28 สิงหาคม 2548 19:54 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องในทางใดๆกับเจ้าหงิญ ในรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2548
ผมซื้อเจ้ายาช มาเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ด้วยราคา 2 หมื่นเศษ ภายหลังการสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ผู้เลี้ยงปศุสัตว์เพียง 3 วันเท่านั้น ตอนที่ตัดสินใจซื้อวัวตัวนี้มันมืดค่ำแล้ว ผมไม่ทันสังเกตเห็นว่าใบหูของวัวลูกผสมชาโรเล่ย์กับไทยใหญ่หรืออ้ายยาชนี่มันแหว่งเป็นริ้วถึง 3 ริ้ว เห็นแต่ลักษณะโครงร่างของมันที่ใหญ่โตน่าจะขุนได้เนื้อมากกว่าวัวอีก 2 ตัวที่ผมซื้อไว้ก่อนหน้านี้ วัวที่มีใบหูแหว่ง หางด้วน เล็บเท้าแบะ คอมีหนอก ถือว่าเป็นลักษณะไม่ดีที่จะขายกลับไปในตลาดนัดวัวได้ยากมาก เว้นแต่ขายขาดทุนหลายพัน เมื่อพลาดเช่นนั้นผมก็เก็บความเจ็บใจเป็นบทเรียนราคาแพงไว้บอกคนอยากเลี้ยงวัวคนใหม่ๆที่อาจจะได้พูดคุยกัน
เจ้ายาชได้นิสัยขี้ร้องมาจากไหนไม่รู้ ก็วัวอีก 2 ตัวคืออ้ายหรั่งกับ บักนิโกรมันไม่ยักร้องแบบนี้ คุณเอ๊ย ตี 5 นี่มันร้องแล้ว ผมล่ะเกรงใจเพื่อนบ้านที่เหม็นขี้วัวยังไม่พอยังต้องมารำคาญเสียงวัวร้องอีก ผมจึงจำต้องตื่นแต่ตี 4 เพื่อผสมอาหารขุนวัวห่อนั่น ก่อนที่มันจะแหกปากปลุกใครต่อใครขึ้นมาด่าบุพการีของผม
สหกรณ์ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ให้ผมเชื่อกากน้ำตาลกับหัวอาหารขุนวัวโดยจะคิดเงินพร้อมดอกเบี้ยตอนที่ผมส่งวัวเข้าขายและชำแหละแล้ว ก่อนตัดสินใจเลี้ยงวัวเป็นอาชีพเสริมผมเห็นพี่เมีย 2 คนเลี้ยงวัวส่งขายสหกรณ์มีเงินมีทองผมก็เลยลองเอามั่ง แต่มันเป็นคราวจะรวยของผมหรือยังไงก็ไม่รู้ คือหลังจากนั้นไม่นานนัก นายกจอมไอเดียของประเทศใต้แลนด์ของผมเองก็ประกาศตั้งบริษัทค้าวัวขึ้นมาแข่งกับสหกรณ์ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เริ่มแรกท่านนายกหัวใส(brightened ideas)ก็ให้มือตีนในหมู่บ้านสำรวจว่าบ้านกี่หลังกี่หลังในหมู่บ้านมีวัวผู้-เมียกี่ตัว จะผสมเทียมฟรีและขายลูกวัวให้บริษัทไหม ถ้าผสมแล้วไม่ขายวัวให้บริษัท ชาวบ้านต้องจ่ายค่าน้ำเชื้อคืนราคาเท่าไหร่ก็ว่ากันไป และเท่าไหร่(มึง)ก็ต้องจ่าย วัวที่ขายให้บริษัทนายก ก็จะนำไปขายต่อให้เกษตรกร 1 ล้านครอบครัว พร้อมกับให้เชื่อกากน้ำตาล หัวอาหาร ยาและการดูแลรักษาโรคแบบเดียวกับที่ทางสหกรณ์ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ทำอยู่เปี๊ยบ ผมคิดไปเพลินๆว่าถ้าท่านผู้หัวใสอุดหนุนการเลี้ยงวัวในแบบที่ประเทศตะวันตกอุดหนุนการเกษตรในประเทศของเขาเพื่อให้ชาวบ้านขายผลผลิตราคาถูกแต่อยู่ได้ เพื่อให้เขามีสินค้าราคาถูกไปทุ่มขายตีตลาดประเทศอื่น ให้เกษตรกรประเทศอื่นขายแข่งไม่ได้และเลิกผลิตไป เพื่อตัวจะได้กลับมาขายราคาแพงๆ ทีหลัง ถ้าเป็นดังที่ว่านั้น ในที่สุดสหกรณ์ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ก็ต้องเจ๊ง เพราะขายแข่งบริษัทวัวแห่งชาติไม่ได้
ผมมีแปลงหญ้า 3 แปลง ลงกินนี่สีม่วง , แทงโกล่า กับหญ้าขนหรือรูซี่เอาไว้อย่างละแปลง เพื่อเกี่ยวให้วัวกินสลับกับฟางข้าวและรำกับหัวอาหารกากน้ำตาล นี่ขนาดให้กินสลับกันไปอย่างนั้นหญ้ายังโตแทบไม่ทัน วัวขุนนี่กินจุมาก กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็ลุกขึ้นกิน หุ่นยังกะหมู ดูใหญ่ยังกะช้าง อุ้ยอ้ายน่าหัวเราะ ลุงของผมทั้งสองคนขุนวัวได้น้ำหนักราว 900 กิโลกรัม ทำเงินยังไม่หักค่าใช้จ่ายไปตัวละ 1 แสนบาท แกว่าถ้าหักค่ากากน้ำตาล และหัวอาหารออกไปก็ยังมีเงินเหลืออีกราว 5-6 หมื่นบาท ผมได้ยินแล้วก็ตาลุกวาวกับตัวเงินที่ว่า แต่พอนึกถึงโครงการค้าวัวของนายกกับ1 ล้านครอบครัวยากจนผมก็ต้องเบิกตาโพรง เห็นมหันตภัยที่ท่านนายกกำลังหยิบยื่นให้กลุ่มคนที่ผลิตเนื้อวัวชั้นดี อันดับ 2 ของโลกวิบๆ เมื่อเวลานั้นมาถึงการรวมกลุ่มของกลุ่มนี้ก็แตกสลายลงไป เหมือนกับกลุ่มอื่น ๆ ที่แตกทำลายลงไปก่อนหน้านี้แล้ว ในนามของการพัฒนาแบบทักษิโณมิกส์ เฮ้ยเจ้ายาช เองอายุยืนๆให้อยู่ทันเห็นวัวนายกนะเว้ย - ผมพูดกับเจ้าลูกผสมชาโรเล่ย์ไทยใหญ่จอมร้องตัวนั้นก่อนที่จะละกระบะรำของมันไปที่สวนหญ้าแทงโกล่า
ผมเกี่ยวหญ้าไม่ทันถึง 3 กำเลย อ้ายยาชก็แหกปากร้องอีกแล้ว ผมเดาว่ารำ หัวอาหารและกากน้ำตาลในกระบะยังไม่พร่องไปซักเท่าไหร่หรอก แต่มันขี้โกงจะกินหญ้าที่ผมกำลังเกี่ยวมากกว่า ผมนึกชังเสียงร้องของมันจริงๆเลย แต่ยังชอบใจอยู่บ้างที่มันก็กินเอ้ากินเอาและอ้วนเอ้าอ้วนเอามากกว่าวัวตัวอื่น ลูกชายของผมพูดว่า อ้ายยาชมันเป็นวัวฉลาด ดูซิตัวอื่นไม่ยักร้อง แต่อ้ายนี่มันเรียกร้องเอาเป็น ยังกะรู้ภาษา ในที่สุดผมก็ยอมแพ้เสียงร้องของมัน มันน่ารำคาญจริงๆ ผมต้องหอบหญ้าใส่ถุงแล้วแบกมาประเคนมันก่อนใครเพื่อน อ้ายห่อเอ๊ย...รำก็ยังกินไม่หมด จะแdกหญ้าอีกแล้ว กูเกลียดมึงจริงๆ ผมคิดเล่น ๆ แต่ทำไปทำมาผมกลับจะเกลียดมันเข้าจริงๆเสียแล้วและก็คงไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ด้วย
หรือว่าท่านนายกหัวใสก็เป็นแบบนี้ คือไม่ชอบฟังเสียงร้องและขอของประชาชน ชอบแต่จะยัดเยียดให้กับขุนเพื่อขายและฆ่า
ตอนที่ 2
ตั้งแต่ขุนเจ้ายาชมานี่ ผมต้องทำงานหนักมากขึ้นมาก
หนึ่งต้องเฝ้าไม่ให้มันเอาเขางัดดันกะละมังตกออกจากกระบะให้อาหาร บางทีขนาดยืนเฝ้ามันก็ยังดุนกะละมังตกอาหารเรี่ยกระเด็นกระจาย ผมต้องเจาะรูร้อยกะละมังเข้ากับกระบะนั่นแหละปัญหานี้จึงตกไป
สองต้องคิดสูตรอาหารแปลกใหม่ให้มันอยู่เรื่อย แหมพูดแล้วก็เหมือนกับผมเป็นจอมยุ่งเสียเอง ก็คุณครับ อ้ายฝรั่งกับบักนิโกรนั่นมันกินอาหารสูตรเดียวไม่เห็นเรื่องมาก คือกินหมดจนเกลี้ยง แต่คุณยาชแกกินเข้าไปหน่อยเดียวก็แหกปากร้องเหมือนอาหารในกะละมังหมดแล้ว ความจริงคือไม่หรอก อาหารก็ยังเหลืออยู่เกินครึ่งกะละมัง ผมต้องคอยเติมกากน้ำตาลให้บ้าง เติมรำเพิ่มให้บ้าง หรือเติมหัวอาหารเพิ่มให้บ้าง เพื่อให้มันกินอาหารต่อ หรือบางวันเพื่อนไม่ยอมแตะอาหารพวกนั้นเลยจะกินฟางหรือหญ้าอย่างเดียวแล้วก็ร้องอยู่นั่นจนกว่าผมจะให้ฟางหรือหญ้าแทน นี่ถ้าคุณเบื๊อกยาชไม่โตเป็นช้างบางทีผมคงหมดความอดทนไปแล้ว
สามผมต้องคอยตักขี้วัวออกจากกระบะอยู่เรื่อย วัวตัวอื่นๆของผม ไม่ว่าจะเป็นอ้ายฝรั่ง บักนิโกร อีขาว อีคำแพง หรือบักดารามันไม่ขี้ราดเรี่ยเสียนิสัยแบบคุณยาชเลยซักตัว บางวันมันหันก้นมาถ่ายมูลลงในอ่างน้ำต่อหน้าต่อตาผมราวกับจะเยาะเย้ยว่าผมจะมีปัญญาจัดการวัวฉลาดอย่างมันอย่างไร ผมถึงกับอึ้งเลยครับ นี่ทำให้ผมนึกถึงท่านนายกทันทีเลยว่าท่านก็คงอึ้งกิมกี่กับปัญหาต่างๆที่ประเดประดังเข้ามาให้ท่านแก้ในฐานะที่ท่านกุมกลไกลทั้งหมดของบริษัทรัฐใต้แลนด์แดนอุดมของท่าน และที่ท่านงัดเอากฎแบบเผด็จการขึ้นมาใช้แทนกฎแบบประชาธิปไตยก็คงเหมือนผมที่ต้องคิดวิธีจัดการกับวัว เช่นที่ต้องคอยหวดก้นวัวโฉเกก่อนที่มันจะขี้ราดกระบะและถังน้ำจนเลอะเปรอะและเหม็นบรม
เรื่องความเหม็นของขี้วัวขุนนี่คุณนึกภาพออกไหมครับ มันเหม็นยิ่งกว่าขี้หมูอีกครับใครเข้ามาใกล้คอกวัวก็ต้องเบือนหน้าหนี เอามือปิดจมูกทำหน้าเหยเกทั้งนั้น นี่ขนาดผมรดคอกวัวด้วยน้ำหมักจุลินทรีย์อีเอ็มทุกวัน กลิ่นตัวและขี้ของวัวก็ยังแรงเกินรับ ทางแก้ที่ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องเลิกเลี้ยงวัวก็คือต้องตักขี้ออกไปไว้ทางอื่นและล้างคอกทุกวัน.. แหมแค่คิดก็เห็นปัญหาภาระและเวลาบีบเข้าให้แล้ว แต่ผมต้องเลือกทางนั้นแหละครับ คือตักขี้วัวกองไว้แล้วกรอกถุงขนออกไปเรียงซ้อนไว้ใส่นาข้าวและแปลงผัก นี่แค่ 6 เดือนผมก็มีถุงขี้วัว 300 ถุงเข้าไปแล้ว ขี้วัวพวกนี้นำไปใช้ปลูกพืชผักได้ทันทีนะครับเพราะผ่านการหมักกับจุลินทรีย์จนย่อยสลายเต็มที่แล้ว ผมอาศัยเอาปุ๋ยคอกอันนี้แหละครับไปแลกเอาฟางข้าวของชาวบ้านคนอื่นๆที่เขาไม่ได้เลี้ยงวัวมาไว้ให้เจ้านายจอมกินจุของผมกิน ลำพังฟางข้าวจากแปลงนา 3 ไร่ของผมไม่พอสำหรับวัวยักษ์พวกนี้ดอกครับ มันต้องเตรียมฟางไว้อย่างน้อยปีละ1,000-2,000 ฟ่อน ขนมาเก็บเรียงตุนไว้ในเพิงเก็บฟางสำหรับขุนเจ้านาย 4 ขา
ตอนซื้อเจ้ายาชมาใหม่ ๆ เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ของสหกรณ์ปศุสัตว์จะไม่ยอมขึ้นทะเบียนเป็นวัวขุนให้เลย เขาติว่ามันมีเลือดชาโรเล่ย์น้อยเกินไปเพียง 40 ใน 100 ความจริงเขาคงเห็นมันผอมไปนั่นเอง วัวร่างใหญ่แบบนี้ถ้าขุนให้เต็มโครงแล้วมันไม่แพ้น้องช้างดอกครับ ตอนนี้สัตวแพทย์คนนั้นก็ยังชมมันว่ามันตุ้มตุ้ยเหมือนหมู และอีกหน่อยก็คงได้ไปเที่ยวโรงแรม 5 ดาวแล้ว
สหกรณ์ปศุสัตว์ส่งเนื้อคุณภาพสูงพวกนี้ไปตามโรงแรมชั้นยอดทั่วประเทศ บางส่วนส่งออกต่างประเทศด้วย กับเวลานี้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ของบริษัทร่วมทุนไทยกับบรรษัทข้ามชาติก็ผุดขึ้นเกือบทุกจังหวัด ทำให้ตลาดเนื้อวัวขุนขยายออกไปมาก
หลังจากเลี้ยงวัวจนคุ้นชินกับกลิ่นและวิถีของมัน ผมก็มีโอกาสพาลูกไปกินทีโบนสเต็กเนื้อวัวขุนในร้านค้าของสหกรณ์ปศุสัตว์ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมก็เคยกินแต่ข้าวเหนียวจิ้มแจ่วกับต้มหน่อไม้ อย่างมากก็แค่ลาบวัวคั่วไก่ แต่ลูกผมนี่-ไปไกล.. ได้กินสเต็กทีโบน อืม..ชิ้นหนึ่งโตเท่าฝ่ามือเด็กเห็นจะได้ ชิ้นละ 250 บาท ผมถึงได้ถึงบางอ้อเอาตอนนี้ล่ะครับว่าทำไมวัวขุนถึงได้แพงถึงตัวละแสนได้ แบบไม่ต้องปั่นราคาเหมือนวัวหูยาวของสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติบางคน ลูกของผมกินทีโบนสเต็กด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยเหลือเกิน ส่วนผมเฉยๆ ครับ ผมรู้สึกว่าลาบวัว ต้มน้องวัว หรือแม้แต่เนื้อย่างน้ำตกก็อร่อยกว่าเนื้อแทรกไขมันพวกนั้นแยะ
พ่อครับ เราไม่ต้องขายอ้ายพวกนั้นหรอก ขุนแล้วเราก็เอามาทำสเต็กกินกัน มันอะร้อยจริงๆ ครับ ผมฟังลูกพูดแล้วก็หัวเราะ ใจก็นึงถึงไอ้คุณยาชขึ้นมาทันที ให้คุณช่างร้องของคุณไปเถอะ อีกหน่อยก็ต้องไปเที่ยวโรงแรมห้าดาวกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ทั่วประเทศแล้ว ถึงเวลานั้นผมจะได้สบายรูหูเสียที
ที่สุดผมก็มานั่งนึกทบทวน..คงแบบนี้มั้ง..ที่ชนชั้นนำในประเทศคิด คือไม่ต้องการฟังเสียงร้องขอ เสียงทักท้วงทวงถามใดๆ จากประชาชน เขาต้องการให้พลเมืองเชื่องและจำยอมเหมือนวัวเชื่องๆ กินแล้วก็นอน เพื่อจะได้อวบอ้วนเป็นอาหารโอชะแก่เขาและวงของเขา
ตอนที่ 3
ในคอกวัวของเราพ่อชอบตัวไหนที่สุด ลูกชายคนเล็กถามหลังจากเราออกจากร้านlสเต็กมาไม่กี่นาที
ลูกลองทายซิ ถ้าถูกได้มากินอีก
เย่.. เสียงของเด็กทั้งคู่
อะไร...ยังไม่ทาย ก็มั่นใจว่าจะได้กินอีกเหรอ
พวกเราเดาใจพ่อไม่ผิดหรอกครับ ลูกคนโตว่า
งั้นพูดไปซิ ผมพูดยิ้มๆ
ตัวไหนอ้วนที่สุดล่ะครับ
อ้ายยาช ผมยืดเสียงเรียกชื่อวัวหูแหว่งอย่างเหนื่อยหน่าย
เนี่ยแหละตัวที่พ่อชอบที่สุด
ทำจึงคิดว่าพ่อชอบ
มันเป็นวัวที่อ้วนที่สุด ลุงยังพูดเลยว่าอ้ายแหว่งมีสิทธิ์ได้น้ำหนัก 900 กิโลกรัม
เก่งมาก อ้ายนี่แหละเป็นวัวที่พ่อชังที่สุด..ฮ่าๆ แต่..เอาไว้พ่อส่งมันไปโรงแรม 5 ดาวสำเร็จพ่อถึงจะพามากินสเต็กให้กระเพาะครากไปเลย โอเคไหม
เย่..
หลังมื้อสเต็กของลูกไม่นานนักผมก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อีกครั้งหนึ่ง เขาเป็นคนบอกเองว่าอีก 3 เดือนก็สามารถแจ้งขายให้สหกรณ์ได้ เมื่อผมขอให้เขากะน้ำหนักของวัวให้ เขาก็บอกเหมือนกับที่ลุงของเด็กทั้งคู่พูด คือมีสิทธิ์ทำน้ำหนักได้ถึง 900 กิโลกรัม ตอนนี้เองที่ความรู้สึกเกลียดชังที่ผมมีต่อเจ้ายาชลดลงจาก 50 ไปอยู่ที่ 0
เสียงร้องของมันก็คือภาษาที่มันอยากบอกว่ามันยังหิว และหิว
วัวตัวอื่นๆ ร้องขอไม่เป็นทั้งที่อาจจะหิวแทบตาย นั่นก็มีแต่จะต้องทน และทน ทนรอว่าเมื่อไหร่เจ้าของจะเอาฟาง เอาน้ำมาให้ เขาไม่ให้ก็ไม่ได้กิน ออกไปหากินเองก็ไม่ได้ เพราะเจ้าของล้อมคอกไว้แน่นหนาสนตะพายผูกโยงไว้กับคอกเข้าให้อีก
ถ้าท่านผู้นำรวมทั้งชนชั้นนำของสังคมของเราเข้าใจภาษาของผู้คนว่า พวกเขาส่วนมากยังหิว และหิว แล้วช่วยกันออกแบบประเทศใหม่ ไม่ให้ผู้คนพลเมืองเป็นเหมือนวัวหรือควายในคอกของความโง่เขลาเจ็บจน บางทีความเกลียดชังดั้งเดิมต่อประชาชนอาจจะลดจาก 100 ลงมาอยู่ที่ 50 ก็ได้
แต่นี่คงเป็นความคาดหวังลมๆแล้งๆของพลเมืองของประเทศนี้มั้งครับ