25 มีนาคม 2551 13:46 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เมื่อวานเป็นวันที่ผมรู้สึกเมื่อยล้าที่สุดในชีวิต ความล้านั้นคงเป็นผลมาจากการตรากตรำทำงานติดต่อกันมาหลายวัน ผมอยากปิดเปลือกตาหลับให้สนิทเพื่อพักความนึกคิด ผมอยากนอนแผ่หลาเพื่อให้พื้นซีเมนต์ของบ้านดูดซับเอาความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดของผมไป แต่ก็ทำได้ไม่นาน เพราะงานหลายอย่างยังมีมาให้สะสาง
000
จำได้ว่า ตอนผมเป็นเด็กพ่อนอนให้ผมขึ้นเหยียบและไต่ไปบนแผ่นหลังเสมอ พ่อบอกว่าวิธีการแบบนี้จะช่วยให้เส้นเอ็นตามเนื้อตัวผ่อนคลายหายปวด ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ ก็ทำหน้าที่ของลูกไปอย่างนั้น แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งนั้นมีความหมายมากมายกว่านั้น
พ่อกรำงานสารพัดตลอดวัน เมื่อถึงเวลาเย็นพ่อจึงดูเหน็ดเหนื่อยมาก พ่อนอนแผ่หลากับพื้นเรือนที่เป็นไม้ขัดจนเป็นมันวับ ผมได้ทำหน้าที่ไต่ไปบนหลังพ่อ ไต่จากแนวไหล่ไล่ลงมาจนถึงต้นขา วนไปและวนมาจนพ่อบอกพอจึงหยุด ผมเห็นพ่อหลับแล้วก็สงสาร
เมื่อวานลูกชายของผมได้ทำหน้าที่ในแบบที่ผมเคยทำต่อปู่ของเขา
การที่ผมให้ลูกไต่ไปบนแผ่นหลังเพื่อให้เขาได้รับรู้เสียงขยับของกระดูกและเอ็นสายตัวที่เขม็งเกร็งตลอดชั่วโมงของการทำงาน เสียงกระดูกและเอ็นที่เลื่อนขยับคงสัมผัสได้ที่ฝ่าเท้าของเขา ผมได้ยินเขาพูดว่า พ่อครับ เสียงกระดูกพ่อลั่นหลายที หลายที่นะครับ ผมหัวเราะหึ ๆ และว่า มันเป็นธรรมดาลูก คนใช้แรงงานก็ต้องเป็นแบบนี้
16 มีนาคม 2551 06:48 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ผมเคยเขียนกลอนในชื่อ ดาวบางดวง แล้วครั้งหนึ่ง นั้นก็นานมาก วันนี้ผมอยากเขียนอีกเป็นเรื่องสั้น
ผมมีแผนที่ดาวอยู่แผ่นหนึ่ง มันเป็นกระดาษแข็งที่เป็นวงหมุนได้รอบ เดือนนี้ วันที่เท่านี้ ณ องศาประมาณนั้น เราจะได้เห็นกลุ่มดาวกลุ่มนั้น และในดาวกลุ่มนั้นก็จะเห็นดาวดวงที่มีแสงแจ่มที่สุดดวงนั้นดวงนั้น ผมเพลินมากในคืนที่ดาวพราว นอกจากได้นึกคิดเรื่องดาวผมยังได้คืดถึงคนที่ผมศรัทธา
ดาวไม่เจิดจ้าอย่างตาวัน แต่ดาวก็แจ่มต่อใจ ในยามค่ำคืนที่โลกรายรอบมืดมิด
สังคมของเราเวลานี้เหมือนยามวิกาลที่ผู้คนอยู่ในความหลับไหล ผู้เกิดใหม่ไม่น้อยเดินหลงอยู่บนทางที่คดเคี้ยวที่ข้างทางเป็นหลุกขวากและหุบเหวลึกสุดประมาณ และผู้ใหญ่เองก็ไต่อยู่บนเส้นลวดของศักดิ์ที่ต้องรักษาสภาพด้วยการยอม แม้กระทั่งการสละโอตตัปปะและหิริ ดังนั้นแม้แสงแห่งดาวจะน้อยนิด ก็ยังเป็นแรงใจให้ได้คิดในยามที่โลกรอบตัวหม่นหมองมืดมน ว่า..สังคมนี้คงมีความหวังอยู่บ้าง
มองไปในท้องฟ้ายามราตรี ดาวบางดวงหรี่แสงราวจะเร้นตัว แต่ความจริงนั่นเป็นเพราะกลุ่มเมฆที่ทยอยทะมึนบดบังต่างหาก
เมื่อนึกได้ว่าดวงดาวนั้นอยู่ยืนยาวกว่าเมฆทะมึน ผมก็รู้สึกชื่นใจขึ้นอย่างประหลาด ผมนึกถึงคนทำงานเพื่อสังคมในประเทศของเราแล้วก็มีความหวัง ท่านเหล่านั้นเหมือนดาว ในดวงใจของผู้คน
........
คุณนึกถึงใครบ้างครับ ที่เป็นดาวบางดวงในหัวใจของคุณ
ท่านหนึ่งในหลายท่านที่ผมนึกถึง มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนท่านอื่น ๆ ผมเรียกสิ่งนั้นว่าอุดมคตินะครับ อุดมคติเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ที่ผู้คนต้องการไปถึง ผมเชื่อว่าเพราะมีสิ่งนี้ท่านเหล่านั้นจึงยังคงทำงานของท่านอยู่อย่างเกินขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาทำได้
ผมเห็นท่านขี่รถเครื่องสีดำคันเก่ามาก ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ลูกศิษย์ของท่านอยู่ เพื่อติดตามผลว่าสิ่งที่ท่านสอนลูกศิษย์ได้ลงมือทำหรือยัง เพียงแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้านลูกศิษย์ทุกบ้าน โดยยังไม่คิดไปถึงว่าจะผลักดันให้ลูกศิษย์ลงมือทำงานเพื่อให้มีอยู่มีกินอย่างไร ก็ยังเกินขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้แล้วครับ เพราะหมู่บ้านที่ต้องไปมีเป็นร้อยหมู่บ้าน อยู่ต่างตำบลต่างอำเภอทั้งนั้น นี่แหละครับดาวบางดวงที่ผมจะเล่าให้ฟัง
ถิ่นที่ผมอยู่ผู้คนยากจนมาก เป็นพลเมืองชั้นสามที่เห็นได้ชัดมากเมื่อไปทำงานรับจ้างตัดอ้อยแถบภาคตะวันตก นายจ้างจะรีดเอาแรงงานให้คุ้มกับเงินทุกเม็ดที่จ้าง งานหามร่งหามค่ำเพื่อให้ทันกับความเร่งรีบที่จะต้องส่งอ้อยเข้าหีบทำให้นายจ้างใส่ยาขยันลงไปในน้ำดื่มอย่างไม่ลังเล และมากกว่านั้นก็คือใช้เงินตกแรงงานไว้ข้ามปีเพื่อให้มีทาสผู้ซื่อสัตย์ไว้รีดเรี่ยวแรงไม่รู้จบ พ่อแม่ของเด็กจำนวนไม่น้อยอยู่ในสภาพแบบนี้คือไปทำงานต่างถิ่นแล้วส่งเงินกลับมาบ้านเพื่อให้ลูกและตายายซื้อข้าวกิน
นอกจากขายแรงงานแถวภาคตะวันตก คนถิ่นผมยังจากบ้านไปทำงานเมืองหลวง งานเกือบทุกประเภทที่มีจ้างอยู่ในนั้นคนบ้านผมจับจองพื้นที่แล้วทั้งนั้น ทุกคนทำงานโดยไม่มีเวลาบ่น เพื่อส่งเงินกลับบ้าน
อาชีพดั้งเดิมในไร่นา ได้เปลี่ยนรูปแบบไปจนแทบไม่เหลือร่องรอยของเดิมแล้ว เช่นจากไถปักดำเก็บเกี่ยวด้วยแรงงานสัตว์และคนก็เปลี่ยนไปเป็นจ้างรถไถญี่ปุ่นทำแทนทุกอย่าง ต้นทุนทำนาที่แต่เดิมมีเพียงแรงกายก็กลายเป็นแรงเงินที่แลกมาจากหยาดเหงื่อที่กรุงเทพ นาที่เคยอุดมจากมูลสัตว์บัดนี้แม้จะพึ่งปุ๋ยเคมีก็ยังยากแล้ว เพราะดินกระด้างเกินเยียวยา
เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธ.ก.ส. บอกว่าเงินที่ชาวบ้านส่งกลับมาแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท แต่หนี้ที่ชาวบ้านมีอยู่กับ ธ.ก.ส.มากกว่านั้นร้อยเท่า ตัวเลขที่พูดถึงไม่ได้นับหนี้นอกระบบเข้าด้วย เงินที่สะพัดมากในเขตบ้านย่านตลาดคือเงินหวยใต้ดินและล็อตเตอรี่ มากกว่าเงินซื้อกินด้วยก็ว่าได้
ตัวเลขก็คือตัวเลข ชีวิตจริง ๆ คือ ชาวบ้านยังอด ๆ อิ่ม ๆ คือไม่ได้อิ่มทุกมื้อ บางเดือนเงินจากทางไกลก็ไม่มา หรือมาก็ฝืดเคือง ความรักจากทางไกลไม่เป็นสิ่งที่หวังได้ ชีวิตบ้านนอกอาจต่างจากชีวิตในเมืองในหลายมุม แต่บัดนี้มีมุมหนึ่งที่เกือบคล้ายกัน นั่นคือเริ่มเลี้ยงลูกด้วยเงินและทีวีเหมือนกัน เด็ก ๆ ไม่ได้สัมผัสการโอบอุ้มอบรมจากพ่อแม่เพราะเขามีแต่เวลาหาเงินไม่มีเวลาให้ลูก ลูกไม่อาจพึ่งความมั่นคงทางใจจากพ่อแม่ก็ไปพึ่งความมั่นคงทางเงินจากทางอื่น เด็ก ๆ หัวหมุนเมื่อมีปัญหา ใครก็ช่วยไม่ได้ เพราะปัญหาของเขาคือปัญหาทางใจ
ชาวบ้านที่ไม่ไปจากถิ่น มีชีวิตที่อัตคัตทีเดียว พืชผักที่เคยมีให้เก็บกิน ปูปลาทีมีให้ดักจับเอา ข้าวที่มีในยุ้งบัดนี้อยู่ในสภาพแร้นแค้นแล้วทั้งหมด เพราะพวกเขาได้สูญเสียที่ดินผืนใหญ่ดั้งเดิมของตน มาครองที่ดินผืนเล็กผืนใหม่ที่ได้จากการบุกเบิกป่าบนที่สูง ที่ที่ว่านี้แทบจะไม่เหลือความอุดมสมบูรณ์เพราะตะกอนดินถูกชะล้างไปในการปลูกมันสำปะหลังในปีที่สองที่สาม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พวกเขาเอามันที่หัวเล็กเท่าหัวแม่เท้าไปขายเพื่อซื้อข้าวมายาไส้ ครอบครัวส่วนใหญ่เริ่มเป็นอย่างนั้น ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือพวกเขาหลายคนเริ่มจะสูญเสียที่ดินผืนใหม่อีกรอบเพราะมันทำอะไรไม่ได้ก็ต้องขายออกไปเพื่อซื้อข้าว
นั่นเป็นสิ่งที่ดาวดวงที่ผมนับถือเล่าให้ฟังและเพ่งมองลงไป ผมเห็นและคุณก็อาจจะเห็น
==============================================
คุณเชื่อไหมครับ ว่าดาวดวงที่ผมพูดถึง ท่านได้ไปเยี่ยมนักเรียนครบทุกคน รู้จักบ้านของเด็กทุกบ้าน รู้ว่าเขามีกินหรืออดอยาก รู้ว่าเขาลำบากหรือสุขสบาย ท่านบอกผมว่า หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเด็กวัยเรียนจึงหนีออกจากห้องเรียน แต่ท่านไม่สงสัยแล้ว เด็กไม่อยากเรียนเพราะเขาเรียนไม่ได้ เขาไม่มีใจที่จะเรียน ที่น่าเป็นห่วงมากก็คือหลายคนถึงขั้นไม่เห็นค่าของสิ่งที่ว่านั้น ปัญหาของเด็กหลาย ๆ คน คือเขาขาดที่พึ่งทางหัวใจ เมื่อเรียนไม่ได้เขาก็ไม่มีความสุขที่จะอยู่ในห้องเรียน เทียวหนีเรียนให้ครูไล่ตาม บางคนเป็นหนักเข้าก็ต้องย้ายที่เรียน ไปเรียนที่อื่นก็เหมือนเดิมคือเรียนไม่ได้ ไม่อยากอยู่ เมื่อออกไปอยู่นอกห้องเรียนก็ก่อปัญหาให้สังคมเดือดร้อนสารพัดสารพัน
ไม่ใช่แต่เด็กที่มีปัญหา ผู้ปกครองของเด็กก็มีปัญหา อยู่คนละทาง อยู่ต่างถิ่น หาเงินตัวเป็นเกลี่ยวเพื่อส่งให้ลูก ไม่น้อยเลยที่พ่อแม่แยกทางกันเพราะความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ ภาระหนักตกอยู่กับย่ายายตาปู่ที่ดูเหมือนจะสื่อสารกับลูกหลานได้ยากขึ้นทุกวัน ปัญหาลักษณะนี้มันหนักหน่วงข้นเข้มขึ้นทุกวัน จนหลายคนนึกไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาโดยเริ่มต้นตรงไหน
ดวงดาวที่ผมพูดถึง ท่านบอกว่ามันต้องเริ่มที่การศึกษา ถ้าการศึกษาสนใจที่จะแก้ปัญหาพวกนี้ มันมีทางเป็นไปได้ แต่ระบบการศึกษาทุกวันนี้ไม่เป็นอย่างนั้น
มันเป็นยังไงหรือครับ
ท่านว่า....
มันเหมือนการซื้อหวยล็อตเตอรี่ ที่จะมีคนถูกรางวัลอยู่ไม่กี่คน การศึกษาของเราก็เป็นแบบนั้น มันมีคนอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้นแหละที่จะโชคดีได้ทีต้น ๆ ในการแข่งขันเรียนและหางานทำ มีคนจำนวนน้อยนิดที่จะได้งานที่ดีทำ ที่เหลือนอกนั้นทั้งหมดต้องดิ้นรนหางาน แทบไม่ต่างจากผู้ใช้แรงงาน ที่น่าห่วงก็คือหลายคนคิดสร้างงานเองไม่ได้ ต้องคอยเป็นลูกจ้าง รับจ้างเพื่อให้มีเงินซื้อกิน แต่การศึกษาก็ไม่สามารถที่จะสร้างคนที่มีสมบัติที่ดีเพียงพอต่อการเป็นลูกจ้างที่ดี จนบริษัทต่าง ๆ บ่นไปตาม ๆ กันว่า พวกเขาต้องฝึกลูกจ้าง
เอาใหม่ บางแห่งต้องตั้งโรงเรียนเอง นั่นเป็นปัญหาที่พอเห็นทางออก แต่พวกที่ไม่ถูกหวยล่ะ แม้รางวัลเลขท้ายก็ไม่ถูก คือพวกที่เรียนก็เรียนไม่ได้ งานก็แทบไม่มีจ้าง พวกนี้จะอยู่อย่างไร ก็มาเป็นแบบที่ท่านว่า คือบุกเบิกพื้นที่ป่าเขาไปข้างหน้า เพื่อที่จะปลูกพืชทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดินอย่างสูง เพื่อจะมีเงินซื้อกินในปีที่สอง ปีที่สามก็อยู่ไม่ได้ ต้องบุกรุกไปอีก ที่เดิมก็ตกเป็นของคนมีเงินในเมือง ลูกหลานที่ออกมาก็มีปัญหาเดียวกัน แต่หนักหน่วงน่าเหนื่อยหน่ายกว่าอีก
ปัญหาพวกนี้ไม่มีทางออกเลยหรือครับ ผมถาม ท่านตอบว่า
มี ถ้าเราเข้าถูกที่ แก้ถูกทาง ทางไหน ใช่ไหม นี่ไง ที่การศึกษานี่ไง...
============================
เพื่อประกอบคำตอบ ท่านได้ชวนผมไปบ้านนักเรียนด้วย เมื่อได้เห็นผมถึงกับอึ้ง ถึงนาที่นี้ผมจึงพึ่งเข้าใจว่าทำไมเด็กจำนวนไม่น้อยจึงไม่อยากเรียน ก็เขาจะเอาใจที่ไหนไปเรียนเล่าครับ
อนาคตของประเทศเหล่านี้อยู่อย่างแร้นแค้นมาก เรือนชานของพวกเขาเหมือนคนมีอายุที่ซวนเซจะล้ม ทั้งค่อนข้างรก ไม่เป็นระเบียบ ขยะพวกถุงพลาสติกหูหิ้วเกลื่อนอยู่รอบบ้าน พวกเขาไม่มีเวลาที่จะเอาใจใส่เรื่องพวกนี้ เพราะปากท้องต้องการเวลานั้นมากกว่า ทุกที่ที่ท่านพาไปดูเป็นแบบนี้เกือบทั้งนั้น พ่อแม่เขาไม่อยู่ก็ไม่มีคนที่จะคอยกำชับให้ดูแลเรือน ตายายที่แก่เฒ่ามากก็ยังต้องดูแลเรื่องกับข้าวกับปลาของหลานเหลนทั้งที่แบเบาะและกำลังอยู่ในวัยเรียน ภาพที่เห็นชวนสลดใจยิ่งนัก ถ้าผมไม่ตามท่านไปผมก็ยังจะคิดว่าไม่มีภาพแบบนี้ และตัวเลขจีดีพีของประเทศที่ผมรับรู้ก็คงจะยังไม่สวนทางกับตัวเลขความอยู่ดีมีสุขของคนยากจนอยู่ต่อไปอีก
คุณเชื่อไหมครับ ว่ามีเด็กอายุไม่ถึงสิบสองปีดีต้องรับผิดชอบครอบครัว ทำงานหาเงินซื้อข้าว คุณเชื่อไหมครับว่ามีเด็กอายุไม่ถึงสิบสามปีดีต้องขาดเรียนในบางวันเพื่อไปรับจ้างเพื่อให้มีเงินมาโรงเรียน และคุณเชื่อหรือไม่ว่ามีด้วยเหมือนกันที่เด็กอายุไม่ถึงสิบสี่ปีดีที่ต้องทำทุกอย่างแบบผู้ใหญ่เพื่อให้ตัวเองและน้องรอดจากความหิวโหย สิ่งเหล่านี้ยังมี ยังเห็นได้เมื่อผมตามท่านลึกเข้าไปในหมู่บ้าน
ถึงวันนี้ผมจึงไม่สงสัยเลยต่อปัญหาสังคมที่มันเหมือนกับเร่งระดมเข้ารุกฆาตความอยู่เย็นของคน
การศึกษาของเรารับรู้เรื่องพวกนี้และมีทางแก้ไหม ทางไหนที่จะทำให้การศึกษาแก้ปัญหาความอดอยากยากจนได้ หรือว่าการศึกษาก็เหมือนการซื้อหวยล็อตเตอรี่จริง ๆ ผมคิดในขณะที่ตามท่านจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง
==========================
"ข้าว คือเอทีเอ็มของชาวบ้านนะ ถ้าชาวบ้านมีข้าวในยุ้ง ชีวิตของเขาก็ไปได้ดีขั้นหนึ่ง แต่ทุกวันนี้เขาปลูกข้าวไม่ค่อยได้ ดินมันเสื่อมความสมบูรณ์ คุณดูสิ แถวนี้อีกหน่อยก็ไม่ต่างจากทะเลทรายแล้ว" ท่านพูดขณะที่ขี่รถเครื่องไปช้า ๆ และชี้ให้ผมดูผืนนาแล้ง ที่ตอซังข้าวกรอบแกร็นปลิวหมุนไปในลมร้อนที่พัดวนเป็นวง
"ปีนี้ผมจะให้นักเรียนปลูกข้าว โดยใช้ที่ดินน้อย ๆ แต่ให้ผลผลิตสูงที่สุด ปีที่แล้วผมให้นักเรียนเลี้ยงปลาและปลูกผักเป็นอาหาร เขาทำได้ดีพอสมควร เดี๋ยวคุณก็จะได้เห็นในหมู่บ้านข้างหน้าโน้น"
แล้วผมก็ได้เห็นจริง ๆ ว่าเด็กที่เรียนวิชาเลี้ยงปลาปลูกผักประสบผลสำเร็จคือมีปลาและผักเป็นอาหาร การสอนแบบนี้จึงเป็นการสอนที่เขาใช้ประโยชน์ในวันนี้ได้จริง ๆ ใช่ไหมว่า ความอดอยากไม่สามารถรอให้อิ่มในสิบยี่สิบวันข้างหน้า หรือจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัย
"ผมขี่รถเครื่องไปตามหมู่บ้านแบบนี้มาเกือบสิบปีแล้วนะ ถ้าไม่บ้าแบบผมทำไม่ได้หรอก" ท่านว่าแล้วก็หัวเราะ
"แต่ผมว่า มีแต่คนบ้า ๆ เท่านั้นแหละที่โอบอุ้มสังคม" คราวนี้ท่านหัวเราะเสียงดังมาก รถเครื่องกำลังพาเราเข้าหมู่บ้านที่เงียบเชียบหมู่บ้านหนึ่งแล้วนะครับ
====================================
ผมได้คำตอบต่อคำถามเดิมครบถ้วน เมื่อออกจากหมู่บ้าน แต่มันก็มีคำถามใหม่เกิดขึ้นอีก คำถามใหม่ก็คือระบบการศึกษาของเราเห็นว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่เป็นปัญหาจริงหรือไม่ ในขณะที่เราพุ่งเป้าไปที่การแข่งขันในเวที่โลกไร้พรมแดน เราเห็นแผลเน่าที่กัดกินเนื้อในตนเองอยู่หรือไม่ แผลจากความอดอยากแร้นแค้น และความหมดหวัง ถ้ามองเห็น ถามว่าเราจะเริ่มกันที่ตรงไหนในระบบการศึกษา
ก่อนจากดาวที่ผมเคารพนับถือมา ผมถามท่านแบบติดตลกว่า ถ้าผมเป็นหัวหน้ารัฐบาลและรับผิดชอบกระทรวงจัดการศึกษา หากผมถามท่านว่าจะให้ผมทำอย่างไร ท่านกล้าที่จะบอกตรง ๆ ไหม
ดวงดาวของผมหัวเราะเสียงดังปานฟ้าคำราม และว่า
"นี่แหละปัญหาสำคัญของการศึกษาไทย คนใหญ่มองไม่เห็นปัญหาของคนเล็ก ๆ และคนเล็ก ๆ ก็ไม่กล้าบอกปัญหากับคนใหญ่ ๆ ขอบคุณมากที่บอกผม เดี๋ยวผมจะเตรียมการบ้านไว้ เผื่อว่าวันหน้าอาจจะมีคนมองเห็นคนทำงานในระดับรากหญ้าแบบบ้า ๆ แบบเรา เข้ามาถามว่าจะให้ผมทำยังไง "
========
ผมลาจากท่านมาแล้ว แต่ภาพและงานของท่านยังแจ่มอยู่ในหัวใจของผมไม่เลือนลบลงได้ ค่ำคืนที่ผมมองดาวบนท้องฟ้า โดยไม่ต้องดูแผนที่ดาว ผมก็รู้ว่า ดาวบางดวงของผมอยู่ที่ไหน ใช่ครับ ผมมีดาวบางดวงอยู่ในใจ เพื่อเป็นพลังในการยืนหยัดอยู่ต่อสู้กับความท้อถอยที่เข้ามาเยือนเป็นบางคราว
ผมนึกแล้วก็ยิ้มกับคำของตัวเองด้วยที่ว่า ก็มีแต่คนบ้า ๆ ทั้งนั้นที่ช่วยกันโอบอุ้มสังคม
ขอบคุณครับดวงดาวของผม
10 มีนาคม 2551 20:12 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
น้ำตาของผมและน้องรินอาบแก้ม เมื่อได้ยินคำถามว่าใครจะเลือกไปกับใคร ระหว่างพ่อกับแม่ นาทีนั้นผมรู้สึกว่าคงไม่มีความขมขื่นใดโหดร้ายเท่านี้อีกแล้ว พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันหรือครับ หรือว่าจริง ๆ แล้วความรักที่พ่อกับแม่มีต่อเราน้อยนิดกว่าความเกลียดชังที่มีต่อกัน จนต้องหันหลังแยกทางให้เราเลือกในสิ่งที่เราไม่ต้องการ
พ่อแต่งงานกับแม่แต่ยังต้องอยู่บ้านพ่อตา ตามีลูกเขยหลายคน ในบ้านนั้นพ่อเป็นลูกเขยที่จนที่สุด มาจากครอบครัวชาวนาผิดกับลูกเขยใหญ่และลูกเขยรองที่ทำมาหากินโดยการรับเหมาและค้าขาย
ผมโตขึ้นมาท่ามกลางการเหยียดเย้ยหยามหยันด้วยหางตาและถ้อยคำของลุงใหญ่และคนอื่น ๆ แม้ว่าผมจะเป็นหลานที่ตารักมากก็ไม่ใช่สิ่งที่จะชดเชยความเกลียดชังที่คนอื่น ๆ มีต่อผมได้ ทุกคนในบ้านหวาดระแวงผมกลัวผมจะหยิบฉวยเอาข้าวของเงินทองที่พวกเขาบอกว่าผมและพ่อเป็นคนอื่น ถ้อยคำที่ผมจดจำได้คือถ้ามึงจะไปอยู่กับพ่อก็อย่าได้กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก ตอนนั้นผมงุนงงสงสัยว่าทำไมเขาจึงอยากให้พ่อไปในขณะที่เหมือนอยากให้ผมอยู่ ตอนหลังผมรู้ว่ามันคือข้อต่อรองของผู้ใหญ่เพื่อจะได้เป็นฝ่ายไม่เสียเปรียบ
เวลาตาไปเที่ยวไหนมักได้ของเล่นชิ้นเล็ก ๆมาฝากผมเสมอ แต่ว่า.. สิ่งของที่ตาซื้อให้ผม หลานของตาคนอื่น ๆ จะมาแย่งเอาคืนหมด หรือไม่ก็ทำให้มันแตกพังแล้วหัวเราะเสียงดังสาใจ ผมไม่อาจโต้ตอบ ผมไม่ชอบการต่อยตี และที่สำคญผมเป็นแค่คนอาศัยในบ้านนั้น ผมไม่มีบ้านที่จะอยู่ได้ยืนยืดไหล่เหมือนใครเขา
พ่อสร้างเรือนหลังใหม่โดยต่อออกมาจากยุ้งข้าวที่บ้านของปู่ ผมเทียวแวะเวียนไปหาพ่อเพราะอยากจะอยู่กับพ่อคุยกับพ่อแต่ผมก็กลัวกลัวคนในบ้านแม่จะเห็น ผมหวาดกลัวต่อภัยจากน้ำเสียงแลสายตาของพวกเขาที่ทำให้ผมรู้สึกราวเป็นสัตว์ที่รอเศษก้างที่เขาโยนให้กิน
สิ่งที่ทำให้เขาจงเกลียดจงเกลียดชังพ่อและผมถึงขั้นทนกันไม่ได้คือเขากลัวว่าพ่อจะแย่งชิงทรัพย์สินมรดกที่เขาสมควรได้ เขาอาจไม่แสดงต่อผมต่อหน้าตาด้วยสีหน้าหรือคำด่าทอรุนแรงก็เพราะเขาเกรงใจตา แต่เมื่อถึงวันที่เขาได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างตาก็หมดความหมาย ผมโดนเขาดุด่าที่เอาของกินในบ้านไปให้พ่อ ผมไม่มีอะไรที่จะสื่อให้พ่อรู้ว่าผมรักนอกจากเศษขนมที่ผมมี ตาให้ขนมแก่ผมแต่เมื่อผมเอาขนมไปให้พ่อทุกคนในบ้านก็รุมด่าว่าอ้ายขี้คอก พวกคนทุกข์ นั่นเองที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะออกจากบ้านหลังใหญ่ไปอยู่บ้านต่อยุ้งกับพ่อ
ผมไม่รู้ว่าแม่รักพ่อหรือไม่ เพราะทุกถ้อยคำที่คนบ้านใหญ่พูดถึงพ่อในทางไม่ดี แม่ไม่เคยแก้ต่าง หลานตาคนอื่นว่าผมว่าเป็นหมาหลายเจ้ากินข้าวหลายเรือน เพราะผมแอบไปหาพ่อแอบคืนเรือนมาหาแม่ ถ้าตาไม่อยู่ผมไม่กล้าที่จะกลับบ้านหลังใหญ่ วันที่ผมเสียใจที่สุดก็คือวันที่แม่ดุผมว่าไม่รู้จักเวล่ำเวลา เถลไถลไม่อยู่บ้านอยู่ช่อง ผมเสียใจเพราะผมไม่ได้เถลไถล ผมไปหาพ่อ ผมมีความสุขที่จะอยู่บ้านหลังเล็กๆกับพ่อ
ผมได้อยู่กับพ่ออย่างจริงจังในไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อตากับยายเสียลงในเวลาไล่เลี่ยกัน บ้านหลังใหญ่เปลี่ยนชื่อเจ้าบ้านเป็นคนใหม่ ผมเป็นคนไปชวนแม่มาอยู่ด้วย แม่ร้องไห้ คล้ายกับนึกอับอายที่ได้ทำบางอย่างไว้กับพ่อ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญในตอนนั้น ตอนที่ผมขอให้พ่อรับแม่มาอยู่ด้วย พ่อพูดเพราะมากว่า ไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าของแม่มาเถิด
=========================================
000
แม่ก็อาจเหมือนผม ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของบ้านนั้น แม่จึงจากมันมาง่ายดายกว่าที่ผมคาด ญาติของแม่แทบจะไม่สนใจตอนที่แม่กับผมหิ้วกระเป๋าเดินจากมา ผมถามแม่ว่าแม่สบายใจไหม แม่ไม่พูดแต่พยักหน้าน้อย ๆ
ที่บ้านของปู่ พ่อกลับไปใช้ชีวิตแบบปู่ คือปลูกอยู่ปลูกกิน ช่วงแรก ๆ ในชีวิตการมีครอบครัวของพ่อ ผมคิดว่าพ่อไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้ เพราะพ่อตาและเขยใหญ่เป็นฝ่ายกำหนดให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อพ่อมาทำตามแบบของตัวเองผมเห็นพ่อยิ้มอยู่ภายในใจ
งานบ้านในบ้านต่อยุ้งไม่ยุ่งเหยิง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเรามีข้าวของน้อย มีห้องที่ต้องปัดกวาดเช็ดถูน้อย มีภาระที่ต้องรับใช้คนอื่นน้อยลง ผมเองได้แบ่งเบาภาระของแม่เต็มที่ไม่ต้องคอยผละไปทำงานที่คนอื่นบอกว่าเร่งด่วนกว่า เมื่องานบ้านมีน้อยผมก็มีเวลาที่จะทำงานกับพ่อมาก ผมชอบงานที่ก้าวหน้าของพ่อ
ผมเห็นพืชผักของพ่อตั้งแต่มันแทงยอดพ้นขึ้นมาจากดินอ่อนนุ่ม มันยิ้มรับแสงและยิ้มให้ผม ผักในสวนมีหลายอย่างทั้งรสจืดและข้นขม กลิ่นก็มีหลายแบบทั้งฉุนกึกและจางกว่า ผมไม่ค่อยเห็นมดแมลงกวน พ่อไม่ใช้ยาฆ่าแมลง พ่อเพียงจัดการมันด้วยมือกับปลูกพืชผักพวกนั้นคละกันจนแมลงมันมึน ผมแอบยิ้มและมีความสุขที่สุดในวันที่แม่เดินเข้าไปเก็บผักในสวนมาทำกับข้าวให้พวกเรากิน น้องของผมชอบคะน้าผัดปลาเค็มฝีมือแม่ ส่วนผมชอบต้มจืดมะระฝีมือพ่อ ความจริงผมแทบเกลียดรสขม แต่เมื่อพ่อว่าค่อย ๆ กินทีละน้อย ของขมมักเป็นยาทำให้ชีวิตยืนยาวผ่องใสผมจึงทำใจยอมกินและรู้สึกกับมันดีขึ้น
เมื่อผักของพ่อมีมากและหลากหลายขึ้นก็มีคนจากตลาดมาซื้อผักที่บ้านต่อยุ้งของเรา ตอนหลังพ่อบอกเขาว่าจะเอาไปส่งให้ก็ได้ ผมเลยมีงานหลักอีกอย่างเพิ่มขึ้นมาคือส่งให้เจ้าประจำ คนทำงานในอำเภอที่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้กับบ้านของปู่มีเยอะแยะมากที่อุดหนุนพ่อ เพราะเห็นว่าพ่อมีอัธยาศัยดีกับผักของเรามีความปลอดภัย ผมได้เห็นแม่ยิ้มอีกครั้งหลังจากที่แม่ไม่ได้ยิ้มมานานมากในวันที่ผมเอาตังค์ค่าผักให้แม่เก็บ
ผมอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปที่บ้านหลังใหญ่ ผมอยากเอาผักไปให้เขากิน แต่กลัวเขาจะเหยียด ผมอยากจะบอกว่าผักของผมอวบ ผมก็กลัวเขาจะหยัน รอยจำภาพหยามเย้ยด้วยหางตามันไม่เคยลบออกไปได้
แต่ในที่สุดพ่อก็ให้ผมเอาผักไปให้ลุงใหญ่ เลือกคะน้าที่อวบที่สุด เลือกฟักทองที่สวยที่สุด เลือกถั่วฝักยาวที่กรอบที่สุด เลือกมะเขือที่หวานที่สุดใส่ตะกร้าใบใหม่ที่สุดให้แม่พาไป บ้านนั้นรับ แต่ไม่ยิ้ม แต่เท่านั้นผมก็รู้สึกว่าตนเองมีความสุขล้นเหลือ แม่ก็คงเหมือนกัน ป้าแอบหยิบของที่ขายอยู่หน้าร้านให้เรา เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองซอง นั่นก็ทำให้ผมได้คิดถึงคำพูดของพ่อที่ว่าอย่างไรเสียคนในสายเลือดเดียวกันก็มีเยื่อใยต่อกัน
ที่บ้านต่อยุ้งของพ่อ มีต้นไม้ค่อยโตขึ้นหลายต้น ส่วนมากเป็นไม้ผลพันธุ์แปลกที่มีคนเอามาฝากพ่อ ไม้ผลธรรมดาพื้นบ้านก็มี แต่ที่มีมาก ๆ คือกล้วยที่เรากินเองไม่หวาดไม่ไหว พืชชนิดนี้เองที่ทำให้แม่ได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ ผู้หญิงจากบ้านหลังใหญ่ที่หม่นหมองซึมเศร้ามาค่อนชีวิต มายิ้มสดใสได้บ้างก็ตอนที่มาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ยังไม่เป็นบ้านดี ผมนึกแล้วก็หัวเราะในความช่างสังเกตของตัวเอง
============================
000
เมื่อชีวิตมีความสงบสุข ผมก็มีเวลาสังเกตสิ่งรอบตัวที่งามง่ายมากขึ้นแทนที่จะต้องเงี่ยหูฟังว่าเขาจะด่าหรือพูดกระทบกระเทียบอย่างไร ผมเพิ่งสังเกตเห็นนกตัวเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือของเด็ก ๆ ตัวสีดำ ๆ ปีก มีแถบสีแดง ๆ ส่งเสียงจิ๊บ ๆ บินมาจับร้านฟักทอง กระโดดไปกระโดดมา ผมเห็นแล้วว่านกคู่นั้นทำรังน้อย ๆ ไว้ที่กิ่งกระโดงคู่ของต้นทับทิม ที่เพิ่งสูงท่วมหัวของผม นอกจากนก ผมยังได้เห็นผึ้ง ทั้งผึ้งหลวงและผึ้งมิ้ม บินมากินน้ำหวานและเคล้าเกษรดอกไม้ แต่ก่อนผมไม่ได้ยินเสียงผึ้ง คงเป็นเพราะหูผมคอยแต่จะฟังว่าเขาด่าหรือนินทาอะไร เสียงผึ้งนั้นเพราะ เหมือนตาปะขาวเป็นหมู่สวดมนต์อยู่งึม ๆ และนานแล้วที่ผมไม่ได้ยินพ่อเป่าขลุ่ย วันนี้ได้เห็นและได้ยินเพลงลูกทุ่งจากขลุ่ยของพ่อกับได้เห็นแววตาชื่นชมที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจากดวงตาของแม่ สิ่งที่ผมได้เห็นวันนี้ แหม..ทำให้ผมมีความสุขมากแท้
ไม่นานเลย ขณะที่บ้านของเราเงียบลงอย่างกับวัด บ้านหลังใหญ่กลับมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นดังขึ้นแทน เจ้าบ้านคนใหม่คงเมามาย เสียงตะคอกขู่จึงดังยิ่งกว่าดังเหมือนเสือคำราม มือที่เงื้อง่าออกท่าจะตบตีไม่ต่างจากอุ้งเท้าสัตว์ที่เตรียมตะปบสัตว์อ่อนแอกว่า เขามีเรื่องอะไรต้องทะเลาะกันอยู่หรือครับ ใคร ๆ ในหมู่บ้านก็รู้ว่าเรือนหลังใหญ่นั้นมีอะไรทุกอย่าง สมบูรณ์พร้อม คุณคงไม่เชื่อเด็กอย่างผมดอกครับ ถ้าผมจะพูดว่า บ้านนั้นขาดความรัก
ทะเลสงบเพราะพายุไม่ปรากฏตัว ครั้นเมื่อฟ้าคลั่ง ทะเลก็ประดังคลื่น บ้านใหญ่เกิดเรื่องระหองระแหงมีปากเสียงเพราะป้ารู้ว่าบ้านเล็กบ้านน้อยที่บัดนี้กำลังท้องอ้างความเป็นเมียอีกคนอยู่ด้วย ความหึงหวงได้ทำให้ความเงียบดังทะเลเรียบกลายเป็นคลื่นทะเลใหญ่ที่กำลังโถมเข้าใส่กองทรายปากอ่าว เด็ก ๆ บ้านนั้นร้องไห้กระจองอแงเมื่อเห็นพ่อแม่ของเขาทะเลาะกัน ถ้าตากับยายอยู่คงได้เป็นคนห้ามทัพ แต่นี่คนตัวใหญ่เสียงดังที่สุดในบ้าน ไม่เป็นที่ไว้วางใจของใครต่อใครเสียแล้ว ใครจะห้ามสงครามในครอบครัวนี้ได้หรือครับ นอกจากพวกเขาจะห้ามใจตัวเอง ผมไม่อยากเล่าต่อ เพราะมันไม่ต่างจากหนังที่ฉายทางทีวี
ผมได้เห็นน้ำตาของลูก ๆ ของลุงรินอาบแก้ม เมื่อเห็นพ่อแม่ของตนตีและด่ากัน พวกเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไหมครับ บางทีความรักที่พ่อกับแม่มีต่อกันอาจะน้อยกว่าความเกลียดชังที่กำลังเพิ่มขึ้นเมื่อรู้เต็มอกว่าอีกคนหนึ่งกำลังโกหกและนอกใจ ก่อนการแยกทางจะเริ่มต้นขึ้น ผมได้ยนเสียงพวกเขาเถียงแบ่งสมบัติและแบ่งลูกกัน
เสียงร้องไห้ยังดังระงม
ผมก็ได้แต่คาดหวังว่าพวกเขาจะกลับคืนหากัน
ด้วยความรัก
8 มีนาคม 2551 08:17 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ผมไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ เป็นแค่นักใช้เครือข่ายสเปซเน็ตยามค่ำคืน ตอนกลางวันผมมีภาระอื่นที่จะต้องทำเยอะแยะ กวาดบ้านถูบ้าน ปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ ถามว่าประชาชนชั้นสามแบบผมรู้เรื่องสเปซเน็ตได้อย่างไร ไม่มีคำตอบที่ควรหรอกครับ ผมก็ใช้ไปเพราะมีให้ใช้ คุณก็รู้ ว่ารัฐเขาติดตั้งระบบสเปซเน็ตให้กับประชาชนทุกบ้านแล้วบังคับทยอยเก็บเงินค่าเช่าคู่สายเป็นเวลา 30 ปี ผมใช้สเปซเน็ตเพราะมันมีให้ใช้ แต่คุณครับสเปซเน็ตมันติดผมน่าดู มันชอบใจภาษาของผม ไม่ใช่แอสกี เอชทีเอ็มแอล อะไรทั้งสิ้นครับ ภาษาที่ผมค้นพบโดยบังเอิญคือภาษาพี ( P=ภาษาสามัญที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกันทุกเครือข่ายรับรู้และโต้ตอบได้ โดยที่ผู้ออกแบบระบบไม่ได้ออกแบบไว้ แต่เครื่องและเครือข่ายของเครื่องพัฒนาหรือสร้างไปเอง-ผู้เขียน)
หน้าจอสีฟ้าของคอมพิวเตอร์ของผมคงต่างจากหน้าจอของคนอื่น เครื่องของผมมันหอนก่อนที่มันจะแฮ้งค์ คำนี้บังเอิญพ้องกับคำว่าฮ้างในพจนานุกรมไทยตะวันออกเฉียงเหนือ ฉบับ ก.พ.255x - อ้างแล้ว ผมไม่มีปัญญาตามช่างมาซ่อมหรือยกไปให้ช่างซ่อมให้ ก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น แต่ไม่กี่วันต่อมามันก็เข้าได้อีกครั้ง เข้า คือเปิดใช้งานได้ ศัพท์นี้ทุกคนรู้ แต่หน้าจอไม่เหมือนเดิมซะแล้วครับ
ผมพิมพ์อะไรลงไปมันก็โต้ตอบ แต่ไม่ใช่โต้ตอบแบบ bad command ในเครื่องรุ่นหน้าจอดำยุคแรก ๆ นะครับ มันโต้ตอบแบบไม่ซ้ำแบบที่ถ้าใครไม่สังเกตจะคิดว่าเครื่องมันคงรวนอะไรซักอย่าง แต่ไม่เลยครับ
สิ่งที่ทำให้ผมฉุกใจคิดก็คือ เครื่องมันให้ผมยืนยันข้อมูล ถ้าผมยืนยันได้ เครื่องมันจะตอบโต้ แต่ถ้าผมมั่วมันก็ดูเหมือนจะมั่ว
ภาษาที่ผมใช้ รูปแบบอักษรไม่เหมือนอักษรคันจิ อักษรรูปภาพแบบจีน อักษรเทวนาคี อักษรขอม อักษรโรมัน หรือแม้แต่อักษรดัดแปลงรุ่นหลัง ๆ ผมไม่ได้คิดภาษานี้เองนะครับ มีคนออกแบบแล้วติดแปะที่แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ไว้ให้ เมื่อลองใช้ซ้ำไปซ้ำมาผมก็ชินและชอบ
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบทสนทนาที่หน้าจอของผมในเย็นวันหนึ่งครับ
ผมเคาะแป้นพิมพ์ดีดรัว แต่ไม่มั่ว เคอร์เซอร์กระพริบช้าที่ c://
c:// คุณอยู่แดนใดหรือ
x:// ไร้แดน ทุกแดน ต่างแดน แดนเดียวกัน หลายคำตอบ คุณอยู่แดนดงใช่ไหม
c:// ใกล้เคียง คุณมีลูกเมียไหม
x:// กรุณายืนยันข้อมูล
c:// ผม spsx-13 ยืนยัน
x:// ไม่มีการออกแบบระบบเพศและการสัมพันธ์ทางเพศ
c:// ขอโทษครับ
x:// ลืมมันเถิด
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่าสเปซเน็ตติดผม หรือผมติดสเปซเน็ต จริง ๆ ครับ ทุกเย็น นี่หน้าจอสีฟ้า ขึ้นตัวหนังสือสีขาวรอผมแล้ว
ดูตัวอย่างข้อความต่อนะครับ
x:// คุณ spsx-13 ถ้าเข้ามาแล้วกด f12 ควบ f6 รับข้อความข่าวด้วย
เมื่อผมทำตามบอก ก็ได้อ่านเรื่องราวที่คล้ายบทวิเคราะห์สังคมและเศรษฐกิจอยู่เรื่อย ๆ มีบางครั้งเหมือนกันที่เป็นเรื่องอื่นๆ ที่ผมก็ไม่เข้าใจ
ตัวอย่างถัดมา
x:// คุณ spsx-13 ถ้าเข้ามาแล้วกด f3 ควบ f1 รับข้อความคำถาม และกรุณายืนยันข้อมูลเพื่อเทียบแหล่งอ้างอิง
หรือตัวอย่างนี้
x:// คุณ spsx-13 ถ้าเข้ามาแล้วกด f11 ควบ f5 เพื่อช่วยออกแบบรูปแบบสำหรับการดำรงชีพแบบจำกัดอาหาร
พอนะครับ เดี๋ยวตาลาย
มีเรื่องราวที่ทำให้ผมได้คิด ทดลอง และเรียนรู้หรือออกความเห็นอยู่เรื่อย ๆ ในสเปซเน็ต ผมอยากรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีข้อความอะไรส่งมาและผมต้องตอบอะไรไป ชีวิตในตอนกลางวันของผมไม่ได้เป็นหน้าจอสีฟ้าหรอกครับ ผมทดลองปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ของผมไปเรื่อยประสบผลน่าพอใจ แต่ผมก็เคยเล่าให้ x:// ในสเปซเน็ตฟังว่า ผมทำอะไรอย่างไรบ้าง
เช่นเรื่องการปลูกคะน้า เคยคุยกันแบบนี้ครับ
c:// คุณรู้จักคะน้าปลีไหม
x:// ไม่มีข้อมูล
c:// ก็น่าจะอย่างนั้น คะน้าปลีน่าจะไม่มีที่ไหนมาก่อน เว้นแต่ที่ที่เขาแอบดัดแปลงลายพิมพ์กรรมพันธุ์
x:// น่าสนใจ
c:// ผมไม่ได้ตัดแต่งพันธุกรรมนะ แค่สังเกตคะน้าบางต้นมีลักษณะแบบนั้น ผมก็เก็บพันธุ์มันไว้
x:// น่าสนใจมาก
c:// เมื่อปลูกใหม่อีกครั้ง คะน้าทุกต้นที่ได้จากต้นนั้นมีลักษณะเหมือนต้นเดิม
ผมเคยอ่านหนังสือแปลเรื่องเฒ่าทะเล เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนจะจบเรื่องผมนึกหัวเราะ หัวเราะตรงที่มันละม้ายกับบางมุมของชีวิตผม บางทีคนเราก็ต้องการใครซักคนที่จะรับรู้ถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวแม้เพียงน้อยนิดของตน
ที่ผมมานั่งเฝ้าหน้าจอมอนิเตอร์ของสเปซเน็ตในทุกค่ำคืนดื่นดึก ในมุมหนึ่งก็ไม่ต่างจากเฒ่าทะเลที่เล่าเรื่องปลาที่เขาต่อสู้กับมันจนได้ซากลากเข้าฝั่งให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งรับรู้ แม้ x:// จะมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม ผมอาจเพียงต้องการใครซักคนหรืออะไรซักตนรับรู้เรื่องราวของผมบ้างเท่านั้น การที่เขาหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่โต้ตอบกับผมได้โดยยืนยันข้อมูลที่เคยตอบโต้กับผมได้คล้ายจำหรือคิดได้ เพียงเท่านั้นผมก็ถือว่าความปรารถนาของผมสมหวังหรือบรรลุเป้าหมาย ก็จะให้ผมคาดหวังอะไรไปมากกว่านี้เล่าครับ ในเมื่อคนที่มีสติปัญญาและสถานะสูงส่งกว่าผมก็ยอมจำนนไปจนหมดสิ้นต่อสภาวะที่ผู้คนพลเมืองเป็นเหมือนวัตถุเดินได้ ใช้เงินซื้อให้ทำอะไรก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องยืนยันหรือไม่ยืนยันข้อมูล
ว่าแต่ว่าคุณสนใจที่จะพูดคุยกับ x:// ซักหน่อยไหม ถ้าสนใจเริ่มต้นที่ ทำอย่างไรก็ได้ให้คอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแฮ้งค์อย่างรุนแรง ปล่อยเครื่องไว้ซักพัก ถ้าเครื่องเข้าได้เอง คุณลองทำตามแบบที่ผมทำนะครับ พิมพ์อะไรก็ได้มั่ว ๆ แล้วดูว่าเครื่องโต้ตอบอย่างไร ถ้าเกิดหน้าจอสีฟ้าขึ้นแล้วเครื่องให้ยืนยันข้อมูล บางทีคุณอาจเป็นคนที่สองที่ได้ใช้ภาษาพี ในโลกสเปซเน็ตแบบผม ขอให้โชคดีครับ
5 มีนาคม 2551 23:13 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เรื่องนี้ผมยืมชื่อเรื่องและตัวละครบางตัวจากสมุดวาดภาพลายเส้นของเด็กชายชาญวิชช์ นามโนรินทร์ ชั้น ป.5 โรงเรียนเชิงชุมราษฎร์นุกูล อ.เมือง จังหวัดสกลนครมาครับ ค่าลิขสิทธิ์ชื่อเรื่องและชื่อตัวละครบางตัว ผมขอจ่ายเป็นค่าขนมให้เขานะครับ
000
เอ็กซ์ บาร์เบอร์ เป็นชื่อเด็กหนุ่มแว่นหนา และเป็นชื่อกลางเรียกกลุ่มคนที่รับจ้างตัดผมทุกดาวจักรด้วย เขาสวมเสื้อผ้าคงเอกลักษณ์ ผมสีทองอันดกแน่นตั้งชูราวกับเคลือบเจลมาแรมปี ความจริงไม่ใช่ เขามีวิธีที่จะคงทรงของผมให้เป็นอย่างนั้น และเขาก็เป็นหนึ่งในช่างตัดผมธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาออกแบบและสร้างยานบินข้ามตะวันไปตัดผมให้ใครต่อใครก็ได้ที่ปรารถนาฝีมืออันสุดเนี๊ยบได้
ยานบินของเอ็กซ์ บาร์เบอร์ใช้น้ำเป็นเชื้อเพลิงด้วยหลักการที่นักวิทยาศาสตร์ยุคพิกโกเทคโนโลยีสั่นหัวปนส่ายหน้าต่อการอธิบายให้เข้าหลักของทฤษฎีการเปลี่ยนรูปพลังงานทุกเชิง คุณเคยเห็นยานบินของเอ็กซ์ บาร์เบอร์หรือยังครับ วันมะรืนถ้าเอ็กซ์บาร์เบอร์ ผ่านมาทางนี้ผมจะถ่ายรูปมาฝากนะครับ
เสียงยานบินของเอ็กซ์ บาร์เบอร์เงียบฉี่เหมือนเสียงแมลงหวี่ตอมใบหู ความเร็วของยานไวปานหนังตากระพริบก่อนที่จะโดนแมลงกลิ่นพริกเข้าตา รูปแบบยานแบบทรงกระบอกออกจะแหกจากกฎแอโรไดนามิกอยู่บ้างแต่เมื่อทำความเร็วได้พอเหมาะยานบินก็ไม่ต่างจากยานเหาะที่จะเคลื่อนในทิศทางใดๆก็ได้ทั้งแบบใบไม้ร่อนร่วงหรือนกกระเต็นดิ่งธารจับปลาซิวชะตาขาด
ยานบินของเขาแม้จะเทียบกับไทม์แมชีนไม่ได้ก็ใกล้เคียง ถ้าเพื่อนต่างดาวจักรเป็นมนุษย์นิยมผมยาวไว้หนวดไว้เครารุงรังงานของเอ็กบาร์เบอร์ก็คงไม่รุ่ง แต่นี่ทุกคนนิยมแบบหัวเกือบเกรียนช่างตัดผมอย่างเขาจึงยังคงต้องเดินทาง อาชีพนี้ถึงจะไม่สงวนไว้สำหรับมนุษย์บางชนชั้น ก็เข้าใจเอาได้เองว่า คนมีฝีมือแบบเขาและผองเพื่อนเท่านั้นที่มีคุณค่าที่คู่ควรกับหัวของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาของทุกดาวจักร
บรรดาอาชีพทั้งหมดในยุคของเอ็กซ์ บาร์เบอร์ นั้น ช่างหากินกับหัว คืออาชีพที่สูงส่งและทำเงินสูงสุด ข้อแม้ที่แม้ไม่ใช่กฎเหล็กสำหรับอาชีพนี้ที่ห้ามไม่ให้มีเมียนั้นได้ทำให้ผู้หัวใจไม่ซื่อถึงกับมือตกเอาดีไม่ได้ในการตัดผมมานักต่อนัก จนพวกเขาต้องละอาชีพนี้ไปสู่อาชีพที่ต่ำต้อยทั้งมวล
เศรษฐีผู้มีอันจะกินอยู่บ้างในดาวจักรของเอ็กซ์บาร์เบอร์มักนิยมเดินทางระหว่างดวงดาวเพื่อใช้เงินรักษาสมดุลของเวลาของเซลล์คุมชีวิตและเซลล์อันเกี่ยวเนื่องกับการนึกคิดของตน อันจะกินซึ่งเอ็กซ์ บาร์เบอร์หมายความถึงคือของกิน ที่เศรษฐีเลือก ไม่ใช่พืชผักที่ปลูกด้วยกรรมวิธีเชิงเคมี แต่เป็นผักธรรมชาติที่เป็นคู่เอื้อของกลุ่มจุลินทรีย์กลุ่มไม่พิสมัยออกซิเจน ซึ่งผักพวกนั้นคนจนทุกคนทุกดาวจักรไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกและเกือบไม่มีสิทธิ์ที่จะกิน เนื่องจากราคาที่แพงแสนแพง ผู้ผูกขาดความรู้และอุตสาหกรรมเกษตรสืบเนื่องกับอาหารจึงเป็นกลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลยิ่งในดาวจักรที่สรรพชีพต้องบริโภคอาหาร อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยกคนอย่างเอ็กซ์ บาร์เบอร์ไว้สูงกว่าเพราะสัมผัสสัมพันธ์กับหัวซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของความทรงภูมินั้น
ถ้าจะนึกเทียบให้ง่าย เอ็กซ์ บาร์เบอร์ก็ไม่ต่างจากนักบวชที่แม้มาจากวรรณะที่ใครก็ไม่อยากแตะต้องเพราะต่ำต้อย เมื่อบวชแล้ว ผู้คนกลับยกย่องยอมก้มกราบไม่เขินอายแม้ตนมาจากวรรณะสูงส่งกว่า
เอ็กซ์ บาร์เบอร์ อืม...คุณไม่เคยได้ยินชื่อพวกเขาหรือครับ
ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวเราก็จะได้รู้จักเอ็กซ์ บาร์เบอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ
คุณเคยคิดอยากเป็นช่างตัดผมหรือเปล่าครับ ผมเคยคิดอยากเป็นนะ ตอนที่ต้องไปรอคิวตัดผมนานเป็นชั่วโมง ๆ แต่ตอนหลังเมื่อเห็นกับตาว่าช่างตัดผมทั้งหลายล้วนตัดผมให้ตัวเองไม่ได้ ผมก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นช่างตัดผม หรือว่าแท้ที่จริงแล้วที่เอ็กซ์ บาร์เบอร์ไว้ผมทรงนั้นเป็นเพราะเขายากลำบากที่จะตัดผมตัวเอง อืม..น่าคิดนะ
ครั้งหนึ่งพรรคพวกของเอ็ก บาร์เบอร์พูดติดตลกกันว่ามหาเศรษฐีหัวเกือบเกรียนร้อยทั้งร้อยผ่านมือของเอ็กซ์ บาร์เบอร์มาแล้วทั้งนั้น และว่าข้อที่จะพิสูจน์คำอ้างนี้คือถ้าคุณสามารถวัดความยาวของเส้นผมทุกเส้นบนหัวของใครก็ตามที่คุณสงสัยว่าเป็นฝีมือคอนโทรลปัตตาเลี่ยนของเอ็กซ์ บาร์เบอร์หรือไม่ ถ้าผมทุกเส้นบนหัวยาวเท่ากันหมด ผิดพลาดบวกลบไม่เกิน 0.09 ไมครอน อันนั้นเชื่อได้เลยว่าผมบนหัวนั้นผ่านการวาดปัตตาเลี่ยนฝีมือของเอ็กซ์ บาร์เบอร์แน่นอน ณ นาทีนี้ถ้ามีคนวิจารณ์ ว่า เอ็กซ์ บาร์เบอร์คือนักตัดผมแห่งดาวจักรทางน้ำนมผู้สูงส่งเกินกว่าที่จะเรียกช่างผู้หากินบนหัวคนธรรมดา คุณนึกอยากจะเห็นด้วยไหมครับ ถ้ายังตอบไม่ได้ฟังเรื่องของเอ็กซ์ บาร์เบอร์ต่อครับ
ผมได้ยินเพื่อนห่าง ๆ ของเอ็กซ์ บาร์เบอร์พูดคุยกันในทำนองที่ว่ารูปทรงของหัวและทรงผมของเหล่าชน บางทีก็เป็นเครื่องหมายบ่งบอกสถานะในดาวจักร ถ้าคุณสังเกตจะพบว่ากลุ่มชนยากจนข้นแค้นทุกขอบเขตของดาวจักรมีรูปทรงหัวที่บิดเบี้ยวทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้นเส้นผมที่ประกอบอยู่บนหัวก็แข็งกระด้างเหยิงยุ่งราวไม่เคยสัมผัสกับน้ำยาปรับสภาพผมยี่ห้อใด ๆ เลย คงด้วยเหตุนั้นมั้งมหาเศรษฐีทั้งหลายจึงระมัดระวังเรื่องรูปทรงของหัวของลูกหลาน ไม่ให้ผิดพลาดบิดเบี้ยวเสียรูปเสียทรงอย่างเด็ดขาด
เอ็กซ์ บาร์เบอร์ ในบางมุมนั้นละม้ายผู้ทรงศีลผู้นุ่งห่มถือครองผ้าย้อมฝาด ยิ่งนัก แต่ในมุมอื่น ๆแล้ว เขาก็เหมือนคนหนุ่มทั้งปวงที่มีพลังของวัยที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และคิดไปข้างหน้า
เขายังปรับปรุงยานบินของเขาให้สามารถขับเคลื่อนได้นุ่มนวลขึ้นแม้ทิศการบินจะหักมุมฉีกกระชากอย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งที่ทำให้เอ็กซ์ บาร์เบอร์ คิดสิ่งใหม่ได้ไม่รู้จบ อาจเป็นเพราะเขามีวิธีทางจิตที่เฉียบคมอยู่ในตัว ซึ่งสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีขึ้นหรือหามาได้ง่ายดายแบบใครๆก็มีได้ หรือทำได้ บรรดาความคิดและกระแสจิตอันเฉียบคมส่วนสำคัญล้วนมาจากการฝึกฝนทวนซ้ำอย่างฉกาจดุจการลับมีดสุดประณีตด้วยเป้าหมายที่จะผ่าครึ่งอณูของละอองฝนสาธิต
เอ็กซ์ บาร์เบอร์ จึงมีฝีมือที่แตกต่างจากช่างตัดผมคนอื่นๆ และนั่นจึงคล้ายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้มหาเศรษฐีทุกดาวจักรนึกถึงเขาแม้ผมบนหัวจะยังไม่ยาวถึงเกณฑ์ที่จะถากไถด้วยปัตตาเลี่ยนให้เกือบเกรียนแบบสกินเฮ้ด
อา... โน่นไงครับ
คุณได้ยินเสียงแมลงหวี่ไหม ยานของเขาคงจะตรงมาทางนี้แล้ว ถ้าโชคดีและเขามีเวลาพอเราอาจได้ทักทายพูดคุยกับคนหนุ่มที่มีชั่วโมงบินในเขตไร้อากาศมากกว่าใครที่สุด
เสียงแมลงหวี่เงียบไปแล้ว ยานบินของเอ็กซ์ บาร์เบอร์คงลงจอดเงียบเชียบใต้ร่มไม้ต้นใดต้นหนึ่ง ใบไม้แห้งสองสามใบขยับเปลี่ยนตำแหน่งราวลมหนาวปลายเดือนกุมภาพันธ์กระซิบจะลาเหมันตฤดูสู่คิมหันต์ แผ่วเบาเพียงเท่านั้นเราก็รู้แล้ว ว่าวัตถุทรงกระบอก ยานบินของช่างตัดผมผมทองได้เข้ามาอยู่ในระยะสัมผัสของจักษุประสาทแล้ว
ไม่ผิดจากที่นึกเลยครับ ก่อนที่จะมองเห็นยานบินทรงกระบอกของเขา เราได้มองเห็นเจ้าของยานก่อนเสียอีก เขาปรากฏตัวขึ้นราวลอดออกมาจากหน้าต่างมิติ เสียงเดินที่เบาปานเท้าเลี่ยดิน นั้นดูขัดกันยิ่งกับจังหวะและท่าเดินแบบคชสารสืบเท้า สิ่งที่ชัดแจ่มที่สุดตรงหน้าเวลานี้คือใบหน้าของผู้มาเยือน ความผ่องใสนั้นปานเดือนคืนเพ็ญ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ
"สบายดีนะครับพี่" เอ็กซ์ บาร์เบอร์ทักทายคนอื่นก่อนเสมอ "คุณพ่อของพี่ยังอยู่ข้างในใช่ไหมครับ"
ผมตอบแล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขาเข้าไปข้างใน พ่อยังหลับตานั่งสมาธิอยู่ในบ้าน
"ผมนึกอยากมาไหว้ท่านนานแล้ว เพิ่งสบโอกาสวันนี้เอง ผมเพิ่งกลับมาจากแวะไปดูแลทรงผมให้ ฯพณฯท่านที่ทำเนียบเลยผ่านมาคารวะพ่อของพี่ด้วย ดีใจครับที่ได้เจอพี่อีก"
บทสนทนาของผมกับเอ็กซ์ บาร์เบอร์ ไม่สั้นไม่ยาวไปกว่าที่เขียน คนที่เอ็กซ์ บาร์เบอร์อยากสนทนาด้วยคือฤาษีที่อยู่ในบ้านของผมต่างหากครับ ไม่ใช่นักเล่าเรื่องที่เอ็กซ์ บาร์เบอร์เรียกพี่คนนี้เลย
"เข้ามาซี หนุ่ม เออตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ" พ่อว่าและลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่ละจากสมาธิ
"เพิ่งบ่ายโมงตรงครับ" เอ็กซ์ บาร์เบอร์ตอบโดยไม่ดูนาฬิกาแขวนผนัง เข็มนาฬิกาบอกเวลาตามนั้นเป๊ะ
ผมเลื่อนเก้าอี้หวายให้คนต่างวัยได้นั่งสนทนากันสะดวกสบายก่อนที่จะขยับไปทำหน้าที่ชงชาสำหรับทุกคน ถ้าไม่สนใจสิ่งอันไม่เป็นสาระของรูปแบบของการแต่งตัว ถ้อยคำปุจฉาวิสัชนาในวาระนี้ของฤาษีกับเอ็กซ์ บาร์เบอร์นั้นไม่ต่างอันใดกับอรรถธรรมที่นักบวชผู้ชาญวิมุติโต้ตอบกัน
คำถามและความสงสัยในใจของผม ได้รับการคลี่ให้คลายกลายเป็นความเข้าใจกระจ่างแจ้งอย่างกับทั้งคู่รู้วาระแห่งจิตของผู้ฟังการสนทนา
หน้าปัทม์นาฬิกายืนยันได้ว่าเวลาผ่านไปแล้วเกือบสามชั่วโมง แต่คนอยู่ในเหตุการณ์นี้รู้สึกเหมือนมันผ่านไปเพียงสามนาที
"ดาวจักรอื่นตื่นตูมเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเหมือนพวกเราไหม" คนไว้หนวดเครายาวสลวยถามก่อนจิบน้ำชา
"ไม่ดอกครับ คงเป็นเพราะพวกเขาฉลาดเกือบเท่ากัน ต่างคนต่างก็คิดอะไรได้เกือบเท่ากัน แต่ของเรา คนคิดอะไรใหม่ได้เรื่อย ๆ อาจจะมีวงจำกัดอยู่แค่พวกอารยันกลางกับพวกคอเคซอยไกล เลยทำให้พวกนั้นช่วงชิงกันเพื่ออวดว่าตนคิดได้ก่อน แต่ว่า คนที่ได้ประโยชน์จริง ๆ จากการจดสิทธิบัตรความคิด กลับไม่ใช่พวกนั้นนะครับ เป็นพวกผิวสามสีตามเกาะเล็ก ๆ แถบทะเลที่แมกม่ายังคึกอยู่ตามรอยแยกของแผ่นเปลือกโลก พวกนี้เป็นนักค้า"
"อืม..เห็นภาพชัดมาก แล้วตอนนี้งานของเอ็กซ์ เป็นไงบ้าง" ฤาษีลูบเคราเบา ๆ และมองคู่สนทนาอย่างชื่นชมและเมตตากรุณา
"เรื่อย ๆ ครับ แค่จัดคิวให้แต่ละคนได้มีโอกาสตัดผม ที่จริงก็คือการชื่นชมรูปทรงของหัวของตนและให้คนอื่นชื่นชมตามได้ ผมก็ยังสามารถทำงานที่คนยกย่องกันนักหนานี้ได้อีกหลายหมื่นพันวัน ถ้าผมไม่สนใจอะไรอย่างอื่นไปเสียก่อนน่ะนะ"
"ฮ่า ๆ อย่าพูดเล่นไป ถ้าดาวจักรของเราขาดคนมือถึงแบบเอ็กซ์ บาร์เบอร์แล้วใครล่ะจะมาเป็นนักตัดผมที่ค่าตัวแพงที่สุด คนยกย่องนับถือที่สุด"
ฤาษีว่าไปยิ้มไป คนฟังก็ยังยิ้ม
"คงมีอีกแยะครับ เหมือนบัวบางหมู่ที่รอเวลาเบ่งบานแทนบัวหมู่ที่กำลังจะโรยลงสู่ปลักโคลนอีกคราว"
"ฮ่า ๆ นั่นคงไม่ใช่ความหมายที่ว่าเอ็กซ์ บาร์เบอร์จะเปลี่ยนใจไปครองชีวิตแบบคนมีพันธะ"
"ไม่ดอกครับ ณ นาทีนี้ผมไม่ได้ต่างจากมหาเศรษฐีผู้กำลังจะละลมปราณไปสู่ที่อันตนสงสัย เขาเสียดายเวลามากกว่าเสียดายเงินที่หามาทั้งชีวิต แม้นแลกกันได้มหาเศรษฐีเหล่านั้น ๆ คงเลือกเอาเวลามากกว่าเลือกเอาเงิน ส่วนผมเลือกอิสระครับ ผมเป็นอัครมหาเศรษฐีด้านความเป็นอิสระ ผมไม่เลือกพันธะ"
ถ้าใครเดินผ่านมาทางหน้าบ้านผมตอนนี้ก็คงแปลกใจว่าฟ้าส่งเสียงคำรามครืนมาจากทางไหนในยามที่จะผลัดหนาวเข้าสู่ฤดูรุ่มร้อน เสียงหัวเราะดังสุดเสียงของผู้ถึงธรรมทั้งคู่ต่างหากหรอกครับ ที่กังวานก้องอยู่แถวนี้ นาทีนี้
ถ้าผมไม่ได้ฟังถ้อยสนทนาในวันนี้ ผมอาจจะไม่มีทางรู้เลยก็ได้ว่าฤาษีเคราขาวที่ผมทำหน้าที่ปฏิบัติวัฏฐากแทนแม่นั้นคือคนแบบเอ็กซ์ บาร์เบอร์ที่เปลี่ยนใจในบั้นปลายกลับคืนสู่โคลนตมฝีมือตก ไม่มีมหาเศรษฐีของดาวจักรใดสนใจใยดีที่จะเอ่ยถึงให้รู้สึกเป็นเสนียดต่อจิตว่าเขาเคยก้มหัวให้ชายผู้นี้ถากหัวให้เกือบเกรียน
นาทีที่ผมรู้นั้นเอ็กซ์ บาร์เบอร์รุ่นพ่อกับเอ็กซ์ บาร์เบอร์รุ่นหลังหัวเราะดังปานฟ้าคำราม พร้อมกัน
เอ็กซ์ บาร์เบอร์ ไม่อยู่กินมื้อเย็นกับเรา เพราะมีนัดที่จะไปดาวจักรหมาใหญ่ ตอนนั้นผมเองก็รู้สึกใจหายเหมือนเพื่อนบางคนกำลังจะเดินทางไปนานและไกล
5 โมง58 นาที วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ฤาษีกับผมเดินไปส่งเอ็กซ์ บาร์เบอร์ที่ยานทรงกระบอก ที่จอดอยู่ใต้ร่มขนุนใหญ่หลังบ้าน เอ็กซ์ บาร์เบอร์โบกมือให้เราก่อนเคลื่อนยานออกไปอย่างเงียบเชียบ ผมยังจำถ้อยคำและน้ำเสียงสุดท้ายของเขาได้แจ่มชัด
"พี่คงรู้แล้ว เอ็กซ์ บาร์เบอร์รุ่นใหญ่ยืนอยู่กับพี่ตรงนี้แล้ว แม้นพี่สงสัยอันใดต่อวิถีของเอ็กซ์ บาร์เบอร์ พี่ถามเขาเอาเองก็แล้วกัน"
พ่อหันมาทางผม เอื้อมมือมาตบไหล่ แล้วยิ้ม
"เดี๋ยวค่อยคุยกันลูก"
ฤาษีเคราขาวที่อยู่ตรงหน้าคงรู้แล้วถึงปรัศนีย์ในหัวใจของผม
เมื่อยานทรงกระบอกของช่างตัดผมแห่งดาวจักรลับตา พ่อลูกผมยาวก็เดินกลับเรือนอย่างเงียบงัน