15 เมษายน 2547 00:21 น.

เมื่ออดีตไล่ต้อนผม #1

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

เมื่ออดีตไล่ต้อนผม
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ได้ล้อเลียนคุณฮวน เอนริเกซ์ ( JUAN ENRIQUEZ ) คนเขียน เมื่ออนาคตไล่ล่าคุณ ( AS THE FUTURE CATCHES YOU ) ดอกครับ เพราะอย่างไรผมก็หนีอนาคตไม่พ้น แต่ที่หนักกว่าสำหรับผมคือต้องหนีอดีตด้วย อดีตตามล่าผมอยู่ทุกเวลานาที
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ผมเขียนความร้อยไว้ตอนหนึ่ง
(คุณจะข้ามข้อความตอนนี้ไปเลยก็ได้ครับ)

เพื่อนไปไกลเสียแล้วล่ะแก้วเอ๋ย
อย่าถามถึงเขาเลยจะได้ไหม
เพราะเอ่ยชื่อของเขามาคราวใด
ก็ปวดใจเต็มขีดเหมือนมีดแทง

อาจจะจริงเหตุข่วนใจไม่ใช่เขา
เป็นคนก่อต่อเราในหลายแหล่ง
เพื่อนของเขาไม่ใช่เขาทำเราแรง
วันนี้แผลแลดูแห้งหากแทงใจ

เธอจำได้ใช่ไหมเล่าในคราวก่อน
เขาเอาแก้วสามก้อนก้อนใหญ่ใหญ่
มาแลกกับเศษดินหินเหล็กไฟ
บอกเอาไปทำเป็นของเป็นทองเค

เราเอาหินเหล็กไฟให้เพื่อนเขา
ใจของเราไร้เหลี่ยมกลลืมสนเท่ห์
หินของเราห่างมือเราเขากลับเก
ทับเราเป๋อ่อนเปลี้ยหวิดเสียคน

ได้ข้าวเราบอกจะเอาไปปรับพันธุ์
ของเดิมมันปลูกไปจะไร้ผล
ข้าวพันธุ์เก่าเราปล่อยปั๊บก็อับจน
กลายเป็นคนหงอยหงอปีต่อปี

พันธุ์ใหม่มันฉกาจสร้างทาสใหม่
ผลผลิตต่อไร่สูงเต็มที่
แต่ขอโทษต้นทุนคุณก็มี
ราคาดีอยู่กี่ฝนก็ป่นลง

พันธุ์ของคุณเหนือชั้นแพงบรรลัย
พันธุ์ของผมพันธุ์ไพร่คุณไม่ส่ง-
เสริมก็เสริมไปงั้นงั้นพากันปลง
นั่นความจริงมันแจ้งตรงกลางจอตา

เอาเข้าซีดีเอ็นเอโมดิฟายด์
ค่าความรู้มันมากมายใครเห็นค่า
คุณนั่นแหละเห็นหลังไหล่ใครทำนา
แต่เพื่อนคุณเป็นคนฆ่าคนแทนคุณ

ความก้าวหน้าทุกแถวช่องเป็นของดี
ไม่แอนตี้เพราะเราต่ำเดินย่ำฝุ่น
แต่โนว์ฮาวเปลี่ยนมือไปไกลมือบุญ
ถึงมือบาปผมและคุณหรือต่างตอ

อ้าปาก พูดมากไปทำไมมี
ก็เห็นไหมเพื่อนพี่ ผีหัวหมอ
มันมักได้ ถ่ายเดียวได้ ไม่เคยพอ
กรรมเวรก่อกลับตกไหม้ใครอื่นแทน

พูดอย่างตรงที่สุด -ไม่ไว้ใจ !
คุณตัดต่อเอาเล่ห์ใส่ได้เป็นแสน
ใครจะรู้กับคุณได้ ใช่ไหมแฟน
คิดแล้วแสนหวั่นหวาดปนขลาดกลัว

ทิ้งช่องว่างเปิดทางไว้ให้ทางเขา
เลือกทางเอาอย่าเหมาชี้แล้วตีหัว
ไม่ทำตามเท่าขี้เล็บก็เจ็บตัว
คนไม่ใช่ควายงัว -มีหัวใจ

ตราบที่ตัวยังต้องพึ่งแต่คนอื่น
จะยิ้มรื่นเต็มที่ได้ที่ไหน
พึ่งตนได้จึงยิ้มได้สบายใจ
อยากเป็นไทหรือเป็นทาสประกาศเอง .


(คัดจากเวบบอร์ดของปพส.)


              สิ่งที่ผมเขียนเป็นส่วนหนึ่งที่ผมคิด เวลานี้ผมกำลังหนีให้ไกลจากสิ่งที่ผมเคยคิดอย่างสุดชีวิต แต่มันเหมือนเงาตามตัวที่แม้ก้าวเร็วเท่าใดมันก็ก้าวตามไวเท่านั้น

ทำไมผมต้องหนี ?

ผมลาออกจากงานในองค์กรพัฒนาชนบทของเอกชนองค์กรหนึ่ง แล้วเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีชีวภาพบริษัทหนึ่ง เพราะเคยเรียนมาทางด้านจุลชีวเคมีรวมทั้งต่อมาไม่นานองค์กรเดิมของผมก็ประกาศยุบเลิกหน่วยงานลงเหลือเพียงชื่อ
หนังสือพิมพ์บางฉบับเอาเรื่องราวของผมไปเขียนในหน้ากอสซิปเป็นทำนองว่า มันเกินความคาดหมายที่ใครจะคิดไปถึงว่าเด็กหนุ่มลูกข้าวเหนียวนึ่งจะมานั่งแป้นเป็นรองซีอีโอของบริษัทนี้ได้ เวลานี้ 

         เด็กหนุ่มคนนั้นมีรายได้ติดอันดับท็อปเท็นของคนวัยไม่เกินสามสิบที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศ และเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วไปไม่เฉพาะแต่คนในวงสังคมชั้นสูง
ที่มาที่ไปที่ทำให้ผมต้องหนีอดีตก็สืบเนื่องมาจาก ผมดันไปคิดค้นและพบวิธีการเปลี่ยนยีนลดการย่นของผิวของคุณผู้หญิง( รวมทั้งผู้ชายและตุ๊ดด้วย)โดยไม่ต้องผ่าตัดดัดแปลงอะไร เพียงแต่กินข้าวเหนียวที่ตัดแต่งพันธุกรรมวันละมื้อเท่านั้น 


         สินค้าลงตลาดครั้งแรกได้รับการตอบรับน้อยเพราะคนในวงสังคมชั้นสูงรังเกียจ( เกลียด )ข้าวชนิดนี้มาก ( ก็เล่นเปรียบเทียบข้าวจ้าวกับข้าวไพร่นี่ครับ ) 

ต่อมาเมื่อดาราและนางแบบ(ลูกข้าวเหนียว) ที่กินข้าวของผมเด่นดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่คนเขาพูดกันว่าโกอินเตอร์นั่นแหละ สินค้าของผมจึงได้รับความสนใจแบบพลิกความคาดหมาย 

รายได้ของบริษัทที่ผมเป็นรองซีอีโอ จึงแซงรายได้ของบริษัทมัลติเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ที่มีเส้นสายเครือข่ายเกี่ยวโยงกับวงการเมืองไปแบบเฉียดฉิวในไตรมาสแรก และทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นในทศมาสถัดมา


                 ผมไม่ได้เน้นตรงคำว่า ข้าวเหนียว เพราะความรู้สึกต่ำต้อยน้อยหน้าอะไรดอกนะครับ ก็จริง ! ที่ในอดีตผมคับข้องใจ คับแค้นใจ ที่จำต้องใส่แต่กางเกงคับ ๆ ที่คนข้างบ้านโยนเป็นทานมาให้ พร้อมกับคำพูดให้จุกคับอกว่า พวกขี้ทุกข์ ( จนที่สุด ) สำนึกมันบอกว่า เขาโยนมาให้ก็ดีถม ผมจึงต้องใส่ของผมไป ; ข้าวเหนียวเป็นข้าวที่มีลักษณะเฉพาะ โดดเด่นตรงทนทานต่อโรคและแมลง ปรับตัวต่อความแห้งแล้งได้อย่างมหัศจรรย์ เมื่อเอามาตัดต่อพันธุกรรมก็สามารถทำได้อย่างเหลือเชื่อ 

  ซีอีโอบอกผมว่าก็จะไม่มหัศจรรย์ได้อย่างไรในเมื่อข้าวพวกนี้มันปรับตัวอย่างรุนแรงสุดขีดมาตั้งแต่ยุคบ้านเชียง ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนในดินแดนที่เรียกสุวรรณภูมิ เขาท้าทายผมด้วยว่า ลองเอาข้าวเปลือกในไหบ้านเชียงขึ้นมาตัดต่อพันธุกรรมกับข้าวเหนียวทุ่งกุลาดูซี บางทีอาจจะดีกว่าที่เรากำลังทำอยู่เป็นไหน ๆ ผมทึ่งความคิดเขาแต่ก็เอาความคิดนั้นใส่ลิ้นชักที่ยี่สิบไว้ก่อน ก่อนที่จะดึงเอาความคิดในลิ้นชักที่สองขึ้นมาทำเงินทิ้งห่างคู่แข่งคู่แค้นที่พูดถึงไปแล้ว

ติดตามตอนหน้าครับ				
14 เมษายน 2547 06:43 น.

มุมโปรด

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ถ้าผมเขียนเรื่องนี้โดยเอารูปแบบจังหวะมาบังคับ
สามวันอาจยังไม่ได้อ่าน
งั้นก็เขียนแบบความเรียงเปล่า ๆ นี่แหละ
อย่างน้อยเรื่องที่จะว่าต่อไปนี้
ก็ไม่ต้องการสีสันของอารมณ์มากนัก
เพียงแต่เอามาเล่าให้อ่านเอาเพลิน
-------------------------------------------


ห้องสมุดในสถาบันอุดมศึกษาใหญ่ ๆ
บางที่เรียกสำนักวิทยบริการ
บางที่ก็เรียกตรงตัว
บางทีอาจเรียกแบบอื่น

ที่นั่นแหละ เป็นที่ๆ นิสิต-นักศึกษา
เข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง
ความรู้ในนั้นมีทั้งทางลึกและทางกว้าง
เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ(แต่อาจจะรู้เบื่อ)
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบห้องสมุด
เพราะสงบ เย็น และมีมุมเป็นส่วนตัว

ในห้องสมุดมีการจัดที่นั่งอ่านหนังสือหลายแบบ
แบบโต๊ะยาวเพื่อนั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อยก็มี
แบบโต๊ะเดี่ยวนั่งจ่อมอยู่คนเดียวมีแผงบังตาก็มี
นาน ๆ ผมจึงออกจากมุมศิลปินเดี่ยว
ไปนั่งอยู่ต่อหน้าใครต่อใคร-
ที่โต๊ะยาวกลางห้อง
ที่ต้องไปนั่งตรงนั้น เพราะหนังสือเล่มเขื่องเหมาะที่จะยกไปอ่านตรงนั้น
ยกไปไกลกว่านั้นก็ไม่เข้าที มันหนัก และดูเชย(ซื่อบื้อก็เรียก)

คุณเอ๋ย ที่กลางห้องนั่นแหละ
ก็ยังดันมีคนหลับ
เป็นผู้ชายเสียด้วย
ไม่รู้ง่วงมาจากไหน กรนเสียงซ๊อด ๆ เชียว
วันนั้นมีนิสิตเข้าห้องสมุดมากเป็นพิเศษ
ที่นั่งอ่านแบบเดี่ยว ๆ ก็มีคนจับจองอยู่หาว่างซักตัวได้ไม่

จึงไม่แปลกอะไรที่คนที่มาทีหลังจะมานั่งล้อมชายหนุ่มซึ่งฟุบหลับอยู่ตรงนั้น
คนนอน นอนไป
คนอ่าน อ่านไป
ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ตนสนใจอยู่เฉพาะตัว
คนมาก แตก็่ไม่วุ่น
คนชุม แต่ก็ไม่จุ้นจ้าน

ต่อจากนั้นอีกไม่นาน
ชายที่หลับก็ออกจากการหลับไหล
เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ
แต่ดูเหมือนว่าไม่อยากมองหน้าไผ
เพราะน้ำลายเกรอะอยู่เต็มโต๊ะ
โทะ โทะ โทะ มันมาได้ไง
ทิชชู่ก็ไม่มี
เอาซิคราวนี้จะทำไฉน
อายสาวก็อายสาว
ครั้นคิดจะโกยอ้าวก็ดูกระไร
เขาเอามือลูยโต๊ะป๊าบ
มือเหมือนกระดาษทรายหยาบเบอร์ใหญ่
น้ำลายที่ยืดเยิ้มมันก็ยิ่งเพิ่มความอายให้
พวกผู้หญิงที่นั่งข้างๆ พากันลุกหนีอย่างกับร้อนไฟ
เพราะว่าน้ำลายนั้นมันเหม็น
ต่อมาหลายคงตั้งประเด็นว่าเป็นอะไร
โต๊ะนั้นโต๊ะหนึ่งจึงว่างเปล่า
เริ่มมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ยกใหญ่

ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่มาเช็ดถู
หญิงสาวจึงกรูมานั่งใหม่
ผมเห็นอยากหัวเราะ
จะหัวฯได้ไงเนาะ -ไม่เหมาะไง

นับแต่นั้นผมกลับมุมโปรด
ไม่ออกไปเริงโลดกลางห้องใด
หลบอยู่ในแผงกั้น
เตรียมทิชชู่ไว้ให้ทันเช็ดน้ำลาย
แม้นหลับหลงเผลอหลับ
ก็คงไม่ถึงกับมุดดินอาย

เตรง เตร่ง เตรง เตร้ง เตรง เตร่ง เตร้ง เตรง เตร่ง				
12 เมษายน 2547 21:40 น.

คนนา

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

(บันทึกคนทำนา # 2)
-------------------------------------------------------------------------------------

                     ปีที่แล้ว ผมกับภรรยาและลูกปลูกข้าวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง วิธีการทำนาของเราทำอย่างง่าย ๆ คือขุดดินด้วยจอบแล้วหยอดเมล็ดข้าวเอาไว้ เมื่อฝนตกเมล็ดข้าวจึงงอกออกมาให้ชื่นใจ 

                      เราเอาใจใส่ดูแลจนได้เก็บเกี่ยวและนวดข้าวด้วยมือของตนเอง ที่นา 2 ไร่ ได้ข้าวเกือบ 60 ถัง   แม้จะไม่มากนักแต่เราก็มีความสุขเหลือเกินเมื่อได้เปิบข้าวหอมกรุ่นจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนเอง

                      ชาวนาในยุคของพ่อทำนาอย่างไม่รีบร้อน พันธุ์ข้าวที่ปลูกมีทั้งข้าวเบา ข้าวกลาง และข้าวหนัก เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทันเวลาแม้ว่าจะทำนากันแค่ 2 คนก็ตาม      

                     ก่อนฤดูทำนาพ่อจะพาผมขนปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักลงไปกองไว้ทั่วผืนนา ก่อนไถดะเราจะเกลี่ยปุ๋ยคอกพวกนั้นให้กระจายไปทั่วทั้งแปลงนา 
        
                     พ่อเลือกแปลงนาเล็ก ๆ บนที่ดอน 2-3 แปลงเพื่อตกกล้า เมื่อต้นกล้าโตพอที่จะปักดำเราก็วานเพื่อนบ้านมาช่วยลงแขกถอนกล้าและปักดำ ไม่กี่วันเราก็ปักดำเสร็จ    และเมื่อปักดำนาตัวเอเสร็จ พ่อให้ผมกับแม่ไปช่วยเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ จนปักดำเสร็จทั่วกัน 

                    ข้าวในนาของพ่อเขียวนวลเย็นตาและโตไว ข้าวแตกกอสูงใหญ่ท่วมหัวของผม พ่อบอกว่า ข้าวในนาของใครเขียวนวลแตกกอมากแสดงว่าที่นาของเขามีดินดี ดินในที่นาของใครดีจะต้องมีไส้เดือนอาศัยอยู่มาก 

      ไส้เดือนช่วยย่อยเศษใบไม้ใบหญ้าให้กลายเป็นปุ๋ยรวมทั้งช่วยให้ดินร่วนซุยขึ้นด้วย เมื่อผมทำนาเองผมก็เอาอย่างพ่อคือขนใบไม้ ขนปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักไปใส่นา แต่น่าเสียดายเราคุมน้ำไม่ได้ ช่วงที่ข้าวของเรากำลังขึ้นงามน้ำก็ดันแห้ง หญ้าที่รอเวลาอยู่ก็ได้โอกาสเบียดเสียดกอข้าวขึ้นมาจนเต็มผืนนา 

    นี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราได้ข้าวไม่มากนัก สาเหตุรองลงไปก็คือข้าวในนาของเราโดนหนอนเจาะทำลายมาก สังเกตเห็นความเสียหายได้จากรวงข้าวจำนวนมากเหี่ยวแห้งเมล็ดข้าวลีบฝ่อจนหมด

               หลังเก็บเกี่ยว ผมจะมัดข้าวเอง  หาบขนขึ้นไปกองเรียงบนลาน  และ นวดข้าวด้วยตนเอง   แม้มือจะมือแตก   หรือบวมช้ำ   ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บและเบื่อ 

                พ่อบอกว่ามือที่กร้านคือมือขยัน คนขยันไม่มีวันอดตาย 

                ผมก็เชื่ออย่างนั้น เวลานี้ผมมีลูกผมก็สอนลูกให้ขยัน อดทนและติดดิน ถ้าลูกคิดว่าพ่อแม่ร่ำรวยแล้วไม่ยอมทำงาน ไม่ขยันอดทน สักวันหนึ่งข้างหน้าทรัพย์ที่พ่อแม่สะสมไว้ให้ก็จะหมดลง ผมไม่อยากให้ลูกพบกับสภาพเช่นนั้น เหมือนกับลูกของครอบครัวอื่น ๆ ที่พ่อแม่ของเขาประมาทในเรื่องนี้

                เพื่อนบ้านของผมเห็นเราทำนาก็ชื่นชม แต่บางคนก็ว่าทำทำไมให้เหนื่อย ข้าวถังละไม่กี่ตังค์ซื้อกินง่ายสบายจะตาย เขาบอก.. เลือกเอา อยากกินข้าวพันธุ์ไหน ผมได้แต่หัวเราะหึ ๆ เพราะเห็นอยู่แล้ว ว่าคนรวยหรือคนจนกันแน่ที่ปลูกข้าวขายในยุคนี้

                ทุกปี   ผมพาลูกกลับไปเยี่ยมพ่อแม่เสมอในช่วงปิดภาคเรียน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราว่างตรงกัน ผมกับภรรยาว่างจากภาระการสอนหนังสือ ส่วนลูกก็ว่างเพราะปิดเรียน 

                ปู่มักจะถามว่าปีนี้ได้ข้าวพอกินไหม เมื่อได้ยินว่าเราได้ข้าวพอกินท่านก็ดีใจ และแนะนำให้เก็บเงินซื้อที่นาที่สวนเพิ่มอีก ลูกจะได้มีกินไม่อดอยาก ที่สำคัญคือจะได้มีกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวปลูกฝังให้เด็ก ๆ เป็นคนมีความมานะอดทน ติดดิน พึ่งตนเองและช่วยเหลือคนอื่นได้ 

                 ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของปู่ เก็บเงินไม่นานนักก็ได้ที่ดินอีก 5 ไร่ลงไม้ผลเอาไว้ให้ลูก ๆ ความสุขใดเล่าจะเท่ามีที่ดินบ้านช่องเป็นของตน มีงานทำ มีเงินเก็บ มีความรักความเข้าใจในครอบครัว 

                  ผมคิดแล้วก็อิ่มใจในสิ่งที่ตนเองเลือกและทำได้ โดยไม่ต้องอาศัยความฉลาดปราดเปรื่องระดับอัจฉริยะ

                   ปีนี้ผมจะทำนาเต็มรูปแบบโดยวิธีของพ่อ 

                   หัวใจของผมพองโตคับอกเมื่อนึกถึงภาพข้าวเขียวนวลกอโตเต็มผืนนา ยามลมโบกพัดใบข้าวพริ้วเป็นคลื่นไล่กันไกลออกไป 

                    มันเหมือนกับความฝันใฝ่ของคนเดินทางไปพบความสมหวัง

          หัวใจของคนทำนาในยุคนี้จะมีใครสักกี่คนที่ทำนาโดยไม่เคร่งเครียดบีบคั้น กับราคาข้าวและหนี้สินสารพัดสารพันอันเนื่องมาจาก
ต้นทุนของความรีบเร่งและละโมบ

&				
11 เมษายน 2547 06:35 น.

บันทึกคนทำนา # 1

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

มันผ่านมานานแต่ผมจำได้เสมอ
ที่โรงเรียนผมมักหลบเพื่อน ๆ ไปนั่ง ๆ ยืน ๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างอาคารเรียน แอบบีบบี้สิ่งที่ไต่ออกมาจากทวารหนักให้ตายคามือ แม้จะขยะแขยงอย่างไรก็ต้องทำ ดีกว่าให้*ตัวตืดไต่ตกออกมาให้เพื่อนเห็น ผมรู้สึกชิงชังเจ้าสัตว์ที่อยู่ในลำไส้ของตัวเองเต็มประดาเพราะมันไม่รู้จักเลือกเวลาที่จะออกมาข้างนอก บางวันในขณะที่เข้าแถวเคารพธงชาติอยู่มันก็ไต่ออกมาติดแหมะอยู่ที่ถุงเท้า รองเท้าและส่ายหัวไปมาอย่างไม่เกรงใจ ผมต้องรีบใช้เท้าอีกข้างปัดมันลงไปที่พื้นเหยียบขยี้ด้วยความโกรธเกลียดสุดขีด


                      ในห้องเรียนมีนักเรียนตัวเล็กอย่างผมอยู่ไม่กี่คน เพื่อนเกือบทั้งชั้นสูงใหญ่ ผิวพรรณและหน้าตาดี พวกเผขาเป็นลูกหลานของพ่อค้าคหบดีในอำเภอ เวลาเดินไปไหนด้วยกันจะเห็นความแตกต่างของสถานะทางสังคมของครอบครัวของเขากับผมจากเสื้อผ้า ตลอดจนรองเท้าที่เขาสวมใส่ พวกเขาสนุกสนานร่าเริงกันทุกคน ในขณะที่ผมต้องคอยระมัดระวังปกปิดบางสิ่งบางอย่างกลัวผู้คนจะรู้และกลัวผู้คนจะเย้ยเยาะ


                     หมู่บ้านของผมอยู่ห่างจากตัวอำเภอออกไป หลายกิโลเมตร บางวันผมอาศัยซ้อนท้ายรถเครื่องของลุงของอามาโรงเรียน แต่ส่วนใหญ่ผมต้องนั่งซาเล้ง เพราะรถประจำทางระหว่างจังหวัดที่แล่นผ่านหน้าหมู่บ้านทุกเช้าไม่ยอมจอดรับให้เด็กนักเรียนโดยสารไปด้วย ผมกับเพื่อนจึงต้องอาศัยรถสามล้อที่เขาถีบเข้าไปรับจ้างส่งของในอำเภอเพื่อไปให้ทันโรงเรียน

                          ในแต่ละวันผมต้องคอยบีบบี้เจ้าพยาธิตัวแบน ๆ ที่ไต่ออกมา 1 ตัวเป็นอย่างน้อย เจ้าสัตว์ผิวผ่องนี้มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว ความกว้างประมาณครึ่งของเล็บมือ ส่วนความหนาก็พอ ๆ กับความหนาของเล็บหัวแม่มือ เวลามันตกออกมาจากขากางเกงของผมมันจะชุ่มเยิ้มเหมือนอาบน้ำนมออกมาเลยเชียว เมื่อผมจัดการกับมันเสร็จแล้วจึงโล่งอกเข้ากลุ่มกับเพื่อน                           พฤติกรรมแบบนี้ใครจะสังเกตเห็นหรือเปล่าผมไม่รู้ 

                        เมื่อพยาธิชอนไชออกมามาก ๆ เข้าผมก็ปกปิดเรื่องนี้ต่อไปไม่ไหว ทันทีที่พ่อรู้เรื่องนี้พ่อก็เอามะเกลือมาโขลกผสมมดแดงเปรี้ยว คั้นและกรองเอาน้ำมะเกลือด้วยผ้าขาวบางใส่ถ้วยให้ผมดื่ม รสชาติของมะเกลือนั้นขื่นเขียวพะอืดพะอมสุดจะทน แต่ผมก็กระเดือกมันจนหมดถ้วยจนได้ รุ่งขึ้นผมตื่นนอนเช้าผิดปรกติ ท้องไส้ปั่นป่วนปวดมวนไปหมด พ่อรู้เรื่องนี้ดีจึงบอกให้ผมขุดดินข้างเล้าไก่เพื่อถ่ายทุกข์ 

                     สิ่งที่ผมมองเห็นในหลุมถ่ายทุกข์ทำให้ผมแทบสิ้นสติ 

                    มันคือสิ่งมีชีวิตผิวผ่องที่ลำตัวเป็นปล้อง ๆ ขดม้วนเหมือนฝ้ายก้อนใหญ่ พ่อของผมลงจากเรือนมาใกล้ ๆ และถามว่าออกไหม ผมบอกพ่อถึงสิ่งที่ตนเห็น พ่อเอาไม้ไผ่ยื่นให้ผมเพื่อม้วนพันเจ้าตัวตืด ดึงลากออกมาจากลำไส้ให้หมด ผมไม่อยากจดจำภาพวันนั้นเลยสักนิด แต่มันติดตาของผมมาจนกระทั่งวันนี้ พยาธิตัวตืดตัวนั้นไม่หลุดออกมาทั้งยวง คาดว่าคงเหลืออยู่ในไส้ของผมเท่า ๆ กับที่หลุดออกมาเท่ากำปั้น 

                     ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่สงสัยจะมีหนวดมีเครามีเขี้ยวมีขนไปแล้วก็ไม่รู้

                      ในห้องเรียนถึงแม้ผมจะมีคะแนนเป็นลำดับที่ 7 ถึง 8 
แต่คุณครูก็บอกว่าไอคิวหรือความฉลาดของผมอยู่ที่ประมาณ 88 เท่านั้น ผมเรียนเลขคณิตไม่เก่ง ท่องอะไรก็ไม่ค่อยจำ เพื่อน ๆ ในห้องเรียนของผมเรียนเก่งมาก พวกผู้หญิงอ่านภาษาอังกฤษได้แจ้ว ๆ น่าทึ่งยิ่งนัก ผมเองต้องขอให้พวกเขาอ่านให้ฟังแล้วจดคำอ่านพวกนั้นไว้สอบปากเปล่าเอาคะแนนจากครู อย่างไรก็ตามผมก็ผ่านชั้น ป.6 เข้าเรียนต่อระดับมัธยมด้วยคะแนนถึง 78 เปอร์เซ็นต์


                       ในระดับมัธยมผมมีเพื่อนมากมายหลายห้องมาจากหลายตำบล บางคนปั่นจักรยานมาร่วมยี่สิบกิโลเมตร ผมสอบเข้าเรียนได้เป็นอันดับที่ 7 แต่พอสอบปลายภาคคราวนี้อันดับของผมเลื่อนมาเป็นที่ 2 เมื่อเรียนในระดับมัธยมปลายผมตั้งใจจะเรียนสายศิลปะ แต่ครูก็ให้ผมเรียนสายวิทยาศาสตร์ ผมรู้ว่าตัวเองหัวไม่ดีก็ขยันอ่านขยันทบทวน เอาความมุมานะเข้าสู้ ในที่สุดอันดับที่ 1 ก็เป็นของผมและเป็นอันดับที่ 1 ที่ยาวนานจนจบระดับมัธยมปลาย ที่ 1 ที่ผมได้มันเป็นความรู้ความจำธรรมดาทั้งนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ภาคภูมิใจเลยเพราะรู้ว่าตัวเองหัวช้าและอ่อน รวมทั้งการที่เป็นคนว่านอนสอนง่ายของครูบาอาจารย์ มันกลายเป็นที่เกลียดชังมากของเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่เป็นปฏิปักษ์กับระเบียบวินัยของโรงเรียน
ผมได้รับมอบหมายหน้าที่หลายอย่างในโรงเรียนเช่น เป็นหัวหน้าห้อง เป็นประธานนักเรียน การได้รับเลือกจากเพื่อน ๆ และครูไม่ใช่เพราะความเก่งกาจมีวิสัยทัศน์ แต่เป็นเพราะอ่อนน้อมถ่อมตนแลดูซื่อและใช้ง่าย ผมพอใจที่ได้ทำหน้าที่เหล่านั้นแต่ก็ไม่ได้ภาคภูมิใจกับมันอีกเช่นกัน เพราะหน้าที่เหล่านั้นมันก็คือการเป็นทาสรับใช้คนอื่นในสายตาที่เขาหาได้จริงใจต่อใครไม่นั่นเอง

จบมัธยมแล้วผมได้สิทธิพิเศษเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาจบออกมาด้วยคะแนนเฉลี่ยไม่มากนักสำหรับระบบการเรียนระดับนี้ซึ่งเข้มข้นด้วยการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง อย่างเจาะลึกในระดับวิเคราะห์วิจัย ต่างไปจากการเรียนแบบจดและจำของระดับมัธยม ในยุคนั้น

   เมื่อผมเรียนจบระดับอุดมศึกษาและนำใบทรานสคริปต์ไปสมัครงานตามบริษัทต่าง ๆ ไม่มีบริษัทไหนไม่ปฏิเสธ ผมเดาเอาเองว่าสาขาที่ผมเรียนเป็นสาขาที่เขาไม่ต้องการ และคะแนนเฉลี่ย 2.2 ของผมก็น่าจะเป็นคะแนนของคนที่ไม่น่าจะฉลาด รวมทั้งอะไรต่อไม่อะไรอีกนานาประการ ผมหางานในกรุงเทพฯ อยู่เดือนเศษ ๆ ก็กลับบ้าน อย่างรันทดท้อ 


 อยากฉีกทรานสคริปต์ที่เปื้อนประสบการณ์ต้อยต่ำนั้นทิ้งไปเพื่อให้ลืมความหดหู่อันโหดร้ายในความทรงจำ
ผมขมขื่นหัวใจอยู่หลายเดือนก็ได้งานขององค์กรอเมริกันองค์กรหนึ่ง เมื่อเข้าไปทำงานก็ได้เจอเพื่อนซึ่งจบจากสถาบันเดียวกันอยู่หลายคน ความรู้สึกแย่ ๆ จึงค่อยผ่อนคลายลงบ้าง แต่ในที่สุดงานดังกล่าวก็ยุติลงเนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินภายในองค์กร
พรรคพวกของผมต่างหางานใหม่ไม่สังกัดรัฐบาล ส่วนผมกับเพื่อนบางคนซุกหัวเข้าใต้ปีกหน่วยงานของรัฐ ทำงานแบบไม่มีปากมีเสียง ขมขื่นหัวใจไม่แพ้คราวใด ๆ เมื่อพบว่าไม่มีใครในหน่วยงานปฏิเสธความเฉื่อยชา ฉ้อฉล และการอยู่ไปวัน ๆ 


ผมเริ่มคิดถึงทุ่งข้าวอีกครั้ง ผมนึกถึงที่สวน ผมนึกถึงวัวควายและยุ้งฉางที่หอมกรุ่นด้วยข้าวหอมจากหยาดเหงื่อของพ่อ 


แต่วันนี้ผมมาไกลเสียแล้ว คือในขณะที่พ่อมีผืนนาแนวระนาบหลายไร่ ส่วนผมมีนาแปลงเดียวแถมทำนาแนวตั้ง ปักดำกล้าที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะโตขึ้นมาอย่างไร เพราะคนทำนาผืนนี้จำนวนไม่น้อย ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของตนเองด้วยการโทรซื้อหวยหุ้นรอบเที่ยงรอบบ่ายมือเป็นระวิงหาเป็นอันสอนหนังสือหรือพัฒนาคุณภาพอนาคตของชาติไม่ ทั้งคนเดินโพยหวยหุ้นก็เข้าออกโรงเรียนราวกับมีงานเทศกาลบุญข้าวประดับดินอย่างไรอย่างนั้น
ในวันที่เหนื่อยล้ากับงาน

                   ..ผมนึกย้อนกลับไปถึงวันที่ยังยากจน..พ่อได้ปลาช่อนมาตัวหนึ่ง แม่ต้มปลาช่อนตัวนั้นใส่น้ำปลาร้าแล้วตักมาบิเอาเนื้อปลาโขลกกับพริก เติมน้ำต้มปลาร้าลงไปจนเต็มครก เติมเกล็ดใสของผงชูรสอีกเกือบครึ่งซองเพื่อทดแทนรสของเนื้อปลาที่เจือจางเต็มที เราทั้งบ้านกินข้าวเหนียวกับปลาป่นเจือจางนั้นมาเกือบทุกมื้อ นาน ๆ จึงจะมีลาบหมูลาบควายกินกันบ้าง 


      ผมคล้ายจะนึกออกแล้วว่าตัวตืดก้อนเท่ากำปั้นที่ตกลงไปในหลุมถ่ายทุกข์หนนั้นมาจากไหน และเหตุใดมันสมองของผมและคนในชนบทส่วนใหญ่จึงเทียบกับความฉลาดปราดเปรื่องมีชีวิตมะลังมะเลืองของผู้คนจำนวนน้อยในสังคมที่พากันฉลาดเหลือ และร่ำรวยแบบรั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่


วันนี้ ..ผมมองเห็นเด็กชายผิวกร้านผอมกะหร่องหลายคนนั่งเล่นอยู่ตามร่มไม้ ข้างอาคารเรียน พวกเขาเอามือบีบบี้ขากางเกง ในทันทีก่อนที่ตัวตืดจะตกและติดแหมะเข้าที่ขา ที่ข้อเท้าให้คนอื่นเห็น 

ณ                  นาทีนี้ที่ผมเป็นครูสอนพวกเขามองเห็นภาพเหล่านี้จากหน้าต่างบนอาคารเรียน ผมบอกได้ว่าคุณภาพชีวิตของผู้คนชนบทก็ยังแทบจะไม่ต่างไปจากเดิม เด็ก ๆ วัยรุ่นมัธยมจำนวนหนึ่งอาจจะมีมือถือพูดคุยไร้สาระอวดกัน แต่ผมรู้ 

พ่อแม่ของพวกเขาหาเงินใช้หนี้กองทุนหมู่บ้านแทบเลือดตากระเด็น


&				
9 เมษายน 2547 07:05 น.

มรณกรรมของเหยี่ยวเดือนห้า - TSH

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

5.35 ปิดประตูห้องสัมภาระเก็บแผงกระจายความร้อน
06.50 ผู้บังคับการและนักบินสวมชุดสีส้มเข้าประจำที่นั่งด้านหน้าซ้ายและขวา
07.15 จุดเครื่องยนต์เป็นเวลา 2 นาที ครึ่ง พายานออกจากวงโคจร
07.44 เข้าสู่ขอบบรรยากาศที่ระดับ 121 กิโลเมตร อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น
07.53 ศูนย์ควบคุมพบว่า ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดันสำหรับระบบไฮดรอลิกที่บังคับแฟลบปีกซ้ายบกพร่อง
07.56 ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดันที่ระบบลงจอดในห้องเก็บล้อด้านซ้ายรายงานการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในสายเบรกและล้อ
07.58 ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดัน 3 ตัวที่ปีกซ้ายซึ่งฝังอยู่ในโครงสร้างของยานเสียหาย
07.59 ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดัน 8 ตัวที่ปีกซ้ายซึ่งทำหน้าที่วัดอุณหภูมิและความดันในล้อเสียหาย


เหยี่ยวเดือนห้า(ชื่อกระสวยอวกาศลำแรกของทัย) จากลำนารายณ์(สถานีควบคุมภาคพื้นดิน) เราเห็นข้อความเกี่ยวกับความดันยางของคุณและเราไม่ได้ยินข้อความสุดท้ายจากคุณ


รับทราบเออ

ผู้บังคับการยานตอบแล้วสัญญาณก็ขาดหายไป ไม่มีคำพูดอีก การส่งข้อมูลอัตโนมัติหยุดลง


นั่นตรงกับวันที่ 4 มีนาคม 2978 เวลา 8.00 น. เวลาในทัย
กระสวยอวกาศเหยี่ยวเดือนห้าอยู่สูง 63 กิโลเมตรเหนือมาบตาพุด เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าเสียง 18.3 เท่า หมดหวังที่จะพบผู้รอดชีวิต
        
           ประเทศทัยทดลองการบินสู่อวกาศครั้งที่สองโดยยานเหยี่ยวเดือนห้าลำเดิม ภายใต้รหัสปฏิบัติการ TSH-107 เที่ยวบินนี้มีนักบิน 7 คน ได้แก่[ข้อมูลขัดข้อง]
ไม่มีใครคิดว่าเที่ยวบินนี้จะเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของกระสวยอวกาศชื่อเก๋ลำนี้ โดยเฉพาะการบินกลับสู่โลกนั้นไม่เคยมีประวัติการระเบิดเสียหายเกินสองครั้ง ครั้งนี้ได้สร้างความเจ็บปวดและสะเทือนใจไปทั่ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ ของนาซ่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2529 และกระสวยอวกาศโคลัมเบีย ของนาซ่าเช่นเดียวกัน  เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546


432 ปีที่ผ่านมาประเทศต่าง ๆ มีความพยายามที่จะถีบตัวขึ้นเป็นประเทศแถวหน้าด้านอวกาศ ตามหลังญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป ประเทศทัย หรือประเทศอื่น ๆ บางประเทศก็คล้าย ๆ กัน แม้ว่าตัวเลขจีดีพีจะสูงลิ่วทะลุเพดาน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังจนอยู่มาก ทั้งนี้เนื่องจากรายได้ประชาชาติมาจากรายได้ที่กระจุกอยู่กับชนชั้นนำของประเทศเท่านั้น 
  โครงการทดลองการบินสู่อวกาศครั้งที่สองนี้ถ้าประสบความสำเร็จก็จะเป็นการประกาศชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่และสิ้นเชิงของกลุ่มทุนร่วมระหว่างธุรกิจอีดูเทนเม้นต์และธุรกิจสเต็ทยีนีติกโมดิฟายด์
โครงการนี้ต้องชะลอตัวลงอย่างน้อย 2 ปี นักวิเคราะห์ระดับสูงกล่าว 

สอดคล้องกับที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบินของ PPS ระบุเอาไว้ว่า ประเทศทัยมีปัญหาสำคัญ-ไม่ใช่เรื่องเทคนิคการบินหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางจริยธรรมชนชั้นที่ฝังรากลึกยากแก่การแก้ไขในช่วงอายุขัยหนึ่ง ๆ
      

อัตถวินิบาตกรรมบนเหยี่ยวเดือนห้าของนักบินซึ่งสืบสายโลหิตมาจากใต้ถุนสังคม เป็นข้อสรุปแบบฟันธงของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว

อะจึ๋ย !				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์