20 มีนาคม 2555 22:07 น.
คนกรุงศรี
เคยอยู่นา ป่าเขา ลำเนาหนอง
มีบึงคลอง ทิวไผ่ ไร่นาสวน
ต้องขุดดิน เผาถ่าน หว่านไถพรวน
ฟังเพลงครวญ ขลุ่ยแผ่ว ดังแว่วมา
บ้านมุงจาก ฟากทำ ด้วยลำไผ่
จุดขี้ไต้ ไล่ยุง พร้อมหุงหา
กินน้ำพริก ผักต้ม แกงส้มปลา
มีชีวา อยู่สุข มิทุกข์ใจ
พอขายนา มาเมือง เรื่องจึงยุ่ง
เริ่มเฟ้อฟุ้ง รุ่งเรือง ที่เมืองใหญ่
อยู่ตึกราม ระฟ้า อ่าอำไพ
สุดวิไล ในกรุง ลืมทุ่งนา
ตกคืนค่ำ แสงสี ที่วิจิตร
ใช้ชีวิต กลางคืน ชื่นนักหนา
ทั้งดื่มกิน เที่ยวเตร่ และเฮฮา
ลืมที่มา ของตัว เริ่มมัวเมา
มีเพื่อนหลาก มากมาย คบหลายหน้า
สุขอุรา ช่วยให้ ได้คลายเหงา
พอหมดเงิน บ่ายเย็น ไม่เห็นเงา
เริ่มซบเซา ขัดสน คนไม่มอง
คนบ้านนา ฟ้าเมืองหลวง ทรวงชอกช้ำ
ต้องระกำ เหตุใด ไร้สมอง
เก็บเงินเก่า ก้อนสุดท้าย ที่ขายทอง
แล้วลอยล่อง กลับนา มาถิ่นเดิม
คนกรุงศรี ฯ
๑๗/๓/๒๕๕๕
18 มีนาคม 2555 22:42 น.
คนกรุงศรี
ใครคนหนึ่ง ซึ่งร้าง เธอห่างหาย
มิกล้ำกราย เยี่ยมเยือน เหมือนเมื่อก่อน
เราเฝ้าถาม ตามหา ด้วยอาทร
รอเธอย้อน เยียนบ้าง สักครั้งครา
เมื่อจากไกล ใจหาย มิวายคิด
ว่าไร้สิทธิ์ แหนหวง หรือห่วงหา
จึงกังวล หม่นไหม้ ในอุรา
มากเกินกว่า ความจริง สิ่งที่ควร
ความในใจ ไม่กล้า เอามาเผย
ถ้าจะเอ่ย ออกไป คงไห้หวน
เก็บงำไว้ จนใน ใจรัญจวน
ทุกคำล้วน อยากบอก ออกจากใจ
ส่งข่าวสาร ผ่านฟ้า หากว่ารู้
ว่ามีผู้ คอยจน ถึงหม่นไหม้
สัญญาเก่า เจ้าเหมือน ลืมเลือนไป
ยกเลิกได้ ภายหน้า มิมาทวง
แต่อยากบอก ตอกย้ำ ความรู้สึก
ว่าส่วนลึก ในใจ ให้แสนห่วง
หลากถ้อยคำ จำไว้ ใช่ลมลวง
ฝันทั้งปวง ยังบอก ว่าหลอกตน
รู้ว่าหวัง ลางเลือน ใจเตือนย้ำ
พบชอกช้ำ จำรับ กับเหตุผล
ถึงวันตรม ขมขื่น ฝืนใจทน
ปลอบกมล จนกว่า มันชาชิน
คนกรุงศรีฯ
17 มีนาคม 2555 21:56 น.
คนกรุงศรี
เมื่ออยู่นา ป่าเขา ลำเนาหนอง
ลงบึงคลอง งมปลา เป็นอาหาร
กับปลูกผัก หักไม้ ไว้ใช้งาน
ทั้งเผาถ่าน ขุดเผือกมัน แบ่งกันกิน
ถึงหน้านา กล้าหว่าน งานเริ่มต้น
เหมือนทุกคน มุ่งหน้า หาทรัพย์สิน
ขอแรงควาย ช่วยฟื้น พลิกผืนดิน
พอฝนริน นำกล้า ดำนากัน
มีน้ำหล่อ กอใหญ่ อีกไม่ช้า
ทั่วท้องนา เขียวขจี เป็นสีสัน
วัชพืช รกมาก ถากถางมัน
เพลี้ยหนอนนั้น สมุนไพร ฉีดไล่ดี
ข้าวตกรวง น้ำลด ดูสดใส
มองออกไป ทุ่งทอง ดูผ่องสี
พอลมล่อง ร่วมงาน กันอีกที
ของแรงพี่ น้องนำ มารำเคียว
จะลงแขก พอบอก ออกร่วมด้วย
หนุ่มสาวสวย แข็งขัน ช่วยกันเกี่ยว
เพลงกังวาน บ้านนา น่าฟังเชียว
บทเพลงเกี้ยว แก้กัน นั้นลอยลม
บนลานนวด ควายย่ำ เดินนำหน้า
ข้าวจากนา เข้าฉาง ช่างสุขสม
ฟ้าบ้านนอก คนบ้านนา น่าชื่นชม
ความทุกข์ตรม สักครั้ง ยังไม่เคย
คนกรุงศรี ฯ
๑๖/๓/๒๕๕๕
14 มีนาคม 2555 22:47 น.
คนกรุงศรี
แสงสุดท้าย ของวัน แม้ผันผ่าน
รัตติการ เยี่ยมเยียน เปลี่ยนแสงสี
ทุกรอยคำ ย้ำเอ่ย เผยวจี
ทุกวลี ที่ให้ มิได้เลือน
หลายวาจา หวานหอม พร้อมใจภักดิ์
ยังประจักษ์ ในใจ มิคลายเคลื่อน
มโนนั้น ตอกย้ำ คอยพร่ำเตือน
ทุกอย่างเหมือน ก่อนเก่า เราสัญญา
แม้ปางบรรพ เรารวม ร่วมสร้างหวัง
รักต้องยัง ยืนยาว เหมือนเฝ้าหา
จะกี่เดือน กี่ปี กี่เพลา
เถอะรู้ว่า เรานั้น แสนมั่นคง
10 มีนาคม 2555 23:02 น.
คนกรุงศรี
เมื่อวันวาร ผ่านผัน แสนนานเนิ่น
สองเราเดิน ร่วมทาง เพื่อสร้างฝัน
วางวิถี ชีวิต ช่วยคิดกัน
ร่วมฝ่าฟัน อุปสรรค ทั้งหนักเบา
ด้วยความรัก เข้าใจ หมายมุ่งสร้าง
แม้มีบ้าง หมางใจ ให้หงอยเหงา
ความอดทน อดกลั้น ช่วยบรรเทา
เพราะสองเรา เข้าใจ ในแนวทาง
หวังก้าวข้าม ความยาก จากวันก่อน
พบลุ่มดอน หนามขวาก ร่วมถากถาง
ด้วยความรัก ห่วงใย ไม่เจือจาง
สามารถย่าง ผ่านผัน อย่างมั่นใจ
เรือลำเดียว เกี่ยวก้อย ร่วมลอยล่อง
ช่วยสอดส่อง มองทาง สว่างใส
ถือหางเสือ คัดท้าย คุมสายใบ
พายุใหญ่ คลื่นจัด ซัดไม่จม
เป็นนางแก้ว ในใจ หาใครเท่า
ดั่งสองเรา ฟ้าสร้าง อย่างคู่สม
ทองเนื้อเก้า เราได้ ไว้ชื่นชม
รื่นภิรมย์ ร่วมอยู่ คู่ชีวี
ขอขอบคุณ สิ่งดีดี ที่มอบให้
ยากหาใคร ทั่วแคว้น มาแทนที่
แทนมะลิ ร้อยมาลัย ให้คนดี
ใจฉันนี้ นั่นหรือ ก็คือเธอ
คนกรุงศรี ฯ
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา
๑๐/๓/๒๕๕๕