16 เมษายน 2547 07:10 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ผมยังจำได้
พ่อเล่าว่า
ก่อนผมเกิดเขาแห่ต้นศรีมหาโพธิ์จากลังกาจะผ่านหน้าหมู่บ้านไป ขบวนแห่ฯหยุดรถหน้าบ้านของยาย พ่อกับแม่จึงยกน้ำเย็นไปถวายพระสงฆ์ ทั้งร่วมอนุโมทนาและอธิษฐานจิตขอให้มีลูกชายมาเกิดด้วย
พ่อกับแม่สมหวังในไม่นานนักหลังจากที่ขอลูกจากต้นไม้ต้นนั้น
ถ้าเป็นตามที่พ่อว่าและแม่ฝันก็เป็นอันว่า ผมคือเปรตบนต้นศรีมหาโพธิ์ ที่อ้อนวอนขอมาอยู่กับแม่นั่นเอง
เมื่อผมเกิดผมได้ชื่อว่า สมประสงค์ ก็คงซ่อนนัยว่าสิ่งที่พ่อกับแม่ปรารถนา เป็นความจริงขึ้นมาแล้ว
ผมลืมถามพ่อกับแม่ ว่า อธิษฐานขอให้ลูกฉลาดด้วยไหม หรือขอให้ได้ลูกเฉย ๆ ก็พอ
ลูกของพ่อมี 4 คน ทุกคนมีสติปัญญาดี ยกเว้นผมคนเดียว
ก็จะไม่ให้ผมคิดว่าตัวเองโง่ได้อย่างไร เมื่อผมได้ยินคำเรียก
อ้ายควาย ๆ แทนชื่อจริงของผม อยู่เสมอ ๆ จากทั้งครู เพื่อน ครูใหญ่ และคนอื่น ๆ ที่มารู้จักผม หรือผมไปรู้จักเขา
ผมไม่เคยคิดอะไรได้ลึกซึ้ง หรือซับซ้อน ทุกครั้งที่ผมพยายามคิดแบบนั้น
จะมีอาการมึนหัวไปทั่วกะโหลก ยิ่งเวลาที่ผมคิดแล้วคิดไม่ตกมันจะมีดาวดวงเล็ก ๆ เป็นร้อยเป็นพัน วิ่งไปรอบ ๆ หัวจนผมตาลายจะเป็นลม
ผมมีอาการความจำเสื่อมตั้งแต่อยู่ ป.1 แล้ว ลืมโน่นลืมนี่อยู่เป็นประจำ ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบเอย หายเป็นประจำ จนแม่ต้องเอาเชือกฟางล่ามดินสอ ยางลบไม้บรรทัดไว้กับที่รูดซิบกระเป๋า
แต่นั่นแหละความจำบางส่วนก็ยังไม่ลบไปจากหัวของผม เช่น หน้าตาของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นลูกของครูใหญ่ กิริยาของเธอได้แม่นยำอยู่ในหัวของผม จากกันไป 20-30 ปี ผมก็ยังคิดว่าน่าจะจำได้ ใช่แล้วครับ ตอนอยู่ ป.1 ผมหลงรักเธอนั่นเอง
ความรักของผมที่มีต่อเธอตอนนั้น ก็ ตอนป.1 นั่นแหละ คืออยากเห็นหน้า พอเห็นเธอแล้วหัวใจก็เต้นตุบๆ แรงๆ ตื่นเต้นมากๆ ความเป็นสุข คล้ายเจ็บๆปวดๆ
ยังไม่จบป.1ดีเธอก็ย้ายตามพ่อของเธอไปอยู่ถิ่นอื่น ผมก็แปลกใจตรง กับเพื่อนคนอื่น ๆ กลับไม่มีอะไรให้ผมจำได้เลย
อีกอันหนึ่งที่จำได้คือประสบการณ์ที่ครูหวดด้วยไม้เรียว 2 ที จากความผิดฐานแกล้งเพื่อน
คุณครับนอกนั้นนี่ผมเรียกมันว่าเป็นความลืมทั้งหมดเพราะจำไม่ได้
อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่า บางสิ่งบางอย่างไม่ใช่ความจำความลืม
เป็นสำนึก ที่ติดอยู่ในหัว
แยกแยะอะไรดีชั่วได้
อันนี้ผมคิดว่าผมมีค่อนข้างมาก
แม้ความฉลาดจะมีและเหลืออยู่น้อยนักแล้วก็ตาม
16 เมษายน 2547
15 เมษายน 2547 21:21 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
คุณจะกลับ ( ท่าทางรีบหลีกมวยด้วย)
ขอบคุณมากครับที่แวะมา ตอนนี้ผมต้องละความสนใจจากแผนโฆษณาของคุณไว้ก่อน เดี๋ยวผมนัดหมายคุณเอง อีกที เชิญครับ ระวังไอ้ช้างนั้นด้วย
คนตัวใหญ่สวนเข้ามาในทันที ที่คนลูกค้าของผมถึงประตู ที่ผลักเข้าออกได้ทั้งสองบาน
อดีต : ไง อ้ายซีอีโอใหญ่ ไม่เจอกันนาน มะรึงจำกะรูได้
ไหม
คนพูดตรงมาท่าทางจะจับมือแต่เปลี่ยนเป้าเป็นคอเสื้อของคนฟังแต่ช้าไปนิด ผมหลอกไอ้ช้างว่านุชอยู่ข้างหลัง มันชะงักและหันไป ผมได้ทีถีบเก้าอี้ติดล้อไปกันมันไว้พอดีกับจังหวะมันหันมาจึงได้จับพนักเก้าอี้นั่งลงแก้เก้อ
ผม : ใจเย็นครับ คุณย้อนวัน ผมจำได้ทุกอย่าง ไม่ลืม และ
ไม่คิดลืมด้วย
อดีต : แล้วมะรึง หนีกะรูทำมาย
มึงเอาแฟนกูมาแล้ว ยังจะทำลายบริษัทของกะรูอีกด้วยหรือ
ไอ้ช้างทุบโต๊ะไม่แรงนัก คงกลัวเจ็บมือ โต๊ะไม้มะค่าของรองซีอีโอ ดูขรึมขลังขึ้นมาเป็นกอง ข่มคนโตนั้นได้ทีเดียว ถ้าเป็นสำนักงานที่ผมเคยทำงานกับเขา ป่านนี้โต๊ะบุบเป็นรอยมือไปแล้ว ตาของเขายังจ้องเขม็ง แข็งกร้าว ราวจะกินเลือดผม
ผม : เดี๋ยวก่อน ๆ ผมทำลายบริษัทของคุณยังไง
อดีต : มะรึงอย่าแกล้งเซ่อ ไอ้คุณซีอีโอใหญ่ มะรึงรู้ดีว่าใคร
กว้านซื้อพันธุ์ข้าวของชาวบ้านไปจนหมด แล้วเอาข้าวแต่งพันธุกรรมไปให้เขาปลูกแทน แบบนี้บริษัทเล็กๆของกะรูจะไม่เจ๊งได้ยังไง
คนพูดกลืนน้ำลายเอื้อก ผมยื่นแก้วน้ำทางซ้ายมือไปให้ คนโตไม่ยอมกิน
ไอ้หอยเอ๋ย มะรึงก็พอรู้ ว่าบริษัทที่ทำข้าวปลอดสารพิษมีกี่บริษัท กะรูไปขอให้ชาวบ้านปลูกข้าวไม่ใช้ปุ๋ย เขาไม่เอาด้วยซักคน มะรึงแหละทำ ตัดหน้ากะรู ข้าวมะรึงเล่นขายได้แพงอย่างนั้น
มึงอย่าแกล้งโง่ ไอ้วิวรรธน์
ผม : พูดกันได้ พูดกันได้
ผมทำใจให้เย็นที่สุด และว่า
เอ้างี้ไหม คุณย้อนวัน มหมิตร เอาข้าวของผมไปส่งเสริมให้เขาปลูก แบบปลอดสารพิษนั่นแหละ แล้วผมจะรับต่อจากคุณอีกที คอมมิชชั่นเท่าไร ไม่เกี่ยง เพียงคุณว่ามา
อดีต : มะรึงหยามกูนี่ ไอ้วิวรรธน์
กะรูอยากฆ่ามะรึงให้ตาย
ไหน เมียมะรึงอยู่ไหน
กะรูจะฆ่ามะรึงให้เธอดู
คนพูดลุกไวจะจับคอเสื้อผมอีก ช้ากว่าผม ในลูกไม้เดิม ผมรู้ว่า ย้อนวันคิดถึงใครอยู่จริง ๆ เมื่อผมบอกว่านุชมา เขาก็หันไปอีก ผมหลบโต๊ะใหญ่ออกทางซ้าย พ้นประตูออกไปเพียงเสี้ยวก้อยก่อนหน้าไอ้ช้างนิดเดียว ซิกแนลที่ผมบอก รปภ.หน้าเหลี่ยม ( ก็ตระกูลเดียวกับผมนั่นแหละ)ได้ผลทันที พวกนั้นกรูกันเข้ามาล้อม ชายร่างยักษ์ไว้ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยผมก็ย้อนมาหาเขา
ผม : คุณย้อนวันครับ เมียของผม หรือคุณนุชของคุณนั่น
แหละ ท้องได้ 8 เดือนแล้ว ผมพรากเธอมาจากคุณเมื่อ
5 ปีก่อน ผมเพิ่งมาสมหวังเอาเมื่อผมเปลี่ยนชื่อเป็น
คุณปีนี้เอง ที่ผ่านมาเธอบ่นหาแต่คุณ และไม่ยอมมีลูกให้ผมเลย
ยกโทษให้ผมได้ไหมครับ คุณย้อนวัน ผมยอมไหว้คุณล่ะ ผมรักนีรนุชจริงๆ เธอรักคุณมาก
จะให้ผมทำอะไรก็ยอม มาทำบริษัทด้วยกันก็ได้
สิ่งที่ผมเคยคิด ว่าจะไม่ยอมใช้หนี้คุณ ผมเปลี่ยนความคิดแล้ว ตั้งแต่นุชท้อง ผมยินดีจะจ่ายคืนเงินต้นพร้อมดอกทุกบาททุกสตางค์
ขออย่างเดียว อย่าพรากนุชไปจากผม
อย่าพรากผมไปจากเธอเลย
ผมรักเธอ ผมรักนุช
นีรนุชยืนอยู่ที่ประตูห้องรองซีอีโอแต่เมื่อไรผมก็ไม่ทันสังเกต
น้ำตาของคนโตซึมเปื้อนลงมาที่แก้ม แล้วก็เลือนหาย
เขามีท่าทีอ่อนลงมาก เมื่อหันไปเห็นผู้หญิงท้องแก่ ที่ชื่อนีรชนุช ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ผม: ผมหนีอดีตไม่พ้นแล้วครับคุณย้อนวัน
ต้อนผมให้จนมุมเถิด
ผมยอม
เว้นแต่นีรนุชกับลูกเท่านั้น ผมขอ
------------------------------------------------------
15 เมษายน 2547 16:48 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
อดีตไล่ต้อนผม ตอนที่ 2
ทีมงานศึกษายีนของข้าวในไหบ้านเชียงเดินทางกลับมาในวันที่ห้าของการวิจัยภาคสนามพร้อมกับตัวอย่างเมล็ดข้าวจำนวน 2 3 เมล็ดเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ แตกไลน์ไปจากสินค้าที่ลงตลาดครั้งแรก คุณยังคงจำได้ใช่ไหมครับว่าสินค้าตัวแรกเราเน้นไปที่กลุ่มคนวัยทำงานและคนชั้นสูงผู้ไม่ต้องการมีใบหน้าเหี่ยวย่นก่อนวัย กลุ่มนี้มีกำลังซื้อที่แน่นอน แต่มันก็ดันไปบูมในกลุ่มวัยรุ่นที่ยังต้องขอเงินพ่อแม่ ไม่มีอะไรผิดปกติหรอกครับมันตรงกับผลการวิจัยตลาดที่ระบุว่ากลุ่มคนที่ตกอยู่ในอิทธิพลการโฆษณามากที่สุดคือเด็กและคนวัยเรียน นี่ถ้าพวกเด็ก ๆ มีปัญหาเรื่องหน้าย่น บริษัทของผมรับรองรวยอื้อแน่
( อย่าพิมพ์เป็นรวยเละ เชียวนะครับ )
ในที่ประชุมผู้บริหารแผนก เราจะออกสินค้าตัวใหม่ไม่เกินปักษ์นี้
ผมไม่ปิดคุณหรอกครับ เพราะการบอกคุณก็เท่ากับการโฆษณาอีกแบบหนึ่ง คุณรู้แล้วคุณต้องพูดอยู่ดี ไม่กับตัวเองก็คนข้าง ๆ คุณ นั่นแหละ
สินค้าตัวนี้จะตอบสนองคนเกือบทุกคนที่มีปัญหาความจำเสื่อม ใช่แล้วครับ อัลไซเมอร์นั่นแหละ เวลานี้ เซลล์สมองของคนเราถูกทำลายลงทุกนาที จากอาหารที่เรากินเข้าไป จากเครื่องดื่มที่เราดื่ม จากรูปแบบการใช้ชีวิตในบางรูปแบบ
จริงอยู่เทคโนโลยีผ่าตัดก้าวหน้าไปไกลมากจนคุณสามารถเปลี่ยนเซลล์สมองของคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาให้คุณได้ แต่นั่นก็จะทำให้คุณได้รับยีนที่ไม่เข้าท่าบางอย่างติดมาด้วย
ผมไม่แนะนำให้คุณผ่าตัดเปลี่ยนเซลล์สมองหรอกครับ แม้ว่าใครจะยืนยันว่าเซลล์พวกนั้นเป็นของนักคิดเลื่องชื่อของสหัสวรรษคนใดก็ตาม ก็อย่างที่บอก มันกันยีนแย่ ๆ บางตัวออกไปไม่ได้
ผมขอแนะนำ BC-II ครับ
BC-II อ่าน บีซี ทู ครับ
คุณถาม
อย่าเพิ่งถามราคาซีครับ
เราขอค่าความรู้นิดหน่อยเองแหละ ที่เราต้องการจริง ๆ เป็นอุดมคตินะครับ
คือต้องการให้คนมีความจำดีเยี่ยม อย่างนักการเมืองนี่จะไม่ลืมเลยว่าตัวเองพูดอย่างไรกับประชนชน
คุณถามอีก
อ๋อ ปัญหาแค่นั้นเองหรือครับ แบบที่เพลงว่า อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ
เราแก้ได้หมดครับ ส่วนไหนที่อยากลืมก็ทำได้ หรืออยากจำส่วนไหนก็ทำได้ BC-II - 9 ครับ
คุณว่า
ไม่เว่อร์หรอก ไม่เชื่อลองดูซิครับ ตัวนี้ไม่ขายให้นักการเมืองหรอก มันไม่เกี่ยวกับเงินไง มันเป็นอุดมคติ - บอกคุณแล้ว
คุณย้อน
จริงของคุณ ผมพูดถึง BC I ( อ่านบีซี-วัน ) น้อยไปนิด
เอาย่อ ๆ ก็แล้วกันนะครับ เพราะยังไงก็ติดตลาดไปแล้ว
ตัวนี้ช่วยไม่ให้ผิวหน้า แขนขา หน้าท้องย่น เพียงแต่กินข้าวเหนียวไก่ย่าง ไก่ย่างของห้าดาวก็ได้ ของคนอื่น ๆ ก็ได้ แต่ข้าวเหนียวต้องเป็นของเราเท่านั้นนะครับ
คุณแย้ง
แหม คุณอย่าห่วงเรื่องแพ็คเก็จจิ้งไปเลยครับ ลืมรูปแบบกระติบข้าวในโอทอป อินเตอร์เนชั่นแนลไปได้เลย เราทิ้งรูปแบบแบบนั้นไปไกลแล้ว คุณยังว่าเชยอีกเหรอ งั้นรอดู 48 ชั่วโมงต่อไปซิครับ มันจะออกมาแบบไหน แต่ของเก่าของเราก็ขายได้เลขไหลไม่หยุดหรอกคุณ
คุณหันไปทางคนที่เดินตรงรี่เข้ามา
อ้าว คนที่เดินตรงมาทางผม ผมเคยรู้จักเขานี่
ใช่แล้ว อ้ายหมอนี่คือ ย้อนวัน มหมิตร (อดีต) ที่เคยเถียงกันเอาเป็นเอาตายเรื่อง
พันธุ์ข้าว และจีเอ็มโอส์ ตอนทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนด้วยกันนั่นเอง
คุณขยับหลบ ๆ มันนิดหนึ่งครับ มันตัวใหญ่ แถมทรงตัวไม่ค่อยดี
(รออ่านต่อตอนสุดท้ายครับ)
15 เมษายน 2547 00:21 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เมื่ออดีตไล่ต้อนผม
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ได้ล้อเลียนคุณฮวน เอนริเกซ์ ( JUAN ENRIQUEZ ) คนเขียน เมื่ออนาคตไล่ล่าคุณ ( AS THE FUTURE CATCHES YOU ) ดอกครับ เพราะอย่างไรผมก็หนีอนาคตไม่พ้น แต่ที่หนักกว่าสำหรับผมคือต้องหนีอดีตด้วย อดีตตามล่าผมอยู่ทุกเวลานาที
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเขียนความร้อยไว้ตอนหนึ่ง
(คุณจะข้ามข้อความตอนนี้ไปเลยก็ได้ครับ)
เพื่อนไปไกลเสียแล้วล่ะแก้วเอ๋ย
อย่าถามถึงเขาเลยจะได้ไหม
เพราะเอ่ยชื่อของเขามาคราวใด
ก็ปวดใจเต็มขีดเหมือนมีดแทง
อาจจะจริงเหตุข่วนใจไม่ใช่เขา
เป็นคนก่อต่อเราในหลายแหล่ง
เพื่อนของเขาไม่ใช่เขาทำเราแรง
วันนี้แผลแลดูแห้งหากแทงใจ
เธอจำได้ใช่ไหมเล่าในคราวก่อน
เขาเอาแก้วสามก้อนก้อนใหญ่ใหญ่
มาแลกกับเศษดินหินเหล็กไฟ
บอกเอาไปทำเป็นของเป็นทองเค
เราเอาหินเหล็กไฟให้เพื่อนเขา
ใจของเราไร้เหลี่ยมกลลืมสนเท่ห์
หินของเราห่างมือเราเขากลับเก
ทับเราเป๋อ่อนเปลี้ยหวิดเสียคน
ได้ข้าวเราบอกจะเอาไปปรับพันธุ์
ของเดิมมันปลูกไปจะไร้ผล
ข้าวพันธุ์เก่าเราปล่อยปั๊บก็อับจน
กลายเป็นคนหงอยหงอปีต่อปี
พันธุ์ใหม่มันฉกาจสร้างทาสใหม่
ผลผลิตต่อไร่สูงเต็มที่
แต่ขอโทษต้นทุนคุณก็มี
ราคาดีอยู่กี่ฝนก็ป่นลง
พันธุ์ของคุณเหนือชั้นแพงบรรลัย
พันธุ์ของผมพันธุ์ไพร่คุณไม่ส่ง-
เสริมก็เสริมไปงั้นงั้นพากันปลง
นั่นความจริงมันแจ้งตรงกลางจอตา
เอาเข้าซีดีเอ็นเอโมดิฟายด์
ค่าความรู้มันมากมายใครเห็นค่า
คุณนั่นแหละเห็นหลังไหล่ใครทำนา
แต่เพื่อนคุณเป็นคนฆ่าคนแทนคุณ
ความก้าวหน้าทุกแถวช่องเป็นของดี
ไม่แอนตี้เพราะเราต่ำเดินย่ำฝุ่น
แต่โนว์ฮาวเปลี่ยนมือไปไกลมือบุญ
ถึงมือบาปผมและคุณหรือต่างตอ
อ้าปาก พูดมากไปทำไมมี
ก็เห็นไหมเพื่อนพี่ ผีหัวหมอ
มันมักได้ ถ่ายเดียวได้ ไม่เคยพอ
กรรมเวรก่อกลับตกไหม้ใครอื่นแทน
พูดอย่างตรงที่สุด -ไม่ไว้ใจ !
คุณตัดต่อเอาเล่ห์ใส่ได้เป็นแสน
ใครจะรู้กับคุณได้ ใช่ไหมแฟน
คิดแล้วแสนหวั่นหวาดปนขลาดกลัว
ทิ้งช่องว่างเปิดทางไว้ให้ทางเขา
เลือกทางเอาอย่าเหมาชี้แล้วตีหัว
ไม่ทำตามเท่าขี้เล็บก็เจ็บตัว
คนไม่ใช่ควายงัว -มีหัวใจ
ตราบที่ตัวยังต้องพึ่งแต่คนอื่น
จะยิ้มรื่นเต็มที่ได้ที่ไหน
พึ่งตนได้จึงยิ้มได้สบายใจ
อยากเป็นไทหรือเป็นทาสประกาศเอง .
(คัดจากเวบบอร์ดของปพส.)
สิ่งที่ผมเขียนเป็นส่วนหนึ่งที่ผมคิด เวลานี้ผมกำลังหนีให้ไกลจากสิ่งที่ผมเคยคิดอย่างสุดชีวิต แต่มันเหมือนเงาตามตัวที่แม้ก้าวเร็วเท่าใดมันก็ก้าวตามไวเท่านั้น
ทำไมผมต้องหนี ?
ผมลาออกจากงานในองค์กรพัฒนาชนบทของเอกชนองค์กรหนึ่ง แล้วเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีชีวภาพบริษัทหนึ่ง เพราะเคยเรียนมาทางด้านจุลชีวเคมีรวมทั้งต่อมาไม่นานองค์กรเดิมของผมก็ประกาศยุบเลิกหน่วยงานลงเหลือเพียงชื่อ
หนังสือพิมพ์บางฉบับเอาเรื่องราวของผมไปเขียนในหน้ากอสซิปเป็นทำนองว่า มันเกินความคาดหมายที่ใครจะคิดไปถึงว่าเด็กหนุ่มลูกข้าวเหนียวนึ่งจะมานั่งแป้นเป็นรองซีอีโอของบริษัทนี้ได้ เวลานี้
เด็กหนุ่มคนนั้นมีรายได้ติดอันดับท็อปเท็นของคนวัยไม่เกินสามสิบที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศ และเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วไปไม่เฉพาะแต่คนในวงสังคมชั้นสูง
ที่มาที่ไปที่ทำให้ผมต้องหนีอดีตก็สืบเนื่องมาจาก ผมดันไปคิดค้นและพบวิธีการเปลี่ยนยีนลดการย่นของผิวของคุณผู้หญิง( รวมทั้งผู้ชายและตุ๊ดด้วย)โดยไม่ต้องผ่าตัดดัดแปลงอะไร เพียงแต่กินข้าวเหนียวที่ตัดแต่งพันธุกรรมวันละมื้อเท่านั้น
สินค้าลงตลาดครั้งแรกได้รับการตอบรับน้อยเพราะคนในวงสังคมชั้นสูงรังเกียจ( เกลียด )ข้าวชนิดนี้มาก ( ก็เล่นเปรียบเทียบข้าวจ้าวกับข้าวไพร่นี่ครับ )
ต่อมาเมื่อดาราและนางแบบ(ลูกข้าวเหนียว) ที่กินข้าวของผมเด่นดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่คนเขาพูดกันว่าโกอินเตอร์นั่นแหละ สินค้าของผมจึงได้รับความสนใจแบบพลิกความคาดหมาย
รายได้ของบริษัทที่ผมเป็นรองซีอีโอ จึงแซงรายได้ของบริษัทมัลติเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ที่มีเส้นสายเครือข่ายเกี่ยวโยงกับวงการเมืองไปแบบเฉียดฉิวในไตรมาสแรก และทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นในทศมาสถัดมา
ผมไม่ได้เน้นตรงคำว่า ข้าวเหนียว เพราะความรู้สึกต่ำต้อยน้อยหน้าอะไรดอกนะครับ ก็จริง ! ที่ในอดีตผมคับข้องใจ คับแค้นใจ ที่จำต้องใส่แต่กางเกงคับ ๆ ที่คนข้างบ้านโยนเป็นทานมาให้ พร้อมกับคำพูดให้จุกคับอกว่า พวกขี้ทุกข์ ( จนที่สุด ) สำนึกมันบอกว่า เขาโยนมาให้ก็ดีถม ผมจึงต้องใส่ของผมไป ; ข้าวเหนียวเป็นข้าวที่มีลักษณะเฉพาะ โดดเด่นตรงทนทานต่อโรคและแมลง ปรับตัวต่อความแห้งแล้งได้อย่างมหัศจรรย์ เมื่อเอามาตัดต่อพันธุกรรมก็สามารถทำได้อย่างเหลือเชื่อ
ซีอีโอบอกผมว่าก็จะไม่มหัศจรรย์ได้อย่างไรในเมื่อข้าวพวกนี้มันปรับตัวอย่างรุนแรงสุดขีดมาตั้งแต่ยุคบ้านเชียง ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนในดินแดนที่เรียกสุวรรณภูมิ เขาท้าทายผมด้วยว่า ลองเอาข้าวเปลือกในไหบ้านเชียงขึ้นมาตัดต่อพันธุกรรมกับข้าวเหนียวทุ่งกุลาดูซี บางทีอาจจะดีกว่าที่เรากำลังทำอยู่เป็นไหน ๆ ผมทึ่งความคิดเขาแต่ก็เอาความคิดนั้นใส่ลิ้นชักที่ยี่สิบไว้ก่อน ก่อนที่จะดึงเอาความคิดในลิ้นชักที่สองขึ้นมาทำเงินทิ้งห่างคู่แข่งคู่แค้นที่พูดถึงไปแล้ว
ติดตามตอนหน้าครับ
14 เมษายน 2547 06:43 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ถ้าผมเขียนเรื่องนี้โดยเอารูปแบบจังหวะมาบังคับ
สามวันอาจยังไม่ได้อ่าน
งั้นก็เขียนแบบความเรียงเปล่า ๆ นี่แหละ
อย่างน้อยเรื่องที่จะว่าต่อไปนี้
ก็ไม่ต้องการสีสันของอารมณ์มากนัก
เพียงแต่เอามาเล่าให้อ่านเอาเพลิน
-------------------------------------------
ห้องสมุดในสถาบันอุดมศึกษาใหญ่ ๆ
บางที่เรียกสำนักวิทยบริการ
บางที่ก็เรียกตรงตัว
บางทีอาจเรียกแบบอื่น
ที่นั่นแหละ เป็นที่ๆ นิสิต-นักศึกษา
เข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง
ความรู้ในนั้นมีทั้งทางลึกและทางกว้าง
เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ(แต่อาจจะรู้เบื่อ)
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบห้องสมุด
เพราะสงบ เย็น และมีมุมเป็นส่วนตัว
ในห้องสมุดมีการจัดที่นั่งอ่านหนังสือหลายแบบ
แบบโต๊ะยาวเพื่อนั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อยก็มี
แบบโต๊ะเดี่ยวนั่งจ่อมอยู่คนเดียวมีแผงบังตาก็มี
นาน ๆ ผมจึงออกจากมุมศิลปินเดี่ยว
ไปนั่งอยู่ต่อหน้าใครต่อใคร-
ที่โต๊ะยาวกลางห้อง
ที่ต้องไปนั่งตรงนั้น เพราะหนังสือเล่มเขื่องเหมาะที่จะยกไปอ่านตรงนั้น
ยกไปไกลกว่านั้นก็ไม่เข้าที มันหนัก และดูเชย(ซื่อบื้อก็เรียก)
คุณเอ๋ย ที่กลางห้องนั่นแหละ
ก็ยังดันมีคนหลับ
เป็นผู้ชายเสียด้วย
ไม่รู้ง่วงมาจากไหน กรนเสียงซ๊อด ๆ เชียว
วันนั้นมีนิสิตเข้าห้องสมุดมากเป็นพิเศษ
ที่นั่งอ่านแบบเดี่ยว ๆ ก็มีคนจับจองอยู่หาว่างซักตัวได้ไม่
จึงไม่แปลกอะไรที่คนที่มาทีหลังจะมานั่งล้อมชายหนุ่มซึ่งฟุบหลับอยู่ตรงนั้น
คนนอน นอนไป
คนอ่าน อ่านไป
ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ตนสนใจอยู่เฉพาะตัว
คนมาก แตก็่ไม่วุ่น
คนชุม แต่ก็ไม่จุ้นจ้าน
ต่อจากนั้นอีกไม่นาน
ชายที่หลับก็ออกจากการหลับไหล
เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ
แต่ดูเหมือนว่าไม่อยากมองหน้าไผ
เพราะน้ำลายเกรอะอยู่เต็มโต๊ะ
โทะ โทะ โทะ มันมาได้ไง
ทิชชู่ก็ไม่มี
เอาซิคราวนี้จะทำไฉน
อายสาวก็อายสาว
ครั้นคิดจะโกยอ้าวก็ดูกระไร
เขาเอามือลูยโต๊ะป๊าบ
มือเหมือนกระดาษทรายหยาบเบอร์ใหญ่
น้ำลายที่ยืดเยิ้มมันก็ยิ่งเพิ่มความอายให้
พวกผู้หญิงที่นั่งข้างๆ พากันลุกหนีอย่างกับร้อนไฟ
เพราะว่าน้ำลายนั้นมันเหม็น
ต่อมาหลายคงตั้งประเด็นว่าเป็นอะไร
โต๊ะนั้นโต๊ะหนึ่งจึงว่างเปล่า
เริ่มมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ยกใหญ่
ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่มาเช็ดถู
หญิงสาวจึงกรูมานั่งใหม่
ผมเห็นอยากหัวเราะ
จะหัวฯได้ไงเนาะ -ไม่เหมาะไง
นับแต่นั้นผมกลับมุมโปรด
ไม่ออกไปเริงโลดกลางห้องใด
หลบอยู่ในแผงกั้น
เตรียมทิชชู่ไว้ให้ทันเช็ดน้ำลาย
แม้นหลับหลงเผลอหลับ
ก็คงไม่ถึงกับมุดดินอาย
เตรง เตร่ง เตรง เตร้ง เตรง เตร่ง เตร้ง เตรง เตร่ง