11 กันยายน 2555 23:03 น.
คนกรุงศรี
คืนขึ้นค่ำ เมื่อวัน วสันต์สิ้น
เห็นจันทร์บิ่น เหลือเสี้ยว เกี่ยวทิวไผ่
เพียงครู่เดียว พอพลบ ก็หลบไป
ท้องฟ้าใส ด้วยดาว ดูพราวตา
อาหารเย็น ยามค่ำ อิ่มหนำแล้ว
ยินเสียงแว่ว ขลุ่ยใคร ร่ำไห้หา
บทเพลงโศก สั่นผิว ลิ่วลมพา
เหมือนหนึ่งว่า คนครวญ รัญจวนใจ
ลมเหนือล่อง ต้องไผ่ กอไหวพลิ้ว
เสียงหวีดหวิว สนโยก โบกไสว
สิ้นเสียงอึ่ง จึ่งเพียง เสียงเรไร
แลแสงไต้ ยิบยับ เทียบกับดาว
คิมหันต์เหมือน เยือนย่าน ถิ่นบ้านนอก
สัญญาณบอก ถึงครา ว่าต้องหนาว
แค่ยามต้น ยลฟ้า ดาราพราว
ดูวับวาว สุกใส เรียงรายกัน
อยากรับลม ชมดาว ที่พราวพร่าง
ดูเวิ้งว้าง สุดตา ยิ่งพาฝัน
ราตรีกาล คืนใด ที่ไร้จันทร์
สร้างสวรรค์ บนดิน ถิ่นดงดอน
แคร่ไม้ไผ่ ใต้เงา สะเดาขม
จะชื่นชม นับดาว พราวสลอน
หากคืนนี้ มีใคร ไหนเคียงนอน
จะเอื้อมกร เก็บดาว ให้เขาชม
8 กันยายน 2555 23:00 น.
คนกรุงศรี
พอเมฆกลั่น ตัวกลาย เป็นสายฝน
โปรยลงบน ผืนหล้า พาชุ่มชื่น
หลากหลายพันธุ์ พืชไพร ใกล้ตายยืน
กลับพลิกฟื้น แตกกอ แทงหน่อพลัน
หญ้าใบเรียว เหี่ยวแห้ง แย่งออกยอด
ตำลึงกอด รั้วไม้ ไว้คงมั่น
ต้อยติ่งออก ดอกม่วง หลายช่วงวัน
ฝักของมัน แตกป๊ะ เม็ดกระจาย
ผักบุ้งเลื้อย เลาะสอด ลอดกิ่งไผ่
ยอดหน่อไม้ ไชพื้น ขึ้นมากหลาย
เห็ดโคนแผล่ม โผล่ดอก ออกมากมาย
เห็ดขึ้นชาย ลอมฟาง ช่างน่ากิน
ดอกมะลิ ผลิขาว พราวเต็มต้น
ภู่ผึ้งวน บินล้อม ดมดอมกลิ่น
แมลงปอ โฉบเฉี่ยว เลาะเลี้ยวบิน
เจ้าขมิ้น เหลืองจ้อง มองแต่ไกล
กลิ่นแก้วกรุ่น กอใหญ่ อยู่ใกล้บ้าน
ดอกขาวบาน เต็มกอ ช่อไสว
ลมกระโชก โยกก้าน สะท้านไกว
ดอกร่วงไป เกลื่อนโคน ขาวโพลนตา
แต่ดอกแก้ว คนหนึ่ง ซึ่งสนิท
เป็นยอกมิตร เมื่อครั้ง ยังพบหน้า
เธอโยกย้าย หายห่าง เหมือนร้างลา
ยังห่วงหา อาทร คอยย้อนคืน
5 กันยายน 2555 22:05 น.
คนกรุงศรี
ตอนบ่ายแก่ แพ้แสง แดดแรงนัก
ชวนควายพัก นะเรา หลบเข้าร่ม
รีบปลดแอก แยกไถ คลายเงื่อนปม
นั่งผึ่งลม สักพัก จักกลับเรือน
ค่อยค่อยลัด เลาะทาง ข้างกอไผ่
เห็นหลายใบ ร่วงผล็อย แล้วลอยเลื่อน
อีกากู่ ก้องดัง เหมือนดั่งเตือน
มีผู้เยือน หวงรัง ระวังตน
กอไผ่เบียด บรรเลง เหมือนเพลงเศร้า
เสียงกาเหว่า ปู๋ปู๋ อยู่ทิวสน
หมู่เด็กน้อย ปล่อยจุฬา โฉบคว้าวน
ติดลมบน หัวร่อ ด้วยพอใจ
ถอนสายบัว ริมบึง ดึงพาดบ่า
หลนปลาร้า เย็นนี้ จะดีไหม
ยอดกระเฉด อีกกำ นำกลับไป
แวะกู้ไซ เอากุ้งเผา สะเดามี
ก่อนเข้าคอก อาบน้ำควาย ที่ท้ายห้วย
สุมไฟช่วย เหลือบไร ไล่จนหนี
ฟางกำใหญ่ ให้เอื้อง อร่อยดี
พอตอนนี้ คราวเรา จะเข้าครัว
สวรรค์คน บนดิน ถิ่นนาไร่
มีความสุข สบายใจ ไม่เวียนหัว
พอค่ำลง หลับใหล ไม่รู้ตัว
มิต้องกลัว กังวล เรื่องจนมี
1 กันยายน 2555 22:35 น.
คนกรุงศรี
หลังพิงฝา ตาจ้อง มองสายฝน
ที่ร่วงหล่น โปรยปราย เพิ่มสายสินธุ์
สำนึกหนึ่ง นั้นยัง ฝังในจินต์
ยังมิสิ้น สร่างไป จากใจเรา
เม็ดฝนเยือก เย็นเยียบ เปรียบคมมีด
เหมือนคอยกรีด กดย้ำ ซ้ำแผลเก่า
ความเดียวดาย อ้างว้าง มิบางเบา
ภาพและเงา ความหลัง ยังฝังใจ
ถ้อยแสนหวาน ขานขับ กับคำมั่น
มิแปรผัน สัญญา ท่ามฟ้าใส
เพียงบุญกรรม นำพราก เราจากไกล
นอกอื่นใด มิอาจ สามารถเลย
เราถนอม กล่อมเกลา ทุกเช้าค่ำ
เหมือนตอกย้ำ วจี ที่เอื้อนเอ่ย
สุขอันใด ไหนเล่า จะเท่าเอย
คำภิเปรย สุขเหลือ มิเบื่อฟัง
เวลากาล มิพราก เราจากได้
ลิขิตใคร ส่งผล แต่หนหลัง
ให้เดินทาง หลบเลี่ยง เพียงลำพัง
หมดความหวัง เลือนลบ จบตำนาน
หลังพิงฝา ตาหลับ รับความหนาว
ความปวดร้าว หาใคร ไหนผสาน
มองสายฝน หล่นพราว ยิ่งร้าวมาน
อีกกี่กาล จะกลับ...หรือหลับตา
คนกรุงศรี ฯ
29 สิงหาคม 2555 22:01 น.
คนกรุงศรี
แม้คราหลับ กลับผวา เบิกตากว้าง
หลากหลายอย่าง เวียนว่าย ในสมอง
พรุ่งนี้เรา รอดไหม นอนไตร่ตรอง
หรือจะต้อง หลบลี้ หนีให้ไกล
เพราะเหตุร้าย รายวัน มันมิหยุด
จะต้องมุด คุดคู้ อยู่ที่ไหน
หวังพึ่งคน ปกป้อง คุ้มผองภัย
แล้วมีไหม ใครหนอ ขอช่วยที
ก็กี่ร้อย กี่ราย ต้องตายดิ้น
หรือคนใต้ ต้องสิ้น จะถิ่นนี่
แล้วพวกท่าน อยู่ที่ไหน มิไยดี
หรือมิมี ปัญญา มาแก้กัน
ทำอะไร สักอย่าง อย่าวางเฉย
หยุดละเลย พวกเรา ยังเฝ้าฝัน
จะอยู่เหนือ กลางใต้ ไทยเหมือนกัน
สิ่งสำคัญ พ้นตาย หรือไม่เรา
ด้วยอยากมี ชีวิต ขอสิทธิ์ใช้
เป็นคนไทย ให้เป็น เหมือนเช่นเขา
แต่ด้ามขวาน วันนี้ เป็นสีเทา
พรุ่งนี้เล่า ใครรู้ อยู่หรือตาย
ถ้าอย่างแย่ แก้มิได้ อย่าอายนะ
ยอมสละ ปฐพี ตามที่หมาย
ก่อนลูกหลาน พวกเรา เขามลาย
ท่านทั้งหลาย คิดเห็น เป็นเช่นไร