24 ธันวาคม 2554 23:03 น.
คนกรุงศรี
คุยกับใจ
ใจเจ้าเอ๋ย เป็นไง ไยหงุดหงิด
ดูเหมือนผิด สำแดง แจงเหตุผล
ชอบนั่งเหม่อ มองอยู่ ดูพิกล
ดั่งเหมือนคน หม่นไหม้ ไร้วิญญาณ
หรือห่วงใย ใครเขา เอาอีกแล้ว
คงไม่แคล้ว เจ็บปวด รวดร้าวฉาน
เคยผิดหวัง นั่งเศร้า เหงามานาน
เวลากาล ก่อนคลาย ก็หลายปี
ใจบอกว่า สับสน ปนคิดถึง
ใครคนหนึ่ง ซึ้งใน ใจเหลือที่
จึงนั่งเขียน กลอนกานท์ หวานฤดี
แต่มิมี ปัญญา กล้าบอกเธอ
คิดอย่างไร กับเขา ไยเล่าเฉย
แจ้งไปเลย ความนัย ใจเสนอ
เจ้าคนซื่อ จริงใจ นะไอ้เกลอ
ใจยืนเหม่อ มิกล้า ดูน่าอาย
ด้วยระแวง แคลงใจ ให้หวั่นหวาด
เข็ดขยาด ความหลัง ยังไม่หาย
เธอมิชอบ กลับชัง หวังมลาย
ผลสุดท้าย เก็บไว้ ในใจตน
เคยจะบอก เธอไป แต่ไม่กล้า
มิรู้ว่า เพราะอะไร ไร้เหตุผล
สุดอัดอั้น ตันใจ ให้กังวล
เพราะเป็นคน เคยช้ำ ยากทำใจ
2 ธันวาคม 2554 23:24 น.
คนกรุงศรี
มองจันทร์เสี้ยว เกี่ยวฟ้า คราลมล่อง คนหม่นหมอง รำพึง ถึงความหลัง
ค่ำนี้ทน ทั้งหนาว ร้าวใจจัง เรไรดัง ดั่งเหมือน มิเลือนไกล
หนาวแบบนี้ ปีก่อน เคยอ้อนเจ้า เมื่อสองเรา เคียงกัน ชมจันทร์ใส
เจ้าหนาวเนื้อ พี่มี แพรสีไพร หยิบคลุมไหล่ ให้นาง แนบข้างกาย
แล้วจันทร์เสี้ยว เลี้ยวลง ตรงทิวไผ่ ลาลับไป ปล่อยดาว ให้พราวฉาย
กลิ่นดอกแก้ว ละมุน กรุ่นกำจาย แว่วเสียงคล้าย ขลุ่ยบรรเลง เพลงราตรี
จากวันนั้น ถึงวันนี้ หลายปีพ้น เมื่อไร้คน เคียงใจ ไม่สุขี
ทุกหนาวเยือน เตือนใจ ในทุกที ถึงคนที่ จากไกล แล้วไม่คืน
สัญญามั่น วันก่อน ตอนเคียงใกล้ ทุกถ้อยคำ จำได้ ไม่เป็นอื่น
รักของเรา คงยัง ต้องยั่งยืน จะขมขื่น ปวดเจ็บ เก็บในมาน
ลมหนาวมา ครานี้ อีกปีแล้ว ยังไร้แวว คนใด ใคร่สงสาร
คงจะเจ็บ เหน็บหนาว อีกยาวนาน เขียนกลอนกานท์ ปลอบตน คนหนาวทรวง
คนกรุงศรี ฯ
๐๒/๑๒/๒๕๕๔
12 พฤศจิกายน 2554 22:18 น.
คนกรุงศรี
ก่อนเคยคิด ว่ารัก จักหอมหวาน
ชุบดวงมาน ให้ฉ่ำ ด้วยคำอ้อน
หลงคารม คมถ้อย ร้อยคำวอน
ฤทัยอ่อน จึงมอบ ตอบคำรัก
เคยสัญญา มั่นแม่น หนักแน่นยิ่ง
ทุกทุกสิ่ง ซึ้งฤดี ที่ประจักษ์
สุขกับความ สดชื่น รื่นรมย์นัก
ใครท้วงทัก แสนเบื่อ มิเชื่อฟัง
มินานใย ใจคน วกวนเล่า
คำพูดเก่า จางไป ในความหลัง
คำสัญญา เคยปลื้ม ลืมหรือยัง
คำมั่นครั้ง ก่อนกล่าว เขานั้นเลือน
คนรวนเร คบได้ แต่ไร้ค่า
ให้อุรา เราช้ำ ระกำเหมือน
ดั่งถูกมีด กรีดใจ ให้ฟั่นเฟือน
เธอเชือดเฉือน มานเรา เอาโยนทิ้ง
เจ็บอะไร ไม่เท่า เราเจ็บจิต
รักเป็นพิษ ทำร้าย ฤทัยหญิง
เขาเปลี่ยนไป ใคร่ขอรับ กับความจริง
มิท้วงติง เราหนอ เพียงขอไกล
จะอยู่อย่าง คนเหงา ปวดร้าวอก
น้ำตาตก จนต้อง สุดหมองไหม้
สงบจิต รอแต่ เลียแผลใจ
อีกเมื่อไร นั้นเล่า เลิกเศร้าทรวง
ดอกแก้ว
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา ๖ / ๒ / ๒๕๔๓
9 พฤศจิกายน 2554 22:25 น.
คนกรุงศรี
นิทานขรัวตา น้ำมนต์
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
ด้วยสาวใหญ่ สามี มักหนีห่าง
กลับบ้านค่ำ ทำเป็น เช่นรักจาง
จึงน้องนาง สงสัย เหตุใดกัน
ไปหาหมอ ทำนาย ท่านทายทัก
เรื่องความรัก ยังแน่วแน่ มิแปรผัน
หมอดั้นด้น ค้นคว้า หาทางตัน
ผ่านหลายวัน มีคำตอบ มอบของดี
เอาของขลัง มอบให้ ลองใช้แก้
ศักดิ์สิทธ์แท้ คาถา ว่าเต็มที่
ถ้าใช้ให้ ถูกตาม กรรมวิธี
แล้วสามี จะมา หาเร็วไว
เธออดทน ขวนขวาย มิหน่ายแหนง
ปรากฏแจ้ง จริงแท้ แน่ไฉน
เพียงสองเดือน มินาน สานสายใย
สามีไม่ แชเชือน เหมือนก่อนเคย
เย็นรับลูก กลับมา หน้าสดชื่น
ทุกข์อย่างอื่น ไม่มี แล้วพี่เอ๋ย
บ้านสงบ สุขใน ใจเสบย
คนชมเชย อิจฉา ว่าดีจริง
เพื่อนบ้านถาม ความนัย เพราะใคร่รู้
ยอดพธู เธอตอบ มอบทุกสิ่ง
มิปิดบัง อะไร ไม่ประวิง
ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง น้ำมนต์ ที่ตนอม
ขรัวตา
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา
8 พฤศจิกายน 2554 22:19 น.
คนกรุงศรี
มองบุหลัน วันเพ็ญ เห็นแล้วเศร้า
ภาพครั้งเก่า เข้าเยือน เตือนใจอยู่
ที่เคยนั่ง ริมวารี มีพธู
เราเคียงคู่ ปล่อยกระทง ลงธารา
แสงจันทร์แจ่ม นวลจ้า ส่องหน้าเจ้า
สุขใดเท่า วันนั้น ยังฝันหา
รอวันเดือน เคลื่อนคล้อย คอยกานดา
ทุกวาจา ยังจำ ถ้อยคำเปรย
ค่ำคืนนี้ มองจันทร์ ดูมันหม่น
เหมือนเย้ยคน เหว่ว้า นิจจาเอ๋ย
ไร้คนคู่ อยู่ข้าง เหมือนอย่างเคย
เพราะทรามเชย จากลา มิมาเคียง
ก็หลายปี ที่ผ่าน แม้นานนัก
เราเจ็บหนัก เพราะใจ แตกหลายเสี่ยง
พรหมลิขิต ขีดเส้น ให้เอนเอียง
ทิ้งไว้เพียง แต่เรา เฝ้าอาดูร
คนกรุงศรี ฯ