12 พฤศจิกายน 2554 22:18 น.
คนกรุงศรี
ก่อนเคยคิด ว่ารัก จักหอมหวาน
ชุบดวงมาน ให้ฉ่ำ ด้วยคำอ้อน
หลงคารม คมถ้อย ร้อยคำวอน
ฤทัยอ่อน จึงมอบ ตอบคำรัก
เคยสัญญา มั่นแม่น หนักแน่นยิ่ง
ทุกทุกสิ่ง ซึ้งฤดี ที่ประจักษ์
สุขกับความ สดชื่น รื่นรมย์นัก
ใครท้วงทัก แสนเบื่อ มิเชื่อฟัง
มินานใย ใจคน วกวนเล่า
คำพูดเก่า จางไป ในความหลัง
คำสัญญา เคยปลื้ม ลืมหรือยัง
คำมั่นครั้ง ก่อนกล่าว เขานั้นเลือน
คนรวนเร คบได้ แต่ไร้ค่า
ให้อุรา เราช้ำ ระกำเหมือน
ดั่งถูกมีด กรีดใจ ให้ฟั่นเฟือน
เธอเชือดเฉือน มานเรา เอาโยนทิ้ง
เจ็บอะไร ไม่เท่า เราเจ็บจิต
รักเป็นพิษ ทำร้าย ฤทัยหญิง
เขาเปลี่ยนไป ใคร่ขอรับ กับความจริง
มิท้วงติง เราหนอ เพียงขอไกล
จะอยู่อย่าง คนเหงา ปวดร้าวอก
น้ำตาตก จนต้อง สุดหมองไหม้
สงบจิต รอแต่ เลียแผลใจ
อีกเมื่อไร นั้นเล่า เลิกเศร้าทรวง
ดอกแก้ว
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา ๖ / ๒ / ๒๕๔๓
9 พฤศจิกายน 2554 22:25 น.
คนกรุงศรี
นิทานขรัวตา น้ำมนต์
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
ด้วยสาวใหญ่ สามี มักหนีห่าง
กลับบ้านค่ำ ทำเป็น เช่นรักจาง
จึงน้องนาง สงสัย เหตุใดกัน
ไปหาหมอ ทำนาย ท่านทายทัก
เรื่องความรัก ยังแน่วแน่ มิแปรผัน
หมอดั้นด้น ค้นคว้า หาทางตัน
ผ่านหลายวัน มีคำตอบ มอบของดี
เอาของขลัง มอบให้ ลองใช้แก้
ศักดิ์สิทธ์แท้ คาถา ว่าเต็มที่
ถ้าใช้ให้ ถูกตาม กรรมวิธี
แล้วสามี จะมา หาเร็วไว
เธออดทน ขวนขวาย มิหน่ายแหนง
ปรากฏแจ้ง จริงแท้ แน่ไฉน
เพียงสองเดือน มินาน สานสายใย
สามีไม่ แชเชือน เหมือนก่อนเคย
เย็นรับลูก กลับมา หน้าสดชื่น
ทุกข์อย่างอื่น ไม่มี แล้วพี่เอ๋ย
บ้านสงบ สุขใน ใจเสบย
คนชมเชย อิจฉา ว่าดีจริง
เพื่อนบ้านถาม ความนัย เพราะใคร่รู้
ยอดพธู เธอตอบ มอบทุกสิ่ง
มิปิดบัง อะไร ไม่ประวิง
ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง น้ำมนต์ ที่ตนอม
ขรัวตา
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา
8 พฤศจิกายน 2554 22:19 น.
คนกรุงศรี
มองบุหลัน วันเพ็ญ เห็นแล้วเศร้า
ภาพครั้งเก่า เข้าเยือน เตือนใจอยู่
ที่เคยนั่ง ริมวารี มีพธู
เราเคียงคู่ ปล่อยกระทง ลงธารา
แสงจันทร์แจ่ม นวลจ้า ส่องหน้าเจ้า
สุขใดเท่า วันนั้น ยังฝันหา
รอวันเดือน เคลื่อนคล้อย คอยกานดา
ทุกวาจา ยังจำ ถ้อยคำเปรย
ค่ำคืนนี้ มองจันทร์ ดูมันหม่น
เหมือนเย้ยคน เหว่ว้า นิจจาเอ๋ย
ไร้คนคู่ อยู่ข้าง เหมือนอย่างเคย
เพราะทรามเชย จากลา มิมาเคียง
ก็หลายปี ที่ผ่าน แม้นานนัก
เราเจ็บหนัก เพราะใจ แตกหลายเสี่ยง
พรหมลิขิต ขีดเส้น ให้เอนเอียง
ทิ้งไว้เพียง แต่เรา เฝ้าอาดูร
คนกรุงศรี ฯ
7 พฤศจิกายน 2554 22:12 น.
คนกรุงศรี
เฝ้าสร้างฝัน วันข้างหน้า อนาคต
กะกำหนด แนวทาง วางรากฐาน
ไม่ต้องรอ พรหมลิขิต ผิดหลักการ
เพราะร้าวราญ มามาก จึงอยากลอง
ถือหางเสือ เรือชีวิต ตามคิดหวัง
รวมพลัง หลายหลาก จากสมอง
ใช้สติ ปัญญา มาปกครอง
แล้วลอยล่อง นาวา ท้าคลื่นลม
จะเนิ่นนาน กาลใด ก็ไม่หวั่น
ฤทัยมั่น ก้าวย่าง อย่างเหมาะสม
ถึงจุดหมาย เมื่อไร ใคร่ชื่นชม
เคยช้ำตรม คงคลาย ที่ปลายทาง
มินอนรอ วาสนา ให้มาถึง
มิต้องพึ่ง ใบบุญ เกื้อหนุนสร้าง
มิเคยท้อ ว่าเวรกรรม จะอำพราง
มิเคยอ้าง กุศล ที่ตนทำ
อาจทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็ช่างเถิด
เมื่อได้เกิด เป็นคน อย่าบ่นพร่ำ
แล้ววันนี้ จะให้ ใครเขานำ
มิเลิศล้ำ แล้วก็ อย่าท้อใจ
เพียรสร้างฝัน วันหน้า อนาคต
จะสวยสด สมปอง หรือหมองไหม้
แม้เหนื่อยยาก ตรากตรำ ทนทำไป
อย่างน้อยได้ ความดี ที่ติดตน
7 พฤศจิกายน 2554 22:08 น.
คนกรุงศรี
เสียงฉิ่งฉับ กรับเกราะ เสนาะหู
หญิงชายผู้ ชรา ใบหน้าหมอง
นัยตามืด มิอาจ สามารถมอง
เดินเยื้องย่อง ร้องเพลง บรรเลงไป
ผมขอเศษ ส่วนทาน ท่านเจ้าขา
โปรดเมตตา ตัวฉัน นั้นได้ไหม
เพียงแค่เฟื้อง สลึง ก็พึงใจ
สะสมไว้ พอมื้อ ซื้อข้าวกิน
หมดที่พึ่ง พักพิง ยิ่งแสนยาก
ทนลำบาก หม่นไหม้ ไร้ทรัพย์สิน
ต้องเตร็ดเตร่ เร่ร่อน นอนกลางดิน
เพราะสูญสิ้น ดวงตา มันฝ้าฟาง
เราหากิน ไม่พอ จึงขอท่าน
โปรดทำทาน ผ่านมา อย่าเมินหมาง
อนาคต ที่อยู่ ดูเลือนลาง
ปันสตางค์ สร้างกุศล ช่วยคนจร
วณิพก เยื้องกราย ร่ายรำร้อง
เพื่อปากท้อง อยู่ได้ ไม่หลอกหลอน
เดินขับกล่อม ให้ครื้นเครง ด้วยเพลงกลอน
แลกที่นอน ที่กิน ก่อนสิ้นใจ
แต่ฉันเป็น วณิพก ผู้ตกต่ำ
มาพรอดพร่ำ คำหวาน วอนขานไข
หวังที่จะ สมาน สานสายใย
รอสาวให้ ทานรัก เราสักคน
คนกรุงศรีฯ