28 กุมภาพันธ์ 2553 23:08 น.

สัจจธรรม

คนกรุงศรี

เมื่อพบแล้ว จำพราก จากไกลพ้น
ชีวิตคน บนเวที ที่กว้างขวาง
อาจไม่เน้น จำเพาะ ความเปราะบาง
ตลอดทาง สายยาว ที่ก้าวเดิน

มีสุขเศร้า ปรุงแต่ง ทุกแห่งหน
ปุถุชน ชี้ชัด มิขัดเขิน
อย่ายึดมั่น ถือมั่น ฝันไกลเกิน
เมื่อเผชิญ สัมผัส อนัตตา

กิเลสคือ ตัวแปร ที่แย่มาก
มีหลายหลาก ปมเปิด เกิดปัญหา
เข้าเกาะกุม สุมจิต อนิจจา
รอเวลา ลุกลาม ท่ามกลิ่นไอ

เมื่อเกิดแล้ว สุดท้าย ต้องตายแน่
คือจริงแท้ จวบบรรลุ อายุขัย
หมดกรรมของ ภูมิภพ จบชีพไป
ร่างมอดไหม้ สูญสิ้น ทั้งอินทรีย์

รวมดินน้ำ ลมไฟ ในมนุษย์
เพื่อเป็นจุด ประกาศ ธาตุทั้งสี่
หล่อหลอมขึ้น มาทำ กรรมชั่วดี

แล้วแต่มี ดุลยพินิจ คิดไฝ่ปอง

รักจะเกิด ต่อเมื่อ เชื้้อเริ่มคุ
โลภประทุ เร้ารุม สุมสมอง
โกรธเกลียดแค้น ดั่งให้ ไฟเข้าครอง
หลงจักต้อง ทุกข์ทน  จนตัวตาย				
28 กุมภาพันธ์ 2553 00:49 น.

วงเวียน

คนกรุงศรี

วันและวัย ปรากฎ กำหนดแน่
   ความเปลี่ยนแปร มิยั้ง ต่อสังขาร
   ต่างร่วงโรย มอดไหม้ ไปตามกาล
   เวลาผ่าน พานพบ ครบชั่วดี

ได้เก็บเกี่ยว ประสบการณ์ งานชีวิต
เพื่อใช้สิทธิ์ ยึดย้ำ ทำหน้าที่
บทบัญญัติ แห่งกรรม นำชีวิ
เครื่องบ่งชี้ แนวทาง อย่างแน่นอน

  เส้นหนึ่งคือ หนทาง สร้างความชั่ว
  หากเกลือกกลั้ว วุ่นวาย มิถ่ายถอน
  จมอยู่กับ ความคิด ผิดขั้นตอน
  ตราบม้วยมรณ์ ดวงจิต ติดมายา

เส้นหนึ่งคือ ความดี ที่ก้าวย่าง
เพื่อสรรสร้าง สืบสาย สู่ภายหน้า
คุณธรรม ปรานี มีเมตตา
ถือสัจจา เหนือยิ่ง กว่าสิ่งใด

  ชั่วและดี มองเห็น อย่างเด่นชัด
  จงขจัด ขัดเกลา เฝ้าแก้ไข
  โลภโกรธหลง ละวาง ห่างกายใจ
  แม้คลั่งไคล้ ตามต่อ ก่อเกิดกรรม

วันและวัย ปรากฎ กำหนดแล้ว
เดินตรงแนว เถิดหนา อย่าถลำ
พุทธองค์ ทรงตรัส สัจจธรรม
ควรจดจำ ปฎิบัติ ด้วยศรัทธา				
28 กุมภาพันธ์ 2553 00:17 น.

ม่านฟ้า ม่านฝัน

คนกรุงศรี

จันทร์รูปเคียว เรียวรี แสงสีหม่น
ดั่งใจคน คนหนึ่ง ซึ่งผิดหวัง
วิมานสวย จบสิ้น อย่างภินท์พัง
น้ำตาหลั่ง รินแต้ม แก้มบางบาง

    แต่ละหยด ละหยาด บาดดวงจิต
    ดุจยาพิษ ล้อมรุม สุมทั่วร่าง
    มีเหตุผล มากมาย หลายแนวทาง
    ล้วนแตกต่าง จริงแท้ ไม่แน่นอน

ฉันยืนอยู่ ตรงนี้ ตรงที่เก่า
พร้อมความเหงา เรียงราย คล้ายภาพหลอน
ซ้อนสลับ หมุนเวียน เปลี่ยนขั้นตอน
ใจอ่อนอ่อน รับไหว หรือไรกัน

   จันทร์เริ่มจะ จางหาย จากปลายฟ้า
   ม่านดวงตา ปิดลง ตรงภาพฝัน
   อยากหลับให้ สนิท นิจนิรันดร์
   พร้อมผูกพันธ์ แห่งค่า สัญญาเรา

ดาวจะเลือน เดือนลา จากฟ้าแล้ว
ลิบลิบแนว โน้มต่ำ ย้ำรอยเหงา
ยินเสียงครวญ หวานแว่ว ดังแผ่วเบา
ยิ่งแสนเศร้า สับสน จนหมองตรม

   ลาก่อนนะ เดือนดาว พราวเวหน
   คิดถึงคน อยู่ห่าง อย่างขื่นขม
   สุดอ้างว้าง เดียวดาย กลางสายลม
   ร้าวระบม ดั่งคล้าย...ตายทั้งเป็น				
20 กุมภาพันธ์ 2553 22:44 น.

อีกกี่หนาว

คนกรุงศรี

วสันต์ปลาย สายฝน มิหล่นแล้ว
ก่อนพุ่มแก้ว กอขจี สีเขียวใส
ดอกหอมกรุ่น กลิ่นฟุ้ง จรุงใจ
แลกิ่งใบ ไหวพลิ้ว ลิ่วตามลม

ลมเหนือล่อง ต้องต้น จนหวาดหวั่น
กอแก้วนั้น สั่นไกว ให้ขื่นขม
กลีบดอกร่วง ควงต้น ขาดคนชม
กองผสม ใบแดง ที่แห้งปลิว

พิรุณขาด โคนแข็ง ระแหงแตก
เห็นดินแยก ยิ่งหม่น ทนวาบหวิว
ลมเหนือพัด พืชเอน ราบเป็นทิว
โลมไล้ผิว พาเรา เศร้าดวงมาน

และดอกแก้ว คนนี้ อีกกี่หนาว
จะหายร้าว หลีกหลบ พบความหวาน
ใจดวงน้อย คอยชะแง้ มาแต่นาน
เวลากาล ผ่านพ้น ยิ่งหม่นทรวง

ยี่สิบสี่ ปีร้าว หนาวมานัก
คราวนี้หนัก หรือไม่ ใจยังห่วง
ไร้คู่คิด เกี่ยวแขน เป็นแฟนควง
กว่าจะล่วง ลุหนาว คงร้าวรอน

กอแก้วแห้ง หมดฝน มีคนช่วย
ชุ่มชื่นด้วย น้ำรด ตามบทสอน
แต่ดอกแก้ว ดวงฤทัย ให้อาวรณ์
หลายหนาวร้อน ยังไร้ คนไยดี

                                  ดอกแก้ว  ดวงฤทัย				
19 กุมภาพันธ์ 2553 23:49 น.

ทางรัก ทางเลือก

คนกรุงศรี

สนธยา ฟ้าหมอง นั่งตรองคิด
มันถูกผิด หรือไร ใจวิตก
ก็สับสน อยู่ท่าม ความเวียนวก
เหมือนโกหก ตนเอง เกรงเกิดทุกข์

    ความจริงใจ ให้กัน นั้นมั่นนัก
    ด้วยยึดหลัก รักจริง สิ่งก่อสุข
    แต่มโน โต้ถาม เหมือนลามรุก
    ว่าซ่อนซุก สิ่งใด ในส่วนลึก

อนาคต มองไป แลไกลลิบ
อยากจะหยิบ มาครอง เมื่อตรองตรึก
สารพัน ปัญหา ถ้าจะนึก
ความรู้สึก อาทร ย้อนสมทบ

    อยากจะมอบ สิ่งดี ที่ควรรับ
    เหมือนกันกับ ที่ใคร ได้ประสบ
    เพราะเนิ่นนาน นักหนา กว่าจะพบ
    พรหมท่านหลบ ลิขิต ผิดวาระ

ยังเผชิญ เดินไป แม้ไร้จุด
หรือว่าหยุด แล้วเรา ก้าวถอยผละ
เธออาจพบ คนดี กว่านี้นะ
เพียงแต่จะ รับไหม ให้พินิจ

    ความเมตตา ปรานี ไม่มีหมด
    อย่ารันทด เธอนี้ ยังมีสิทธิ์
    สามารถวาด แนวทาง วางชีวิต
    พูดเพราะจิต ของฉัน นั้นยังรัก				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกรุงศรี