25 กุมภาพันธ์ 2551 00:32 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ลุงพอล วัยราว70 เศษ เป็นฝรั่งที่มาได้เมียไทยที่บ้านนาตง ผมรู้จักไอน์สไตน์เพราะครูที่สอนวิทยาศาสตร์เคยอธิบายเรื่องทฤษฎีการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นมากว่าลุงพอลมีใบหน้าและท่าทางเหมือนไอน์สไตน์มากก็คือรอยยิ้มและท่าแลบลิ้นล้อเด็ก ๆ วันที่ผมได้เห็นลุงพอลแลบลิ้นครั้งแรกเป็นวันที่เมียแกทำส้มตำให้กินแล้วลุงพอลเผ็ดน้ำหูน้ำตาเร็ด
เพื่อนของผมที่เคยถามครูว่าทฤษฎีการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งของไอน์สไตน์มีคนเข้าใจมากแค่ไหน ถ้าได้มาเห็นสีหน้าท่าทางของลุงพอลวันนี้ก็คงคิดเหมือนผมว่าไอน์สไตน์ ยังไม่ตาย
ลุงพอล เล่นไวโอลินได้ครับ แต่แกชอบซอมากกว่า แคนก็เล่นได้ไม่เลว เวลาที่ลุงพอลดวดสาโทได้ที่ พวกเรามักได้ฟังเพลงแคนของลุงพอลประจำ
เมียของลุงพอลไม่ใช่คนอื่นไกลเลยครับ เป็นป้าของผมเอง แกไปทำงานที่พัทยาแล้วก็ได้ลุงพอลนี่แหละมาเป็นของแถม ลุงพอลเป็นคนไม่มีลูกเมียครับ แกว่าลูกเมียแกเสียหมดแล้วเพราะเครื่องบินตกตั้งแต่แกอายุ 60 เศษ ลุงพอลก็คงเหมือนฝรั่งคนอื่นที่มาเอาเมียคนไทย คือชอบที่คนไทยเอาใจใส่ ดูแลอย่างพิเศษที่ฝรั่งด้วยกันเองก็ทำไม่ได้อย่างนั้นกับคนไทยส่วนใหญ่ก็เอนดูฝรั่งแบบคนต่างบ้านต่างเมืองด้วย
ลุงพอลกินส้มตำ ลาบงัว คั่วไก่ ปลาร้าสับ ได้เก่งกว่าผมอีก ผมเคยถามว่าระหว่างลาบควายกับไส้กรอกตับบดอิหยังอร่อยกว่ากัน ลุงพอลตอบผมว่าแซบคือกัน แซบคนละแบบ สำเนียงของลุงพอลเหน่อกว่าเสียงของคุณแอนดรูบิ๊กในทีวีอีกนะครับ แกพูดภาษาอีสานได้แจ๋วกว่าผม สำเนียงของผมออกไทยกลางเสียมากเพราะเข้าโรงเรียนโดนครูจับสอนภาษากรุงเทพฯตั้งแต่เล็กแต่น้อย
ครั้งหนึ่งผมถามลุงพอลว่า มีคนเคยทักลุงไหมว่า สวัสดีครับคุณไอน์สไตน์ ลุงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและว่า บ่อยไปที่คนทักอย่างนั้นโดยเฉพาะเวลาที่เข้าไปหาซื้อหนังสือในร้านหนังสือในมหาวิทยาลัย
"มีคนมาชวนไปสอนหนังสือด้วยนะ แต่ลุงก็บอกว่าลุงไม่ถนัดที่จะสอน ลุงถนัดที่จะสอยมากกว่า"
เราหัวเราะกันครืน เพราะคำว่าสอยที่ลุงพูดถึงมันคือการกล่าวสร้อยต่อท้ายหมอลำกลอนที่ค่อนข้างตลกโปกฮา ลามกก็ว่า
"มากกว่านั้นก็มีเด๊ะ เขามาชวนไปแสดงหนัง เรื่องคนหน้าเหมือน เขาจะให้ลุงแสดงเป็นฝาแผดของนักวิทยาศาสตร์แต่หัวสมองทึ่มมาก ลุงบอกว่ากูไม่เอาเดิ๊ก(สำเนียงหลวงพ่อคูณ) กูหัวสมองดีจะตาย" พวกเราหลานๆ ก็ได้ฮากันอีก
"เด็ก ๆ บักหำ อีนางเอ๊ย อย่าให้ลุงฝอยหลาย เดี๋ยวสิเหมิดน้ำลายและแรงข้าวต้มดอก แกเฒ่าใกล้สิตายแล้ว"
เสียงป้าร้องบอกออกมาจากข้างในตึกหลังใหญ่แบบขำแกมขู่ให้เราห่างๆ ออกจากลุงพอลบ้าง แกจะได้มีเวลานอนพักงีบบ้างช่วงบ่าย ลุงพอลหัวเราะหึ ๆ ไม่โกรธไม่เคือง พวกเราก็ยิ้มแห้ง ๆ เสียดายโอกาสที่ได้ฟังเรื่องสนุก ๆ ของฝรั่งใจดี
ป้าของผมมักพูดลับหลังลุงพอลว่า ถ้าเฒ่านี่ตายข้อยก็สิเอาผัวใหม่ เด็กน้อยหนุ่ม ๆ กระชุ่มกระชวยมาส่งยิ้มส่งหัวอยูหลายหน ผมฟังแล้วก็นึกสงสารลุงพอลคนหน้าเหมือนไอน์สไตน์อยู่ไม่น้อย ถึงแม้ผมจะรู้ว่าป้าแกพูดที่เล่นทีจริง
เมื่อเด็ก ๆ ห่างจากลุงฝรั่งออกมา ป้าก็เข้าไปนวดเฟ้นให้ลุงเฒ่า ความเอาอกเอาใจนี่ล่ะมั้งที่เป็นเสน่ห์ให้ฝรั่งมายึดที่นาผืนน้อยผืนใหญ่ของไทยเป็นเมืองขึ้นแล้วไม่เว้นแม้แต่ตำบลขอบแคว้นแดนดงที่ผมอยู่
000
ที่ตำบลของผมมีฝรั่งเดินกันขวักไขว่ก็เกือบจะว่าได้นะครับ ทั้งรุ่นหนุ่มรุ่นเดอะ น้อยนักที่จะไม่มีสาวไทยควงแขน เด็ก ๆ หลายคนได้ใกล้ชิดฝรั่ง จนบางคนสามารถฟุดฟิดฟอไฟกับเขาได้ ผมเคยอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า ๆ มีคนเคยวิจารณ์ว่าการสอนภาษาประกิตในบ้านเราไม่ได้ผลเพราะคนไทยไม่ได้ใช้คราวหน้าอาจจะมีคำวิจารณ์ใหม่เป็นอย่างอื่นก็ได้ เพราะเด็กรุ่นหลังรุ่นผมนี่แม่นสำเนียงแบบแอนดรูบิ๊กและสำเนียงลุงพอลอย่างกับอะไร คำบางคำพวกคำขอบเตียง ครูไม่กล้าสอน ป้า อา น้าที่ได้ผัวฝรั่งบอกพวกเราหมดแหละ เพื่อนผมหลายคนบอกโตขึ้นสิเอาผัวฝรั่งเพราะเงินดกใจดี เพื่อนผู้ชายของผมบางคนก็บอกว่าสิเอาเมียฝรั่ง เพราะเงินก็ดกด้วย เมียฝรั่งในความหมายของมันคือเมียของฝรั่งที่ผัวมันตายน่ะครับ พวกเราก็ได้ฮากันในเรื่องนี้
ลุงพอลคนหน้าเหมือนไอน์สไตน์เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านได้เก่งและไวนะครับ แกไถนาใช้ควายได้ ใช้วัวก็ได้ ปีที่แล้วแกเก็บเงินค่าดูฝรั่งไถนาได้ตั้งเกือบสองหมื่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะคนไทยตื่นเต้นมากที่เห็นฝรั่งไถนา แกลงทุนโฆษณาทางสถานีวิทยุชุมชนที่มีอยู่เกลื่อนตั้งแต่สมัยนายกทักษิณไม่กี่ตังก็ได้เงินคืน สถานีวิทยุนักบวชก็โฆษณาให้แกนะลองฟังดูไหมครับ
FM 107.27 เม็กกะเฮิร์ต สถานีนักบวชเพื่อชุมชน และคนรักบุญ ขอเชิญพ่อแม่พี่น้องไปเยี่ยมชมหมู่บ้านฝรั่งเฮ็ดนา ในวันที่ ซาวสองพฤษภานี่ ฝรั่งพอลจากอเมริกาสิพาพ่อแม่พี่น้องกลับคืนสู่วิถีดังเดิมของบ้านเฮา ไถนาโดยใช้ควายกับงัว ชมการสาธิตการปักดำนา การหลกกล้าถอนกล้า เป่าแคน สีซอ ลำเต้ย ค่าชมคนละ 30 บาท อย่าลืมเด้อ...ซาวสองพฤษภานี่ เจอกันที่บ้านนาตง ไปเบิ่งฝรั่งเฮ็ดนา ล่ะเบ๋อ....
ผมทั้งฟังทั้งยิ้ม ส่วนหนึ่งที่ยิ้มคือนึกภาพพวกนี้ออก เพราะฝรั่งคนที่ว่าก็คือลุงพอลของป้าหมานบ้านผมนั่นแหละ ผมนึกถึงท่าเป่าแคนทั้งเด้งทั้งเด้าของแกแล้วก็หัวเราะ คิดว่าคงขายท่าทางแบบนี้ได้อีกหลาย
เชื่อผมไหมครับ ปลาแดกต่อนของลุงพอลที่ขายในวันงานป้าหมานจกไหแทบไม่ทัน ทุกคนต้องการซื้อไปเป็นที่ระลึกคนละต่อนสองต่อน ต่อนนี่คือตัวนะครับ ปลาร้าพวกนี้แกใช้ปลกยี่สกในบ่อของแกทำ ปลานี้เนื้อแน่นมาก เก็บไว้กินได้นาน ทำกับข้าวได้หลากหลาย ส้มปลา หม่ำปลานั้นไม่ต้องพูดถึง ขายดิบขายดีเหมียนกันครับ
000
ฝรั่งที่นาตง มี 2 แบบ คือแบบอยู่ติดที่กับแบบไปๆมาๆ อย่างละครึ่ง แบบที่ไปๆมาๆนี่ ปีหนึ่งจะแวะมาอยู่กับเมียคนไทยซักสักสัปดาห์สองสัปดาห์แล้วก็บินกลับ มาสร้างบ้านหลังโตๆ มีรั้วรอบขอบชิด จ้างเด็กดูแลไม่ให้ปลวกขึ้นทำรัง แม่บ้านคนเดียวไม่มีทางดูแลได้ทั่วหรอกครับ และบ้านหลังใหญ่ ๆ แบบนั้นเจ้าของก็อยู่เพียงไม่กี่ห้อง ใช่จะอยู่คืนละสองห้องสามห้องที่ไหน ฝรั่งแบบไปๆมาๆนี่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง ผิดกับลูงพอลที่มีความเป็นส่วนรวมมาก แกคุยกับทุกคนในหมู่บ้านได้ แบบชอบพูดชอบคุยชอบถาม คนที่ได้พูดคุยกับลุงพอลมักพูดเหมือนกันว่าเฒ่าพอลนี่เป็นคนอัธยาศัยดี ดีกว่าฝรั่งตนอื่น ๆที่ดูเย่อหยิ่งแบบอารยัน วรรณะสูงส่งอะไรทำนองนั้น นี่ถ้าไม่มีคนแบบลุงพอล ผมก็คงไม่ได้เขียนถึงฝรั่งในแง่พอรับได้แบบที่ผมเขียนอยู่นี่
หลายวันก่อน ผมเคยถามฝรั่งที่ไปๆ มา ๆ คนหนึ่งว่าแกอยู่ประเทศอะไร ถามเป็นภาษากรุงเทพนะครับ ฝรั่งคนนั้นอยู่บ้านหลังถัดจากบ้านลุงพอลไปนิดหน่อย ฝรั่งคนนั้นพูดผ่านลุงพอลว่า เขาไม่อยากบอก ผมก็เลยหยุดคิดที่จะซักถามต่อ ลุงพอลยักคิ้วให้ผม หรี่ตาด้วย คงมีความหมายทำนองว่าฝรั่งตนนั้นขอปิดเป็นความลับ ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ แต่อย่ามาถามผมก็แล้วกันว่า ส้มตำทำอย่างไร จ้างผมก็ไม่บอกความลับของของกินแสนอร่อยนี้แก่ฝรั่งตนใด ๆ
ลุงพอลเล่าให้ผมฟังว่าอ้ายขี้เก็กที่ผมถามแล้วไม่ตอบนั้นเป็นคนเยอรมัน พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง มีลูกเมียที่เยอรมันด้วย มาเที่ยวพัทยาแล้วก็เลยมาแวะบ้านเมียไทยอีกคน อีกหน่อยก็จะกลับแล้ว ผมก็ฟังไปยังงั้นแหละครับ ผมไม่ยอมรับคนขี้เก็ก ลุงพอลก็คงเข้าใจผมจึงหาเรื่องอื่นมาชวนคุย
"ลุงเคยไปกราบหลวงตาที่วัด ท่านให้ลุงลองนั่งสมาธิ แหมนั่งสมาธินี่ไม่สบายเหมือนนอนสมาธิเลยเนาะ" แกว่าหัว ๆ
" มันก็ของแน่ล่ะเฒ่าผีบ้า" อันนี้ไม่ใช่คำของผม แต่เป็นคำของป้าหมาน คนนั่งอยู่เคียงข้างฝรั่งหน้าเหมือนฯ
" นอนสมาธิ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะครับลุง แต่นั่งสมาธิผมเคยทำ ครูพาไปฝึกที่วัด ตอนนั้นผมนั่งแล้วรู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นเท่าพระธาตุพนม ผมตื่นเต้นมาก ไม่อยากออกจากสมาธิเลย แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกตัวใหญ่แบบนั้นอีก"
"โอ้โห มึงก็เก่งปานนั้นเนาะบักหำ แบบนี้บ่ต้องไปเรียนต่อมหาวิดทะยาลัยดอกเด้อ ไปบวชเป็นเณรก็จะได้ดิบได้ดีเด่นดังได้คือกัน" ป้าทั้งว่าทั้งหัว ส่วนลุงพอลยิ่งกว่าหัว ยิ้มแบบมีเสียงของแกลั่นทุ่ง คงชอบอกชอบใจมาก
"ก็เข้าท่าดีล่ะวะเนาะหำ ทำอีหยังก็ให้มันเก่งสุด ๆ ไปเลย แล้วอย่างอื่นจะตามมาทั้งเงินทั้งงาน ว่าแต่ว่าจะเรียนต่ออีหยังล่ะเจ้า"
"ผมอยากเรียนเป็นฝรั่ง" ผมตอบห้วน ๆ แต่ยิ้ม
ฝรั่งเฒ่าหัวเราดังยิ่งกว่าดัง
"เป็นหยังจึงคิดอยากเรียนเป็นฝรั่ง" ป้าถาม ลุงพอลก็คงอยากถามอย่างนั้นด้วยเพราะจ้องหน้าผม
"จั๊กแลว อยู่บ้านเฮา ไผ ๆ ก็อยากดมดากฝรั่งกันทั้งนั้น ไผ ๆ ก็นับถือฝรั่งปานเทวดา แม่นบ่ลุงพอล"
ลุงพอลไม่ตอบแต่หัวเราะก๊าก ๆ ป้าหมานหน้าม้าน ที่ได้ยินคำหลานอย่างนั้น ผมว่าแล้วก็เดินหนีเสียให้ไว กลัวโดนตีนป้าที่เคารพรักถีบเข้าให้ที่กลางหลัง ที่บังอาจจี้จุดแทงใจดำ ผมห่างมาซักสิบยี่สิบคืบลุงพอลก็ร้องตามหลัง
" แล้วมาคุยกับลุงอีกเด้อหมักหำน้อย.."
ผมไม่ตอบออกเสียง แต่ตอบรับในใจไว้แล้ว
000
นับตั้งแต่วันนั้นที่ผมวิ่งหนีตีนของป้า ผมได้คุยกับฝรั่งใจดีคนนั้นอีกสองสามหน มาห่างเหินลุงเฒ่าเอามากเมื่อผมสอบโควต้าเข้ามหาวิทยาลัยใกล้บ้านได้ ในมหาวิทยาลัยมีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด บางอย่างไม่คิดว่าเขาจะพาทำก็ได้ทำ เดี๋ยวผมจะเก็บไว้เล่าในเรื่องสั้นเรื่องอื่น
หนหลังที่ผมได้คุยกับฝรั่งหน้าเหมือนไอน์สไตน์เป็นหนที่ผมประทับใจเขามากที่สุด เขาเปลี่ยนไป สงบมาก แววขี่เล่นซ่อนไว้เกือบมิดในดวงตา แววกระจ่างใสของการเข้าใจสัจธรรมแลเห็นได้แจ่มกว่า
ใช่แล้วครับ
ฝรั่งคนนั้นบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดใกล้บ้านนั่นเอง ท่าทางแบบนักบวชเป็นท่าที่สง่าที่สุดของฝรั่งหน้าเหมือนฯเท่าที่ผมเคยเห็น
ผมถอนหายใจโล่งอก
ในการที่ผมได้เกี่ยวข้องกับฝรั่งแบบนับญาติกันเป็นป้าเป็นลุง
ขอท่านถึงธรรมเถิดท่านฐิตธัมโม
ฝรั่งหน้าเหมือนไอน์สไตน์ผู้ทำให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อฝรั่งดีขึ้นมาอีกไม่น้อย