4 มิถุนายน 2554 23:11 น.
คนกรุงศรี
เมื่อรู้ว่า รักใคร ใจก็เจ็บ
ดังหนามเหน็บ ฝังฝาก ยากประสาน
เหมือนอยู่ใน ความเศร้า ที่ร้าวราญ
ทรมาน ยิ่งนัก โอ้รักเอย
กำแพงที่ กั้นขวาง อย่างแน่นหนา
ใช่กำแพง เงินตรา มาอ้างเอ่ย
เป็นกำแพง ศรัทธา ค่าคุ้นเคย
สุดจะเผย บอกให้ ใครรับฟัง
ทุกครั้งที่ คิดถึง คะนึงหา
หยาดน้ำตา ใสใส ก็ไหลหลั่ง
เหนื่ออ่อนล้า เต็มกมล จนเซซัง
อยากชิงชัง ใจนัก ไม่รักดี
แม้ห้ามหัก รักไม่ คลายสักนิด
ทำให้จิตต์ ยิ่งเหงา เศร้าหมองศรี
อยากละยิ่ง ร้าวรวด ปวดชีวี
ก็สุดที่ จะตัด ยอมขัดใจ
ก็ปล่อยใจ ประจักษ์ รู้รักบ้าง
เคยอ้างว้าง จางหมด เริ่มสดใส
แม้เคยเสีย น้ำตา มาเท่าใด
บอกฤทัย ให้แยก จำแนกความ
รู้แล้วรัก อย่างไร จึงไม่เจ็บ
พ้นหนาวเหน็บ ตอบได้ ในคำถาม
เพราะศรัทธา มามี ความดีงาม
ในนิยาม คำที่ รักพี่ชาย
1 มิถุนายน 2554 23:40 น.
คนกรุงศรี
เกิดในถิ่น ดินแดน แคว้นสยาม
เมืองงดงาม ประเพณี ดีนักหนา
ขนบธรรมเนียม เยี่ยมยอด ตลอดมา
ล้ำเลอค่า สุดหวงแหน อยากแทนคุณ
ขอช่วยชาติ รับใช้ ตั้งใจหวัง
เอากำลัง แรงกาย หมายเกื้อหนุน
มีสินทรัพย์ เหลือเฟือ อยากเจือจุน
แค่เอาบุญ กุศล ใส่ตนตัว
ถ้าได้เป็น ส.ส. ก็สมคิด
ชวนมวลมิตร กำหราบ ปราบคนชั่ว
ใครจะขวาง อย่างไร ไม่เคยกลัว
จึงรวมหัว ตั้งพรรค มั่นหลักการ
ก็ชาวไทย หลายคน ยังจนยาก
แสนลำบาก ไร้เงินตรา น่าสงสาร
เอาของแจก จ่ายไป แค่ไม่นาน
ผลบุญทาน ความดี มีพอเพียง
เขาเหล่านี้ เชื่อได้ ใจสัตย์ซื่อ
จ่ายเงินซื้อ มิเท่าไร ก็ได้เสียง
กาเลขเรา เอาเงินไป ไม่ลำเอียง
แถมงานเลี้ยง อีกที ตอนมีชัย
กินตำแหน่ง ใหญ่โต โก้หนักหนา
แสวงหา ประโยชน์ ที่สดใส
แม้ปวงชน ก่นด่า มิว่าไร
ที่ทำไป เถอะเชื่อ ...เพื่อชาติเรา
1 มิถุนายน 2554 23:21 น.
คนกรุงศรี
ก็เพราะไกล เกินกว่า จะคว้าถึง
แค่คะนึง พาให้ จิตไหวหวั่น
สูงสุดสอย ลอยเด่น ดั่งเช่นจันทร์
เป็นกระต่าย หมายมั่น จึงพรั่นใจ
มองเงาหัว ตัวอยู่ รู้ต่ำต้อย
ค่ามีน้อย เพียงดิน สิ้นสดใส
ฤๅจะเทียบ นภา อ่าอำไพ
ร้าวฤทัย มิกล้า มองฟ้าคราม
เป็นยาจก เหิมหาญ ทะยานสูง
กากับยูง พอเอ่ย ถูกเย้ยหยาม
ว่ามิเจียม เตรียมจิต คิดประนาม
เพราะต่ำทราม หรือชั่ว นะตัวเรา
ใคร่เชยชม ดอกฟ้า จึงพาหมอง
แม้หมายปอง ต่อไป กลัวใจเหงา
เลิกคิดสอย คอยแล มองแต่เงา
แบ่งบรรเทา เศร้าทรวง ห้วงฤดี
วาสนา น้อยนัก หักใจหนอ
ถึงจะรอ ต่อไป ไม่สุขศรี
ฟ้าเคียงดาว พราวใส ในราตรี
ตัวเรานี้ คงอยู่ ขาดคู่ครอง
มีบ้างไหม ใครเล่า เขาสงสาร
เศษเสี้ยวทาน แบ่งให้ พอคลายหมอง
แม้ดอกดิน ก็ไม่ มาใฝ่ปอง
คงจำต้อง เดียวดาย ..จวบวายปราณ
1 มิถุนายน 2554 22:55 น.
คนกรุงศรี
ก่อกำแพง แก้วกว้าง มาขวางกั้น
หลากหลายชั้น ล้อมแดน อย่างแน่นหนา
สร้างตึกใหญ่ โอฬาร ตระการตา
สูงสุดค่า เพื่ออยู่ เคียงคู่กัน
เกรงจากไป ใจหมอง จึงต้องกัก
ด้วยเพราะรัก อยากให้ ได้สุขสันต์
เอาโซ่ทอง คล้องกาย สายสัมพันธ์
ด้วยหมายมั่น มิพราก หรือจากไกล
ต้องต่อสู้ รู้ว่า ภาระมาก
ทั้งหลายหลาก ร่วมด้วย ช่วยแก้ไข
ปฏิบัติ อยู่ท่าม ความเป็นไป
แต่ฤทัย เราหม่น พ่ายตนเอง
ยากจะห้าม มิให้ ใคร่ครวญคิด
แม้ดวงจิต ปันไป ให้คนเก่ง
ทั้งหน้าที่ ศีลธรรม ยังยำเกรง
ใจคว้างเคว้ง สุดหัก แสนหนักทรวง
กักฉันได้ แต่กาย ใจลอยล่อง
พาเศร้าหมอง ลอยไป อยู่ในบ่วง
ด้วยความรัก เกินค่า คำว่าลวง
ทุกข์ทั้งปวง เรารู้ จึงสู้ทน
แม้หทัย ให้เธอ มิเลอเลิศ
แต่รักเกิด จากใจ หลายเหตุผล
ก็มอบเพียง รักแท้ แค่กมล
ถึงตัวตน ถูกกัน ยังปันใจ
28 พฤษภาคม 2554 23:07 น.
คนกรุงศรี
เคยเข้าออก ซอกซอย คอยประจบ
เที่ยวดักพบ ผู้คน บนวิถี
ทักพ่อขาย แม่ค้า ชวนพาที
มอบไมตรี มีน้ำใจ ให้ผู้คน
อยากรับใช้ พี่น้อง ทั้งผองนะ
เจอไหว้ดะ เรื่อยไป มันได้ผล
หน้านั้นยิ้ม แย้มรับ กับทุกคน
เดินดั้นด้น ป้อยอ ขอคะแนน
ช่างอ่อนน้อม ถ่อมตน คนเรียบร้อย
ปากไม่พร่อย วาจา มิกล้าแก่น
มองเป้าหมาย ดังเด่น เป็นผู้แทน
หวังนั่งแท่น ยิ่งใหญ่ ในสภา
คะแนนเสียง ท่วมท้น หลายคนให้
ตำแหน่งใหม่ ร.ม.ต. รอข้างหน้า
คำที่เคย ยึดมั่น ลั่นวาจา
ก็ดูว่า มันเหมือน จะเลือนลาง
กิริยา ท่าที มีอำนาจ
อวดเก่งกาจ ถือตัว ฟาดหัวหาง
อัธยาศรัย แบบเดิม เริ่มเจือจาง
ความกระด้าง ก้าวร้าว เข้าครอบงำ
มาดมันแปลก แตกต่าง ห่างวันก่อน
ผิดกับตอน มาหา แหมน่าขำ
มาดวันนี้ จงรู้ มาดผู้นำ
จะกล่าวคำ ใดใด ไม่เหมือนเดิม