวด ไปทั่ว สิ่งตัวมี
ในชีวี นี้หนอ แสนพอใจ
วางตัวเด่น เป็นใหญ่ ใช้อำนาจ
เพื่อนมิอาจ สอนสั่ง ฟังมิได้
เขามิสวย อย่าสอน มันย้อนไป
ตัวอื่นไม่ คบค้า สมาคม
วันหนึ่งมา หากิน ไกลถิ่นฐาน
แสนสำราญ พืชไพร ที่ใบร่ม
เล็มยอดอ่อน เถาวัลย์ มันชื่นชม
กลิ่นตามลม สาบเสือ กลัวเหลือทน
โจนทะยาน เร็วรี่ หาที่หลบ
เสือตะปบ ไม่ทัน มันถอยร่น
แต่เถาวัลย์ พันเขา เข้าตาจน
จะดิ้นรน เท่าไร ไม่หลุดเลย
16 กรกฎาคม 2554 23:11 น.
คนกรุงศรี
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
พระผู้ใหญ่ ชื่อว่า หลวงตาเขียน
เป็นสมภาร วัดที่ มีเปรียญ
เพราะพากเพียร น้อมนำ ธรรมวินัย
มีเกลอเก่า ชื่อชัย อยู่ท้ายวัด
คุยต้องขัด ทุกที ที่เข้าใกล้
แต่ผ่านมา มิเคือง เรื่องอันใด
หากเหตุใด วันนี้ มีเรื่องราว
ลุงชัยแก โกรธสมภาร ท่านเสียนัก
เกินจะหัก ห้ามใจ ให้ร้อนผ่าว
คิดอุบาย แหวกแนว เล่ห์แพรวพราว
ทำกับข้าว แกงปลาไหล ถวายพลัน
เอาสลอด หยอดใส่ หวังให้ถ่าย
มิถึงตาย แกล้งเล่น เห็นขบขัน
แล้วสั่งลูก เร่งถวาย รีบให้ทัน
เดี๋ยวรู้กัน ฉันไป ได้เห็นดี
นั่งกระหยิ่ม ยิ้มย่อง จ้องฟังข่าว
เกิดเรื่องราว วุ่นวาย อะไรนี่
แกเห็นลูก ถูกหามมา ท่าไม่ดี
มันถ่ายถี่ ทั้งหนักเบา เลยเจ้าแดง
เอ็งกิน อะไรมา ข้าอยากรู้
พินิจดู คงต้อง ของแสลง
หลวงตาท่าน ไม่อยู่วัด ข้าจัดแจง
เลยกินแกง ที่พ่อให้ ถวายแก
15 กรกฎาคม 2554 23:25 น.
คนกรุงศรี
สุริยัน นั้นส่อง ต้องภิภพ
หมายจะลบ พวกเรา เผาให้หมด
แผ่รังสี สาดไป ไม่ละลด
กะกำหนด วันตาย ให้มนุษย์
ร้อนแรงพา ป่าไม้ ไฟท่วมลุก
กลียุค กล้ำกราย ใกล้ถึงจุด
แผ่นดินไกว ไหวถล่ม เมืองจมทรุด
กระชากฉุด ชีวา คนลาลับ
พายุพัด จัดจ้าน สะท้านทิศ
ฟ้ามัวมิด พิรุณ หมุนแปรปรับ
เทเป็นสาย ธารา คณานับ
ก็ถึงกับ ท่วมท้น จนจมมิด
ที่เมืองหนาว ร้าวนะ หิมะหมก
น่าวิตก ฤดูกาล มันผันผิด
ธรรมชาติ รุนแรง มันแผลงฤทธิ์
ไม่มีสิทธิ์ หยุดยั้ง นั่งทนทุกข์
เกิดอะไร ขึ้นเล่า โลกเราน่ะ
หรือว่าจะ สิ้นวัน สันติสุข
โลกยับเยิน มากมาย มาหลายยุค
ยากปรับปลุก พลิกฟื้น คืนให้ครบ
ทำโลกเลอะ เปรอะป่น คนลืมหลง
มินานคง ถึงขั้น เจอวันจบ
ถึงมีจิต คิดหวน นั่งทวนทบ
แม้บวกลบ คูณหาร ป่วยการคิด/font>