4 มีนาคม 2555 22:22 น.
คนกรุงศรี
ใจหงุดหงิด ผิดแผก แยกไม่ขาด
ดูประหลาด รุ่มร้อน สุดอ่อนไหว
เหมือนมีทุกข์ รุกเร้า เหงาฤทัย
เจ็บป่วยไข้ ใดหนอ มิรอรี
ไปหาหมอ ขอยา รักษาด้วย
ครับผมป่วย ช่วยไว้ ให้เต็มที่
หมอตรวจหา เหตุใด ก็ไม่มี
แต่ฤดี ยังหม่น กังวลใจ
เชื่อหมอ กลับมาพัก มิยักหาย
ยิ่งวุ่นวาย หงุดหงิด ผิดยกใหญ่
หรือสังขาร จะแย่ ด้วยแก่วัย
เหตุไฉน นั่งขรึม ซึมในทรวง
กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงกับผอม
ใครเห็นล้อม ร้องทัก ชักเป็นห่วง
ถามพ่อมด หมอผี ดีไหมดวง
บอกโชติช่วง สดใส แต่ใจตรม
เพ่งพินิจ คิดตรอง มองสาเหตุ
เฝ้าสังเกต สังกา หาซึ่งผล
สมาธิ เสียไป ใจวกวน
พบว่าคน หนึ่งมี ที่ทำเรา
เธอเด็ดดวง ใจเรา เอาไปแน่
เป็นสุขแท้ เมื่อพบกัน พลันหายเหงา
มิพบเธอ หลายวัน มันซึมเซา
อยากให้เขา รักษาใจ ...ใครช่วยที
คนกรุงศรี ฯ
2 มีนาคม 2555 23:07 น.
คนกรุงศรี
ชมไพร
ตะวันชาย บ่ายคล้อย เมฆลอยล่อง
ชวนนิ่มน้อง ท่องไพร ไปป่ากว้าง
เลี้ยวลัดเลาะ ล่วงล้ำ นำนวลนาง
ชมแมกไม้ สำอาง ไม่วางตา
งามกุหลาบ พันปี สีสดใส
สนสามใบ เด่นนัก สักสง่า
ดุเหว่าร้อง ก้องกู่ ตามคู่มา
หมู่นกกา โผผิน บินท้าลม
ชะนีโหย หวนหา คราพลัดคู่
แต่สองเรา สุขอยู่ เปรียบคู่สม
ยอดประยงค์ ไหวแกว่ง แข่งมะยม
เธอชี้ให้ ฉันชม พรมไมตรี.. ยุคนธร
ภุมรินทร์ บินล้อม ดอมเกสร
เดี๋ยวเดียวร่อน ผกผิน โบยบินหนี
ความหวานลด หมดไป เลิกไยดี
เกรงว่าพี่ จะเป็น เช่นภมร
เห็นรักเร่ เรียงราย มิวายคิด
คนใกล้ชิด เคียงเรา ที่เฝ้าอ้อน
จะรักเร่ หรือรักซ้อน ซ่อนบังอร
กลัวร้าวรอน เหมือนกลุ่ม พุ่มลั่นทม
มาชมไพร ใจน้อง หวั่นต้องช้ำ
เห็นระกำ กอใหญ่ ใจขื่นขม
ฤๅจะเป็น เปรียบเรา เศร้าโศกตรม
เพราะหนามคม ทิ่มตำ .....จนช้ำใจ ... ..ดอกแก้ว ดวงฤทัย
2 มีนาคม 2555 22:27 น.
คนกรุงศรี
เพียงแสงดาว พราวฟ้า คราสงัด
สายลมพัด ราตรี ทีกลิ่นกรุ่น
หอมดอกแก้ว ข้างทาง ยังละมุน
เสียงเคยคุ้น ไก่ขัน กระชั้นดัง
รัตติกาล พาดาว ก้าวข้ามฟ้า
ชวนกันมา รับแสง แห่งความหวัง
แล้วดาวรุ่ง โผล่เขา พ้นเงาบัง
ที่ด้านหลัง แสงทอง ของตะวัน
ใครระบาย ป้ายสี ที่ขอบฟ้า
สีทองทา แดงแนบ แถบสีสัน
หมู่วิหก บินวน ปะปนกัน
แล้วโผผัน วกตรง สู่พงไพร
ใบข้าวเขียว เรียวพลิ้ว ปลิวลมลู่
กาเหว่ากู่ ดังก้อง ร้องเสียงใส
แถวสงฆ์เหลือง เรืองรอง ผ่องอำไพ
ท้องฟ้าใหม่ ดารา พากันจร
ก่อนมื้อเช้า ชาวนา หน้าตาใส
รีบออกไป งานนา คราแดดอ่อน
ทั้งจอบเสียม เตรียมไว้ ใส่บ่าคอน
แล้วกลับย้อน คืนมา คราแดดแรง
งานนาหนัก พักหลัง นั่งคลายเหนื่อย
พอหายเมื่อย ตะวันรอน แดดอ่อนแสง
ลงสวนผัก ตักน้ำ เร่งทำแปลง
วิถีแห่ง ชาวนา บ้านป่าเรา
29 กุมภาพันธ์ 2555 22:37 น.
คนกรุงศรี
คิดขึ้นมา คราใด ก็ใจหมอง
ทอดตามอง ไม่ถึง ซึ่งจุดหมาย
ความหงอยเหงา เข้าคลุม สุมใจกาย
ทุกข์กล้ำกราย ย่างเข้า มาเร้ารุม
อยากตัดใจ ไม่คิด ตั้งจิตมั่น
สุดไหวหวั่น ฤทัย ดั่งไฟสุม
ความว้าเหว่ เร่เลาะ เข้าเกาะกุม
เงาตะคุ่ม อ้างว้าง ก็ย่างเยือน
ไร้ข่าวคราว คนซึ่ง คะนึงหา
หลายเวลา มีเงา เหงาเป็นเพื่อน
สิ่งที่หวัง หายห่าง ดูลางเลือน
นับวันเดือน เตือนใจ ไม่วู่วาม
คงเรานั้น น้อยใน ใจนิดนิด
รู้ไร้สิทธิ์ ห่วงหวง เฝ้าทวงถาม
ถ้ากวนใจ แล้วหรือ อย่าถือความ
จะอยู่ตาม ลำพัง ดังเคยมา
เพียงอยากบอก ตอกย้ำ คำคิดถึง
อีกครั้งหนึ่ง เพราะใจ นั้นใฝ่หา
แม้มิว่าง ที่จะ ละเวลา
ก็ไม่ว่า อย่าโกรธ โปรดอภัย
คงมิจำ คำกล่าว เมื่อคราวนั้น
สัญญากัน วันวาน เคยขานไข
หากลืมเลือน ถ้อยคำ จะทำใจ
มิมองใคร ไหม้หม่น ก็ทนเอา
คนกรุงศรี ฯ
28 กุมภาพันธ์ 2555 22:16 น.
คนกรุงศรี
ตะวันรอน อ่อนแรง ลดแสงกล้า
หมู่นกกา พากลับ จับทิวสน
ว่าวตัวน้อย ลอยชิด ติดลมบน
มานั่งยล ชายทุ่ง ข้างคุ้งคลอง
แลคันนา เลี้ยวลด จดทิวไผ่
บนแคร่ไม้ ใจปล่อย ให้ลอยล่อง
สุริยา หลบเขา เมื่อเรามอง
แสงสีทอง แดงสลับ งามจับตา
สายลมเย็น พัดไผ่ ให้ไหวพลิ้ว
บ้างใบปลิว หมุนลง สู่พงหญ้า
เสียงไผ่เอี๊ยด เบียดกอ ดังคลอมา
เหมือนดังว่า เพลงครวญ รัญจวนใจ
เสียงเพลงขลุ่ย ต้นลม พรมปลายนิ้ว
ลอยละลิ่ว กังวาน เสียงหวานใส
เตาด้านข้าง ฟางคลุม แล้วสุมไฟ
ยุงริ้นไร ไม่หวน มากวนกัน
ตะวันลับ ขับดาว ให้พราวเด่น
พอสนเอน เห็นเคียว เกี่ยวฟ้านั่น
คืนขึ้นค่ำ เช่นนี้ ยังมีจันทร์
แค่ครู่พลัน ลับฟ้า ดาราพราว
ทั้งเรไร จิ้งหรีด กรีดเสียงแข่ง
เหมือนจะแย่ง บรรเลง บทเพลงหนาว
แสงตะเกียง ดับลง คงแสงดาว
ค่อยย่างก้าว หาแสง แห่งอรุณ