18 มีนาคม 2548 22:19 น.
ขลุ่ยหลิบ
รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากชานชลาแล้ว
เวลานี้ยังเช้านัก
พระอาทิตย์ยังไม่โผล่หน้ามาเยี่ยมเยือน
ท้องฟ้าสีจางดูหม่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มสว่างขึ้น
พร้อมกับแสงเรื่อ ๆ ที่สาดส่องมาจากทางทิศตะวันออก
ภาพต่าง ๆ สองข้างทาง ผ่านเข้ามาในสายตา
แต่ทว่า
เวลานี้ ในจิตใจหาได้รับรู้เกี่ยวกับภาพเหล่านั้นไม่
ภาพเดียวที่อยู่ในใจตอนนี้
คือภาพของคนร่างสูงที่กล่าวคำลา ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
และแววตาที่เย็นชา
เสียงล้อเหล็กบดกับรางเสียงดังนัก แต่เสียงที่ได้ยินเวลานี้
กลับเป็นเสียงทุ้มของคนคุ้นเคย น้ำเสียงนั้นเรียบดุจไร้ความรู้สึก
"โชคดีนะ"
คำกล่าวสั้น ๆ ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง
มันทำให้ใจหายอย่างประหลาด
ถึงแม้ว่าเราจะกล่าวคำอำลาจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ
แต่การอำลาครั้งนี้ กลับทำให้รู้สึกว่า
มันเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย และเราจะต้องจากกันจริง ๆ
มิใช่เพียงท่าทางและน้ำเสียงเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ แต่มันมีบางสิ่งบ่งบอกว่า
เราได้ห่างเหินกัน
มิใช่ห่างกายแต่เราห่างใจ
=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+
เรื่องราวต่าง ๆ ของเราได้ผ่านเข้ามาในความคิดคำนึง
เหมือนกับละครเรื่องหนึ่ง
ซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์ พร้อมกับเวลาที่ผ่านไปโดยมิรู้ว่านานเพียงใด
ตอนนี้แสงแดดได้จางไปแล้ว
ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน
และแล้ว......
ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก
แล้วหยาดน้ำใส ๆ จากตาก็ไหลพรั่งพรู
อย่างไม่สามารถกลั้นได้
ราวกับสายฝนภายนอกที่ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ฝนหลงฤดู
ราวกับจะตอกย้ำความบอบช้ำที่หัวใจ
ฝนภายนอกตกอย่างไร
ฝนในใจยิ่งตกหนักเป็นเท่าตัว
กว่าฝนจะซา ท้องฟ้าก็เริ่มสลัวแล้ว
ดวงตะวันได้จากลาไปตั้งแต่เมื่อใดหนอ
เคยได้ยินประโยคที่ว่า "ฟ้าหลังฝน จะสว่างสดใสเสมอ"
แต่เหตุใดกันเล่าฟ้าหลังฝนในเวลานี้ จึงได้มืดมิดเช่นนี้
แม้แต่จันทร์ ยังเป็นเพียงแค่จันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงเพียงราง ๆ
ในยามนี้ ช่างเหงานัก ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านเข้าไปเกาะถึงขั้วใจ
รถไฟขบวนนี้ยังคงมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทาง
แต่คนอ้างว้างคนนี้ มิรู้ว่า
จุดหมายปลายทางนั้นอยู่ที่ใด............
==========================================================