ก็เพราะไกล เกินกว่า จะคว้าถึงแค่คะนึง พาให้ จิตไหวหวั่นสูงสุดสอย ลอยเด่น ดั่งเช่นจันทร์เป็กระต่าย หมายมั่น จึงพรั่นใจมองเงาหัว ตัวอยู่ รู้ต่ำต้อยค่ามีน้อย เพียงดิน สิ้นสดใสฤๅจะเทียบ นภา อ่าอำไพร้าวฤทัย มิกล้า มองฟ้าครามเป็นยาจก เหิมหาญ ทะยานสูงกากับยูง พอเอ่ย ถูกเย้ยหยามว่ามิเจียม เตรียมจิต คิดประนามเพราะต่ำทราม หรือชั่ว โอ้ตัวเราใคร่เชยชม ดอกฟ้า จึงพาหมองแม้หมายปอง ต่อไป กลัวใจเหงาเลิกคิดสอย คอยแล มองแต่เงาแบ่งบรรเทา เศร้าทรวง ห้วงฤดีวาสนา น้อยนัก หักใจหนอถึงจะรอ ต่อไป ไม่สุขศรีฟ้าเคียงดาว พราวใส ในราตรีตัวเรานี้ คงอยู่ ไร้คู่ครองมีบ้างไหม ใครเล่า เขาสงสารเศษเสี้ยวทาน แบ่งให้ พอคลายหมองแม้ดอกดิน ก็ไม่ มาใฝ่ปองสุดจำต้อง เดียวดาย จวบวายปราน
เคยนั่งเรียง เคียงกัน ชมจันทร์เสี้ยวเป็นรูปเคียว ขึ้นลอย แล้วคล้อยเคลื่อนเพราะขึ้นค่ำ ฟ้านี้ จึงมีเดือนอยู่เป็นเพื่อน จวบแจ้ง แสงอรุณสายลมทุ่ง พลิ้วโบก โยกกอข้าวกายอาจหนาว แต่ใจ มีไออุ่นกลิ่นดอกแก้ว ริมสระ หอมละมุนยังขอหนุน ตักเจ้า เฝ้าชมจันทร์จิ้งหรีดหรือ เรไร ตัวไหนหนอมาร้องคลอ บรรเลง เพลงสร้างสรรค์ส่งสำเนียง กังวาน ประสานกันจักจั่น เสียงใส ที่ใบคูนพอจันทร์ลับ ดับลง ตรงชายเขาดาราเจ้า แปรปรับ รับแสงสูรย์ถึงกำหนด จากลา สุดอาดูรแต่เพิ่มพูน ความสุข อยู่ทุกคืนสัญญากัน มั่นหมาย มิคลายเคลื่อนรอปีเดือน เหมาะสม ได้ชมชื่นรักภิรมย์ สมปอง ต้องยั่งยืนแต่สุดฝืน ลิขิต ที่ขีดวางมองจันทร์เสี้ยว เกี่ยวฟ้า เพลานี้มีเพียงพี่ ไร้เงา เจ้าเคียงข้างความทรงจำ ในใจ ใช่เลือนรางสุดอ้างว้าง หมองหม่น เกินทนเชียว
มองจันทร์เสี้ยว เกี่ยวฟ้า คราลมล่องคนหม่นหมอง รำพึง ถึงความหลังค่ำนี้หนอ ทั้งหนาว ปวดร้าวจังเรไรดัง ดั่งเหมือน มิเลือนไกลหนาวแบบนี้ ปีก่อน เคยอ้อนเจ้าเมื่อสองเรา เคียงกัน ชมจันทร์ใสเจ้าหนาวเนื้อ พี่มี แพรสีไพรหยิบคลุมไหล่ ให้นาง เคียงข้างกายแล้วจันทร์เสี้ยว เลี้ยวลง ตรงทิวไฝ่ลาลับไป ปล่อยดาว ให้พราวฉายกลิ่นดอกแก้ว ละมุน กรุ่นกำจายแว่วเสียงคล้าย ขลุ่ยบรรเลง เพลงราตรีจากวันนั้น ถึงวันนี้ หลายปีพ้นเมื่อไร้คน เคียงใจ ไม่สุขีทุกหนาวเยือน เตือนใจ ในทุกทีถึงคนที่ จากไกล แล้วไม่คืนสัญญามั่น วันก่อน ตอนเคียงใกล้ทุกถ้อยคำ จำได้ ไม่เป็นอื่นรักของเรา คงยัง ต้องยั่งยืนจะขมขื่น ปวดเจ็บ เก็บไม่นานลมหนาวมา ครานี้ อีกปีแล้วยังไร้แวว คนใด ใครสงสารคงจะเจ็บ เหน็บร้าว อีกยาวนานเขียนกลอนกานท์ ปลอบตน คนหนาวทรวง
เสียงกาเหว่า ก้องกู่ อยู่ทิวสนสายลมบน พัดผ่าน กิ่งก้านไหวสนก้านกลม ลมฉิว โยนพลิ้วไกวยินเสียงใส หวิวหวีด เหมือนกรีดทรวงลมเหนือล่อง ต้องกาย คล้ายเคยผ่านทวนเหตุการณ์ วานวัน นั้นเลยล่วงด้วยยังจด จำไว้ ได้ทั้งปวงกับคำลวง เมื่อคราว ลมหนาวเยือนแม้ร้อนฝน หนใด ก็ไม่คิดหนาวสะกิด ก่อนำ ย้ำรอยเปื้อนภาพความหลัง ฝังใจ ไม่ลางเลือนประหนึ่งเตือน แผลช้ำ คอยตำใจอยากจะลบ กลบหม่น ที่ทนทุกข์คอยปลอบปลุก อาวรณ์ ที่อ่อนไหวแม้กายหนาว ร้าวรอน ร้อนอยู่ในหาสิ่งใด แปรปรับ จึงกลับคืนเหมันต์เยือน เหมือนเก่า ปวดร้าวอีกยากจะหลีก ให้พ้น เฝ้าทนฝืนหาคำตอบ ปลอบกมล ทนกล้ำกลืนหน้าระรื่น ขื่นใน ฤทัยจังต้องเตรียมใจ ไว้หนาว อีกคราวหนอไม่เพ้อพ้อ ต่อกลอน ย้อนความหลังเพราะจำรับ กับหม่น จนเซซังเรื่องจะหวัง พึ่งใคร ยังไม่เคย
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๙ขออวยพรให้เพื่อนนักกลอนทุกท่าน มีความสุข ความเจริญตลอดไปรักษาสุขภาพ ดูแลตัวเองดีดี ด้วยนะครับ