19 สิงหาคม 2554 22:06 น.

อยากเป็นดาว

คนกรุงศรี

อยากจะเป็น ดารา อยู่ฟ้ากว้าง
ล่องลอยคว้าง กลางสรวง บนห้วงหาว
กระพริบแสง แข่งจันทร์ อันแพรวพราว
เด่นสกาว กลางเวหน ให้คนมอง

เพียงดวงจิต คิดฝัน ในวันนี้
แต่มิมี ผู้ใด ใคร่สนอง
มิโดดเด่น เป็นได้ ดั่งใฝ่ปอง
ก็จำต้อง ฝึกฝน เฝ้าทนรอ

สิ้นรูปสวย ไร้ทรัพย์ จึงอับโชค
อีกโฉลก ไม่ถูก จะปลูกก่อ
ความคิดฝัน นั้นไกล ไม่ละออ
แสนทดท้อ ทางตัน มันมืดมน

เห็นดารา หลายดวง โชติช่วงนัก
คนรู้จัก ทอแสง ทั่วแห่งหน
ควรคู่กับ ฟากฟ้า น่าเยี่ยมยล
แต่คำคน คิดไว้ ควรไตร่ตรอง

มัวส่องแสง เจิดจ้า ยามฟ้าค่ำ
ตอนเดือนต่ำ ดาวตก อกอาจหมอง
อรุณรุ่ง นภา ฟ้าสีทอง
ก็จำต้อง ลับตา จากลาไป

เลิกอยากเป็น ดาวน้อย ล่องลอยฟ้า
เกรงถึงครา ผิดหวัง นั่งร้องไห้
ขออยู่ดิน เดินดง พงป่าไพร
ขอเป็นแค่ ดาวใจ ใครสักคน
				
13 สิงหาคม 2554 23:19 น.

มีรักเถอะ

คนกรุงศรี

กลบท สะบัดสะบิ้ง
                อย่าปล่อยให้ ความรัก     ประดักประเดิด
                จะเลยเถิด ไม่มี               ประสีประสา
                เมื่อหัวใจ พร้อมรับ          ประดับประดา
                ใครให้มา จงยิ้ม              ประพิมประพาย

                         เขาคงพูด หยอกล้อ       ประจ๋อประแจ๋
                            เฝ้าเล็งแล ตาเขม้น        กระเส็นกระสาย
                            ดักพบพาเกาะแกะ        ระแคะระคาย
                            อย่าเหนียมอาย ระอา    พะว้าพะวัง

                         มาตรแม้มี คนที่            ระรี้ระริก
               ไม่หลุกหลิก คร่ำเคร่ง   เขม็งขมัง
               อย่ากังวล ห่วงหน้า      ละล้าละลัง
               หากสมหวัง อุ่นไอ        ละไมละมุน

                            ถ้าชายใดรบเร้า         กระเซ้ากระซี้
                           สักนิดมี ใจรับ            สนับสนุน
                           แต่ถ้ารูป ไม่งาม        อร่ามอรุณ
                           ก็อย่าขุ่น โกรธขึ้ง       กะบึงกะบอน

                 ถ้าคนใด ใกล้ชิด           สนิทสนม
              จงระวังคารมย์            กระออดกระอ้อน
              อาจจะแสร้ง ทำเศร้า   กระเง้ากระงอน
              มาเว้าวอน ไม่ครอง     กับร่องกับรอย

                           แต่ว่าพี่ คนนี้            กระซี้กระซิก
                           ไม่ตุกติก โป้ปด         กระถดกระถอย
                           มีหลายอย่าง ในจิต  ประดิดประดอย
                           อยากบอกกลอยใจ ให้ชื่น   ระรื่นระเริง
				
13 สิงหาคม 2554 22:58 น.

รุ้งหลังฝน

คนกรุงศรี

พายุจัด พัดพา ฟ้ามืดมิด
ทั่วทุกทิศ เมฆิน รินหลั่งไหล
เป็นหยดหยาด น้ำลม พรมทั่วไป
อีกเท่าใด จะผ่าน ม่านเมฆี

               พอฝนซา ฟ้าโปร่ง โล่งเรืองแสง
               ตะวันแรง ส่องสาด วาดแถบสี
               สะพานรุ้ง พุ่งสอด ยอดคิรี
               เห็นรุจี ทอประกาย สุดสายตา

สีสดใส แพรวพราว เข้าเรียงแถว
พาดเป็นแนว โค้งลด จดขอบหล้า
ฝนขาดเม็ด เก็จแก้ว เพริศแพร้วพา
ชื่นอุรา แลแสงรุ้ง พุ่งกระจาย

ถ้าอาทิตย์ อัสดง ลงแล้วเล่า
              ก็หงอยเหงา ชีวา ฟากฟ้าหาย
              คงไม่เห็น แสงทอง ของรุ้งพราย
              ความมืดกราย กลืนกลบ ลบตะวัน

ชีวิตคน บนโลก ทุกข์โศกสุข
เข้าเคล้าคลุก รวมอยู่ ดูน่าขัน
มรสุม รุมเร้า เฝ้าฝ่าฟัน
กว่าจะผัน รอดพ้น สุดทนทาน

              ชีวิตถูก มรสุม แสนกลุ้มเศร้า
              เวลาเท่า ใดจะ ชนะผ่าน
              เกรงไม่เห็น รุ้งชีวิต วิจิตมาน
              เพราะเนิ่นนาน กว่าที่ สุรีย์รอ
				
13 สิงหาคม 2554 22:38 น.

จากลูกที่แดนไกล

คนกรุงศรี

แม้ห่างไกล ใจยัง ฝังระลึก
ด้วยสำนึก พระคุณ การุณย์ยิ่ง
ทั้งน้ำใจ แม่หลาก แสนมากจริง
สุดหาสิ่ง ใดเทียบ หรือเปรียบปาน

 แต่ภาระ หน้าที่ ลูกนี้มาก
 ยังลำบาก ทุกข์ทั้ง หวังสืบสาน
  อยู่ถิ่นไกล ในแคว้น แดนกันดาร
  เวลากาล ผ่านไป ไม่บ่อยพบ

แต่ตัวเรา ลืมท่าน นั้นมิใช่ 
ละทิ้งไป ได้ดี แล้วหนีหลบ
ทุกครานั้น มั่นใน ใจเคารพ
นอบน้อมนพ ตลอดกาล ที่ผ่านมา

 อยากกราบเท้า ของแม่ แต่โอกาส
                   มักเคลื่อนคลาด ใจจึง ถึงโหยหา
                   ก็หมองหม่น ทนเหงา เศร้าวิญญาณ์
                   มีเวลา เมื่อไร จะไปกัน

รู้ว่าท่าน อยู่ดี และมีสุข
จึงคลายทุกข์  วิโยค หายโศกศัลย์
ใช่เจ้าเล่ห์ เสแสร้ง แกล้งรำพัน
ทุกวี่วัน ท่านอยู่ คู่ใจเรา

 เมื่อวันแม่ มาบรรจบ มิพบท่าน
                  จึงกราบผ่าน ฟากฟ้า หาแม่เฒ่า
                  ขอจงเป็น มิ่งขวัญ จนนานเนา
                  ปีนี้เศร้า สุดซึ้ง..คิดถึงจัง
				
2 สิงหาคม 2554 23:01 น.

ด้วยวิญญาณ

คนกรุงศรี

ตาชะแล แก่ชรา อายุเยอะ
เดินงกเงอะ บางครั้ง ยังมิไหว
สังขารแย่ แพ้พิษ ผิดกับใจ
ที่สดใส แสนดี มีคารม

ด้วยโรคภัย ไข้เจ็บ มาเหน็บแหนบ
เหมือนปวดแสบ ทนทุกข์ มิสุขสม
อีกทั้งข้อ แขนขา ซาระบม
จะลุกก้ม ลมตี มีอาการ

จึงห่างหาย ลายสือ เคยสื่อถ้อย
อยากเรียงร้อย แต่แย่ แพ้สังขาร
เมื่อหวนคิด ผิดกัน กับวันวาน
เคยสืบสาน ขีดลาก ปลายปากกา

ด้วยวิญญาณ การกลอน เหมือนหลอนหลอก
กระซิบบอก ตอกย้ำ คำกล่าวหา
ฤๅแสงไฟ ไม่กรุ่น แล้วคุณตา
ทิ้งภาษา สู่ดิน ดั่งสิ้นมนต์

เขาเยียวยา มาก็ พอเบาบ้าง
เมื่อไข้สร่าง ทรงกาย ก็ได้ผล
ดินสอดำ กำใส่ ในมือตน
ขีดเขียนบน กระดาษ วาดวจี

อย่างเขาว่า ลาห่าง ทางอักษร
คารมกลอน กร่อนหาย มันหน่ายหนี
สมองทึบ อึบอับ ขับวลี
หากมิดี ตาก็ขออภัย

ขรัวตา
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกรุงศรี