16 พฤษภาคม 2553 00:25 น.
คนกรุงศรี
การศึกษา พื้นฐาน สำคัญนัก
รัฐตระหนัก รีบรัด เร่งจัดสรร
ประชาชน ยากไร้ ดีใจกัน
สิบห้าชั้น เรียนไป ไม่เสียตังค์
เรายากจน มิต้อง กลุ้มหมองหม่น
ลูกทุกคน สดใส สมใจหวัง
วันมอบตัว ครูแจ้ง แจงให้ฟัง
เหลือที่ยัง ต้องจ่าย บางรายการ
ค่าจ้างครู ชาวฝรั่ง โด่งดังสุด
ค่าปรับปรุง ห้องสมุด ห้องอาหาร
ค่าซื้อคอม เครื่องใหม่ ไว้พิมพ์งาน
ค่าสมภาร ที่วัด จัดบอกบุญ
ค่ากั้นรั้ว ค่าตีฝ้า ค่าทาสี
ค่าดนตรี ค่ากีฬา ค่าเลี้ยงรุ่น
มีค่ารถ ค่าศิษย์เก่า เขาเจือจุน
ค่ากองทุน ช่วยสังคม ชมรมเรา
ก็มีเพียง เท่านี้ ที่ต้องเพิ่ม
ตัดค่าเทอม ออกไป ไม่จ่ายเขา
สงสารรัฐ ภาระใหญ่ มิใช่เบา
ช่วยบรรเทา ทุกข์ได้ เป็นก่ายกอง
แถมยังให้ ค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือ
สบายบรือ เลยเรา เลิกเศร้าหมอง
การศึกษา ฟูเฟื่อง ดูเรืองรอง
ผู้ปกครอง สุขใจ ไปหลายปี
15 พฤษภาคม 2553 23:57 น.
คนกรุงศรี
เคยผ่านร้อน หนาวฝน วนหลายเที่ยว
ทนเปล่าเปลี่ยว เพราะใจ ยังไขว้เขว
เกรงเจ้บปวด ชอกช้ำ เจอจำเจ
แม้ว้าเหว่ กมล ทนเรื่อยมา
รักไม่จริง จากใจ จึงไม่รัก
คอยปกปัก หักใจ กลัวไร้ค่า
รักแล้วขม จมคราบ อาบน้ำตา
ไม่ดีกว่า ยอมเดียวดาย สบายทรวง
รักเคยพบ จบสิ้น รู้ลิ้นหลอก
รักกลับกลอก ทำไม ใจต้องห่วง
รักเล่นเล่น เห็นอยู่ รู้ลมลวง
รักทั้งปวง ประสพ พบกับตน
ถึงหน้าหนาว คราวที่ แก้วมีรัก
เฝ้าฟูมฟัก ดูใจ ผ่านหลายฝน
มีบทเรียน สอนอยู่ คู่กมล
จึงแยบยล เลือกย่าง อย่างระวัง
ดูเขาดี กว่าใตร ที่ได้พบ
ก็เกือบครบ สามปี ที่วาดหวัง
ความเข้าใจ ให้กัน มั่นจีรัง
คงพบสุข สมดั่ง ความตั้งใจ
วาดวางแผน อนาคต กำหนดมั่น
รอคอยวัน ชีวี ที่สดใส
แต่นิดหนึ่ง ซึ่งต้อง มองการณ์ไกล
ยังเผื่อใจ ไว้เจ็บ ......เก็บความตรม
28 เมษายน 2553 23:34 น.
คนกรุงศรี
กระดูกกร่อน นอนสงบ นักรบกล้า
อยุธยา ทหารเก่า น่าเศร้าหมอง
ปัจจามิตร คิดร้าย หมายครอบครอง
กูทั้งผอง ร่วมพลัน ป้องกันภัย
เสียชีวิต เลือดเนื้อ ก็เพื่อหมาย
มิอยากกลาย เป็นทาส ของชาติไหน
ร่างกายถม จมดิน ทั่วถิ่นไทย
รักษาให้ มึงอยู่ ดูแลกัน
โครงกระดูก ลุกขึ้น สะอื้นไห้
ถามว่ามึง เป็นไทย กันไหมนั่น
มาแบ่งแยก แตกเหล่า พงศ์เผ่าพันธุ์
ทะเลาลั่น เข่นฆ่า ช่างน่าอาย
ผีปู่ตา ด่าถึง พวกมึงนี่
ถ้าเช่นนี้ คงสักวัน มันฉิบหาย
เสียแรงเขา ฟันฝ่า มามากมาย
แสนเสียดาย เลือดเรา เอาโลมดิน
แล้วลูกหลาน ของมัน นั้นฤๅสุข
หรือหมดยุค ชาติไทย คงใกล้สิ้น
ตัวอย่างมี มากมาย ให้ยลยิน
ต้องทิ้งถิ่น เร่ร่อน ก่อนสิ้นลม
หัวกระโหลก หลีกหลบ ซบสะอื้น
สุดจะฝืน จิตใจ ให้สุขสม
เห็นลูกหลาน เลือดไทย ใจโสมม
ต่างนอนก้ม ร่ำไห้ .....ปวดใจจัง
18 มีนาคม 2553 23:22 น.
คนกรุงศรี
จากวานนั้น ถึงวันนี้ หลายปีผ่าน
ประสพการณ์ ชีวิต มีผิดหวัง
เคยได้ร่วม รวมใจ ให้พลัง
ก็เมื่อครั้ง รู้รับ กับเรื่องราว
พรหมลิขิต ขีดมา ให้อาภัพ
ชินชากับ ความปวดเจ็บ สุดเหน็บหนาว
อยากจะหยุด เพราะท้อ ก็หลายคราว
เราก็ร้าว หม่นไหม้ ไปกับเธอ
กำลังใจ ให้กัน ฉันมวลมิตร
ยิ่งสนิท ตราตรึง ซึ้งเสมอ
มีหลายหลาก ภาระ ที่จะเจอ
น้ำตาเอ่อ ทุกครั้ง ที่ฟังความ
แม้กายห่าง ต่างใจ ที่ใกล้นัก
คอยเป็นหลัก ป้องภัย เฝ้าไต่ถาม
ให้เดินถูก แนวที่ ทางดีงาม
ตั้งอยู่บน นิยาม นามว่าคน
เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งที่รัก
พึ่งพำนัก ทางใจ พอได้ผล
รักษาได้ เพียงแต่ แค่กมล
ฟ้าเบื้องบน ตั้งกฏ กำหนดมา
จากวันนั้น วันนี้ ไม่มีแล้ว
สำเนียงแว่ว ถ้อยความ คอยถามหา
แค่คิดถึง น้ำคำ จำนรรจา
กับน้ำตา รินไหน อยู่ในทรวง
18 มีนาคม 2553 22:48 น.
คนกรุงศรี
ลิบลิ่ว ทิวทุ่ง ฟุ้งฝุ่น
ลมหมุน สะบัด พัดหวน
ความร้อน ประเมิน เกินควร
ดินร่วน เริ่มแยก แตกลาย
กอหญ้า พาแดง แห้งกรอบ
มองรอบ แลไป ใจหาย
ห้วยแห้ง เหลือแต่ แค่ทราย
ปลาตาย ติดตม จมดิน
แดดแรง แสงจ้า ฟ้าใส
หาเมฆ มองไป ไร้สิ้น
เหงื่อไคล ไหลรด หยดริน
ทุกถิ่น ทั่วแดน กันดาร
จูงควาย ไถนา คราก่อน
ดินอ่อน ดีใจ ได้หว่าน
รอฝน จากฟ้า ประทาน
เหตุการณ์ ผันแปร แย่จัง
ข้าวพันธุ์ หว่านไป ตายสิ้น
ในจินต์ รันทด หมดหวัง
หนี้สิน รังรุง นุงนัง
เหม่อนั่ง จับเจ่า เศร้าทรวง
รอฟ้า หาฝน หล่นก่อน
ไหว้วอน เทพไท้ ในสรวง
ฟากฟ้า ส่งผล กลลวง
ฝนร่วง นาล่มจมไป