16 มีนาคม 2551 06:48 น.

::ดาวบางดวง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ผมเคยเขียนกลอนในชื่อ ดาวบางดวง แล้วครั้งหนึ่ง   นั้นก็นานมาก  วันนี้ผมอยากเขียนอีกเป็นเรื่องสั้น

    ผมมีแผนที่ดาวอยู่แผ่นหนึ่ง  มันเป็นกระดาษแข็งที่เป็นวงหมุนได้รอบ  เดือนนี้ วันที่เท่านี้  ณ องศาประมาณนั้น  เราจะได้เห็นกลุ่มดาวกลุ่มนั้น  และในดาวกลุ่มนั้นก็จะเห็นดาวดวงที่มีแสงแจ่มที่สุดดวงนั้นดวงนั้น     ผมเพลินมากในคืนที่ดาวพราว   นอกจากได้นึกคิดเรื่องดาวผมยังได้คืดถึงคนที่ผมศรัทธา

    ดาวไม่เจิดจ้าอย่างตาวัน   แต่ดาวก็แจ่มต่อใจ ในยามค่ำคืนที่โลกรายรอบมืดมิด     


    สังคมของเราเวลานี้เหมือนยามวิกาลที่ผู้คนอยู่ในความหลับไหล   ผู้เกิดใหม่ไม่น้อยเดินหลงอยู่บนทางที่คดเคี้ยวที่ข้างทางเป็นหลุกขวากและหุบเหวลึกสุดประมาณ   และผู้ใหญ่เองก็ไต่อยู่บนเส้นลวดของศักดิ์ที่ต้องรักษาสภาพด้วยการยอม แม้กระทั่งการสละโอตตัปปะและหิริ     ดังนั้นแม้แสงแห่งดาวจะน้อยนิด ก็ยังเป็นแรงใจให้ได้คิดในยามที่โลกรอบตัวหม่นหมองมืดมน   ว่า..สังคมนี้คงมีความหวังอยู่บ้าง

   มองไปในท้องฟ้ายามราตรี  ดาวบางดวงหรี่แสงราวจะเร้นตัว   แต่ความจริงนั่นเป็นเพราะกลุ่มเมฆที่ทยอยทะมึนบดบังต่างหาก   

   เมื่อนึกได้ว่าดวงดาวนั้นอยู่ยืนยาวกว่าเมฆทะมึน  ผมก็รู้สึกชื่นใจขึ้นอย่างประหลาด   ผมนึกถึงคนทำงานเพื่อสังคมในประเทศของเราแล้วก็มีความหวัง    ท่านเหล่านั้นเหมือนดาว ในดวงใจของผู้คน

    ........


    คุณนึกถึงใครบ้างครับ   ที่เป็นดาวบางดวงในหัวใจของคุณ


    ท่านหนึ่งในหลายท่านที่ผมนึกถึง   มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนท่านอื่น ๆ ผมเรียกสิ่งนั้นว่าอุดมคตินะครับ    อุดมคติเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ที่ผู้คนต้องการไปถึง   ผมเชื่อว่าเพราะมีสิ่งนี้ท่านเหล่านั้นจึงยังคงทำงานของท่านอยู่อย่างเกินขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาทำได้ 

    ผมเห็นท่านขี่รถเครื่องสีดำคันเก่ามาก ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ลูกศิษย์ของท่านอยู่ เพื่อติดตามผลว่าสิ่งที่ท่านสอนลูกศิษย์ได้ลงมือทำหรือยัง   เพียงแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้านลูกศิษย์ทุกบ้าน โดยยังไม่คิดไปถึงว่าจะผลักดันให้ลูกศิษย์ลงมือทำงานเพื่อให้มีอยู่มีกินอย่างไร ก็ยังเกินขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้แล้วครับ  เพราะหมู่บ้านที่ต้องไปมีเป็นร้อยหมู่บ้าน อยู่ต่างตำบลต่างอำเภอทั้งนั้น     นี่แหละครับดาวบางดวงที่ผมจะเล่าให้ฟัง
    
     ถิ่นที่ผมอยู่ผู้คนยากจนมาก  เป็นพลเมืองชั้นสามที่เห็นได้ชัดมากเมื่อไปทำงานรับจ้างตัดอ้อยแถบภาคตะวันตก  นายจ้างจะรีดเอาแรงงานให้คุ้มกับเงินทุกเม็ดที่จ้าง  งานหามร่งหามค่ำเพื่อให้ทันกับความเร่งรีบที่จะต้องส่งอ้อยเข้าหีบทำให้นายจ้างใส่ยาขยันลงไปในน้ำดื่มอย่างไม่ลังเล   และมากกว่านั้นก็คือใช้เงินตกแรงงานไว้ข้ามปีเพื่อให้มีทาสผู้ซื่อสัตย์ไว้รีดเรี่ยวแรงไม่รู้จบ  พ่อแม่ของเด็กจำนวนไม่น้อยอยู่ในสภาพแบบนี้คือไปทำงานต่างถิ่นแล้วส่งเงินกลับมาบ้านเพื่อให้ลูกและตายายซื้อข้าวกิน


      นอกจากขายแรงงานแถวภาคตะวันตก  คนถิ่นผมยังจากบ้านไปทำงานเมืองหลวง  งานเกือบทุกประเภทที่มีจ้างอยู่ในนั้นคนบ้านผมจับจองพื้นที่แล้วทั้งนั้น  ทุกคนทำงานโดยไม่มีเวลาบ่น เพื่อส่งเงินกลับบ้าน

      อาชีพดั้งเดิมในไร่นา ได้เปลี่ยนรูปแบบไปจนแทบไม่เหลือร่องรอยของเดิมแล้ว  เช่นจากไถปักดำเก็บเกี่ยวด้วยแรงงานสัตว์และคนก็เปลี่ยนไปเป็นจ้างรถไถญี่ปุ่นทำแทนทุกอย่าง  ต้นทุนทำนาที่แต่เดิมมีเพียงแรงกายก็กลายเป็นแรงเงินที่แลกมาจากหยาดเหงื่อที่กรุงเทพ  นาที่เคยอุดมจากมูลสัตว์บัดนี้แม้จะพึ่งปุ๋ยเคมีก็ยังยากแล้ว  เพราะดินกระด้างเกินเยียวยา

      
       เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธ.ก.ส. บอกว่าเงินที่ชาวบ้านส่งกลับมาแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท  แต่หนี้ที่ชาวบ้านมีอยู่กับ ธ.ก.ส.มากกว่านั้นร้อยเท่า  ตัวเลขที่พูดถึงไม่ได้นับหนี้นอกระบบเข้าด้วย  เงินที่สะพัดมากในเขตบ้านย่านตลาดคือเงินหวยใต้ดินและล็อตเตอรี่  มากกว่าเงินซื้อกินด้วยก็ว่าได้   

      
     ตัวเลขก็คือตัวเลข  ชีวิตจริง ๆ คือ ชาวบ้านยังอด ๆ อิ่ม ๆ คือไม่ได้อิ่มทุกมื้อ  บางเดือนเงินจากทางไกลก็ไม่มา  หรือมาก็ฝืดเคือง  ความรักจากทางไกลไม่เป็นสิ่งที่หวังได้  ชีวิตบ้านนอกอาจต่างจากชีวิตในเมืองในหลายมุม  แต่บัดนี้มีมุมหนึ่งที่เกือบคล้ายกัน  นั่นคือเริ่มเลี้ยงลูกด้วยเงินและทีวีเหมือนกัน   เด็ก ๆ ไม่ได้สัมผัสการโอบอุ้มอบรมจากพ่อแม่เพราะเขามีแต่เวลาหาเงินไม่มีเวลาให้ลูก  ลูกไม่อาจพึ่งความมั่นคงทางใจจากพ่อแม่ก็ไปพึ่งความมั่นคงทางเงินจากทางอื่น   เด็ก ๆ หัวหมุนเมื่อมีปัญหา  ใครก็ช่วยไม่ได้  เพราะปัญหาของเขาคือปัญหาทางใจ

     
   ชาวบ้านที่ไม่ไปจากถิ่น  มีชีวิตที่อัตคัตทีเดียว  พืชผักที่เคยมีให้เก็บกิน  ปูปลาทีมีให้ดักจับเอา  ข้าวที่มีในยุ้งบัดนี้อยู่ในสภาพแร้นแค้นแล้วทั้งหมด  เพราะพวกเขาได้สูญเสียที่ดินผืนใหญ่ดั้งเดิมของตน  มาครองที่ดินผืนเล็กผืนใหม่ที่ได้จากการบุกเบิกป่าบนที่สูง   ที่ที่ว่านี้แทบจะไม่เหลือความอุดมสมบูรณ์เพราะตะกอนดินถูกชะล้างไปในการปลูกมันสำปะหลังในปีที่สองที่สาม  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  พวกเขาเอามันที่หัวเล็กเท่าหัวแม่เท้าไปขายเพื่อซื้อข้าวมายาไส้   ครอบครัวส่วนใหญ่เริ่มเป็นอย่างนั้น   ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือพวกเขาหลายคนเริ่มจะสูญเสียที่ดินผืนใหม่อีกรอบเพราะมันทำอะไรไม่ได้ก็ต้องขายออกไปเพื่อซื้อข้าว

    นั่นเป็นสิ่งที่ดาวดวงที่ผมนับถือเล่าให้ฟังและเพ่งมองลงไป  ผมเห็นและคุณก็อาจจะเห็น

==============================================

     คุณเชื่อไหมครับ   ว่าดาวดวงที่ผมพูดถึง  ท่านได้ไปเยี่ยมนักเรียนครบทุกคน  รู้จักบ้านของเด็กทุกบ้าน   รู้ว่าเขามีกินหรืออดอยาก  รู้ว่าเขาลำบากหรือสุขสบาย     ท่านบอกผมว่า   หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเด็กวัยเรียนจึงหนีออกจากห้องเรียน แต่ท่านไม่สงสัยแล้ว    เด็กไม่อยากเรียนเพราะเขาเรียนไม่ได้  เขาไม่มีใจที่จะเรียน  ที่น่าเป็นห่วงมากก็คือหลายคนถึงขั้นไม่เห็นค่าของสิ่งที่ว่านั้น  ปัญหาของเด็กหลาย ๆ คน คือเขาขาดที่พึ่งทางหัวใจ   เมื่อเรียนไม่ได้เขาก็ไม่มีความสุขที่จะอยู่ในห้องเรียน เทียวหนีเรียนให้ครูไล่ตาม  บางคนเป็นหนักเข้าก็ต้องย้ายที่เรียน   ไปเรียนที่อื่นก็เหมือนเดิมคือเรียนไม่ได้ ไม่อยากอยู่   เมื่อออกไปอยู่นอกห้องเรียนก็ก่อปัญหาให้สังคมเดือดร้อนสารพัดสารพัน

    
     ไม่ใช่แต่เด็กที่มีปัญหา   ผู้ปกครองของเด็กก็มีปัญหา  อยู่คนละทาง  อยู่ต่างถิ่น  หาเงินตัวเป็นเกลี่ยวเพื่อส่งให้ลูก  ไม่น้อยเลยที่พ่อแม่แยกทางกันเพราะความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ  ภาระหนักตกอยู่กับย่ายายตาปู่ที่ดูเหมือนจะสื่อสารกับลูกหลานได้ยากขึ้นทุกวัน   ปัญหาลักษณะนี้มันหนักหน่วงข้นเข้มขึ้นทุกวัน  จนหลายคนนึกไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาโดยเริ่มต้นตรงไหน

       ดวงดาวที่ผมพูดถึง ท่านบอกว่ามันต้องเริ่มที่การศึกษา   ถ้าการศึกษาสนใจที่จะแก้ปัญหาพวกนี้   มันมีทางเป็นไปได้   แต่ระบบการศึกษาทุกวันนี้ไม่เป็นอย่างนั้น

      มันเป็นยังไงหรือครับ

      ท่านว่า....
    

      มันเหมือนการซื้อหวยล็อตเตอรี่  ที่จะมีคนถูกรางวัลอยู่ไม่กี่คน   การศึกษาของเราก็เป็นแบบนั้น    มันมีคนอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้นแหละที่จะโชคดีได้ทีต้น ๆ ในการแข่งขันเรียนและหางานทำ  มีคนจำนวนน้อยนิดที่จะได้งานที่ดีทำ  ที่เหลือนอกนั้นทั้งหมดต้องดิ้นรนหางาน แทบไม่ต่างจากผู้ใช้แรงงาน   ที่น่าห่วงก็คือหลายคนคิดสร้างงานเองไม่ได้  ต้องคอยเป็นลูกจ้าง รับจ้างเพื่อให้มีเงินซื้อกิน  แต่การศึกษาก็ไม่สามารถที่จะสร้างคนที่มีสมบัติที่ดีเพียงพอต่อการเป็นลูกจ้างที่ดี  จนบริษัทต่าง ๆ บ่นไปตาม ๆ กันว่า  พวกเขาต้องฝึกลูกจ้าง
เอาใหม่  บางแห่งต้องตั้งโรงเรียนเอง    นั่นเป็นปัญหาที่พอเห็นทางออก   แต่พวกที่ไม่ถูกหวยล่ะ  แม้รางวัลเลขท้ายก็ไม่ถูก  คือพวกที่เรียนก็เรียนไม่ได้   งานก็แทบไม่มีจ้าง   พวกนี้จะอยู่อย่างไร    ก็มาเป็นแบบที่ท่านว่า  คือบุกเบิกพื้นที่ป่าเขาไปข้างหน้า  เพื่อที่จะปลูกพืชทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดินอย่างสูง เพื่อจะมีเงินซื้อกินในปีที่สอง  ปีที่สามก็อยู่ไม่ได้  ต้องบุกรุกไปอีก  ที่เดิมก็ตกเป็นของคนมีเงินในเมือง  ลูกหลานที่ออกมาก็มีปัญหาเดียวกัน  แต่หนักหน่วงน่าเหนื่อยหน่ายกว่าอีก

    ปัญหาพวกนี้ไม่มีทางออกเลยหรือครับ  ผมถาม  ท่านตอบว่า

     มี   ถ้าเราเข้าถูกที่ แก้ถูกทาง  ทางไหน ใช่ไหม      นี่ไง   ที่การศึกษานี่ไง...  

============================


      เพื่อประกอบคำตอบ ท่านได้ชวนผมไปบ้านนักเรียนด้วย  เมื่อได้เห็นผมถึงกับอึ้ง   ถึงนาที่นี้ผมจึงพึ่งเข้าใจว่าทำไมเด็กจำนวนไม่น้อยจึงไม่อยากเรียน   ก็เขาจะเอาใจที่ไหนไปเรียนเล่าครับ

       อนาคตของประเทศเหล่านี้อยู่อย่างแร้นแค้นมาก   เรือนชานของพวกเขาเหมือนคนมีอายุที่ซวนเซจะล้ม ทั้งค่อนข้างรก ไม่เป็นระเบียบ  ขยะพวกถุงพลาสติกหูหิ้วเกลื่อนอยู่รอบบ้าน  พวกเขาไม่มีเวลาที่จะเอาใจใส่เรื่องพวกนี้  เพราะปากท้องต้องการเวลานั้นมากกว่า   ทุกที่ที่ท่านพาไปดูเป็นแบบนี้เกือบทั้งนั้น  พ่อแม่เขาไม่อยู่ก็ไม่มีคนที่จะคอยกำชับให้ดูแลเรือน  ตายายที่แก่เฒ่ามากก็ยังต้องดูแลเรื่องกับข้าวกับปลาของหลานเหลนทั้งที่แบเบาะและกำลังอยู่ในวัยเรียน   ภาพที่เห็นชวนสลดใจยิ่งนัก   ถ้าผมไม่ตามท่านไปผมก็ยังจะคิดว่าไม่มีภาพแบบนี้  และตัวเลขจีดีพีของประเทศที่ผมรับรู้ก็คงจะยังไม่สวนทางกับตัวเลขความอยู่ดีมีสุขของคนยากจนอยู่ต่อไปอีก

       คุณเชื่อไหมครับ ว่ามีเด็กอายุไม่ถึงสิบสองปีดีต้องรับผิดชอบครอบครัว  ทำงานหาเงินซื้อข้าว  คุณเชื่อไหมครับว่ามีเด็กอายุไม่ถึงสิบสามปีดีต้องขาดเรียนในบางวันเพื่อไปรับจ้างเพื่อให้มีเงินมาโรงเรียน  และคุณเชื่อหรือไม่ว่ามีด้วยเหมือนกันที่เด็กอายุไม่ถึงสิบสี่ปีดีที่ต้องทำทุกอย่างแบบผู้ใหญ่เพื่อให้ตัวเองและน้องรอดจากความหิวโหย     สิ่งเหล่านี้ยังมี  ยังเห็นได้เมื่อผมตามท่านลึกเข้าไปในหมู่บ้าน    

        ถึงวันนี้ผมจึงไม่สงสัยเลยต่อปัญหาสังคมที่มันเหมือนกับเร่งระดมเข้ารุกฆาตความอยู่เย็นของคน

        การศึกษาของเรารับรู้เรื่องพวกนี้และมีทางแก้ไหม  ทางไหนที่จะทำให้การศึกษาแก้ปัญหาความอดอยากยากจนได้  หรือว่าการศึกษาก็เหมือนการซื้อหวยล็อตเตอรี่จริง ๆ  ผมคิดในขณะที่ตามท่านจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง


==========================

       "ข้าว คือเอทีเอ็มของชาวบ้านนะ  ถ้าชาวบ้านมีข้าวในยุ้ง  ชีวิตของเขาก็ไปได้ดีขั้นหนึ่ง   แต่ทุกวันนี้เขาปลูกข้าวไม่ค่อยได้   ดินมันเสื่อมความสมบูรณ์  คุณดูสิ  แถวนี้อีกหน่อยก็ไม่ต่างจากทะเลทรายแล้ว"   ท่านพูดขณะที่ขี่รถเครื่องไปช้า ๆ และชี้ให้ผมดูผืนนาแล้ง ที่ตอซังข้าวกรอบแกร็นปลิวหมุนไปในลมร้อนที่พัดวนเป็นวง    

       "ปีนี้ผมจะให้นักเรียนปลูกข้าว  โดยใช้ที่ดินน้อย ๆ  แต่ให้ผลผลิตสูงที่สุด   ปีที่แล้วผมให้นักเรียนเลี้ยงปลาและปลูกผักเป็นอาหาร เขาทำได้ดีพอสมควร  เดี๋ยวคุณก็จะได้เห็นในหมู่บ้านข้างหน้าโน้น"

        แล้วผมก็ได้เห็นจริง ๆ ว่าเด็กที่เรียนวิชาเลี้ยงปลาปลูกผักประสบผลสำเร็จคือมีปลาและผักเป็นอาหาร   การสอนแบบนี้จึงเป็นการสอนที่เขาใช้ประโยชน์ในวันนี้ได้จริง ๆ  ใช่ไหมว่า ความอดอยากไม่สามารถรอให้อิ่มในสิบยี่สิบวันข้างหน้า หรือจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัย

         "ผมขี่รถเครื่องไปตามหมู่บ้านแบบนี้มาเกือบสิบปีแล้วนะ  ถ้าไม่บ้าแบบผมทำไม่ได้หรอก"   ท่านว่าแล้วก็หัวเราะ

          "แต่ผมว่า  มีแต่คนบ้า ๆ เท่านั้นแหละที่โอบอุ้มสังคม"   คราวนี้ท่านหัวเราะเสียงดังมาก      รถเครื่องกำลังพาเราเข้าหมู่บ้านที่เงียบเชียบหมู่บ้านหนึ่งแล้วนะครับ

====================================
   
           ผมได้คำตอบต่อคำถามเดิมครบถ้วน เมื่อออกจากหมู่บ้าน   แต่มันก็มีคำถามใหม่เกิดขึ้นอีก     คำถามใหม่ก็คือระบบการศึกษาของเราเห็นว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่เป็นปัญหาจริงหรือไม่    ในขณะที่เราพุ่งเป้าไปที่การแข่งขันในเวที่โลกไร้พรมแดน  เราเห็นแผลเน่าที่กัดกินเนื้อในตนเองอยู่หรือไม่   แผลจากความอดอยากแร้นแค้น และความหมดหวัง  ถ้ามองเห็น ถามว่าเราจะเริ่มกันที่ตรงไหนในระบบการศึกษา


            ก่อนจากดาวที่ผมเคารพนับถือมา  ผมถามท่านแบบติดตลกว่า  ถ้าผมเป็นหัวหน้ารัฐบาลและรับผิดชอบกระทรวงจัดการศึกษา  หากผมถามท่านว่าจะให้ผมทำอย่างไร  ท่านกล้าที่จะบอกตรง ๆ ไหม

            ดวงดาวของผมหัวเราะเสียงดังปานฟ้าคำราม และว่า

            "นี่แหละปัญหาสำคัญของการศึกษาไทย   คนใหญ่มองไม่เห็นปัญหาของคนเล็ก  ๆ  และคนเล็ก ๆ ก็ไม่กล้าบอกปัญหากับคนใหญ่  ๆ     ขอบคุณมากที่บอกผม  เดี๋ยวผมจะเตรียมการบ้านไว้   เผื่อว่าวันหน้าอาจจะมีคนมองเห็นคนทำงานในระดับรากหญ้าแบบบ้า ๆ แบบเรา เข้ามาถามว่าจะให้ผมทำยังไง  "

========

           
           ผมลาจากท่านมาแล้ว  แต่ภาพและงานของท่านยังแจ่มอยู่ในหัวใจของผมไม่เลือนลบลงได้   ค่ำคืนที่ผมมองดาวบนท้องฟ้า   โดยไม่ต้องดูแผนที่ดาว  ผมก็รู้ว่า ดาวบางดวงของผมอยู่ที่ไหน   ใช่ครับ  ผมมีดาวบางดวงอยู่ในใจ  เพื่อเป็นพลังในการยืนหยัดอยู่ต่อสู้กับความท้อถอยที่เข้ามาเยือนเป็นบางคราว

            ผมนึกแล้วก็ยิ้มกับคำของตัวเองด้วยที่ว่า ก็มีแต่คนบ้า ๆ ทั้งนั้นที่ช่วยกันโอบอุ้มสังคม

            ขอบคุณครับดวงดาวของผม				
9 พฤษภาคม 2557 11:43 น.

::ความรักในมุมมองของบุษบา::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ooo  บุษบาเป็นเพื่อนรุ่นน้องของผม ตอนนี้เธออายุเข้าปูน 40 แล้วครับ  แต่ยังไม่แต่งงาน    ยังไม่แต่งงานนะครับ ไม่ใช่ไม่ยอมแต่งงาน

ผมพบเธอครั้งหลังสุดในงานคืนสู่เหย้าของสถาบันเก่าเมื่อต้นปี  เธอถามผมว่า พี่มีลูกกี่คนแล้วคะ  ผมบอกไปตามตรงและถามเธอคืนบ้าง  เธอก็ว่า ยังหาพ่อของลูกไม่เจอ

เธอบอกผมว่า   เธอคิด   ว่าชีวิตครอบครัวคือชีวิตที่เปี่ยมสุข    ผมหัวเราะในใจในความไร้เดียงสาในความรักของเธอ     ขณะที่คิดว่า     รึว่า.. เพราะเธอมองความรักสวยสดงดงามบริสุทธิ์แบบนั้น  เธอจึงหาคนรักตามแบบในอุดมคติไม่พบ

"ได้ยินจากรุ่นพี่ ๆ  ว่าชีวิตครอบครัวของพี่อบอุ่นมีความสุข  หนูก็นึกอยากมีครอบครัวแบบพี่บ้าง"   

ผมหัวเราะแทนการพูดตอบ

"ถ้าหนูมีครอบครัว หนูคิดว่าครอบครัวของหนูต้องมีความสุขอบอุ่นแน่ๆ  แต่แหม  ทำไมมันถึงมีคู่ที่คู่ควรกันยากนักนะ"

ผมหัวเราะอีก แล้วจึงถามบ้าง

"เพื่อนของบุษบา  มีใครยังครองโสดอยู่บ้าง"   คำถามยังไม่สิ้นกระแสเสียงดีเธอก็ตอบสวน

"เป็นสิบ"


ผมยังจำน้ำเสียง สีหน้าของบุษบาและคนอ่น ๆ ได้ บรรยากาศในงานเลี้ยงวันคืนสู่เหย้านั้นจะคุยกันจริง ๆ จัง ๆ อย่างอยากคุยคงไม่ได้แน่   หลายอย่างผมตั้งใจไม่ตอบเธอ   ผมเพียงถามไปว่า   เห็นดาราออกทีวีเลิกกันไหม   อะไรที่ทำให้ครอบครัวมีความสุขแน่ ๆ   และมันมีความสุขจริง ๆ หรือ


แม้บรรยากาศไม่เอื้อที่จะถามจะตอบเธอก็ยังบอกอย่างเชื่อมั่นว่า   ชีวิตครอบครัวคือชีวิตที่มีความสุขที่สุด


=====================================

ตอนเป็นนักศึกษาในคณะเดียวกันกับผม บุษบาแทบจะไม่แสดงท่าทีสนใจหนุ่ม ๆ คนไหนทั้งสิ้น  ปีแรก ๆ เธอเรียนอย่างเดียว เหมือนเด็กเรียนทั่วไป ใครมาจีบเธอก็ทำเป็นไม่รู้ อย่างตอนนั้น คนที่จีบเธอชวนไปดูหนังเธอก็ไปแต่ไม่ใช่ไปสองต่อสองกับคนชวน  เธอชวนเพื่อนทั้งกลุ่มไปด้วย เพื่อน ๆ ของเธอทั้งหมดได้ดูหนังที่มีคนออกตังค์ให้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ไปไหนเรียกว่าอยู่ในสายตาของเพื่อนทั้งนั้น เป็นความฉลาดในการรักษาน้ำใจคนอย่างหนึ่งกับเป็นความเฉลียวในการสงวนท่าทีด้วยอีกอย่างหนึ่ง

ปีสองปีสามมา บุษบาเปลี่ยนไปครับ  จากเด็กเรียนอย่างเดียวกลายมาเป็นนักกิจกรรมตัวยง    เธอทำงานในสโมรของนักศึกษาหลายอย่างตั้งแต่ทำค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติไปจนถึงค่ายรักการอ่านสำหรับเด็ก ๆ ในโรงเรียนห่างไกล  พรรคพวกที่ไปดูหนังด้วยกันเธอชวนมาทำงานบำเพ็ญประโยชน์นี้จนหมด   คนที่เคยจีบเธอพากันทยอยผละออกไปทีละคนเพราะอดทนที่จะทำงานค่ายไม่ไหว

ในที่สุดเมื่อบุษบาขึ้นมาเป็นประธานชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท  คนที่คิดจะจีบเธอก็ถึงกับหัวหดเพราะกลัวจะออกความคิดสู้เธอไม่ได้  ที่สำคัญก็คือชมรมมีกฎเหล็กที่ห้ามคนในชมรมแสดงออกต่อกันแบบหนุ่มสาว   อาจจะรักกันได้ แต่ไม่ให้แสดงท่าทีครอบครอง เป็นเจ้าของ

ผมได้รับเชิญจากบุษบาในฐานะศิษย์ร่วมโรงเรียนเดิมด้วย พี่คณะด้วย ให้เป็นฝ่ายศิลปะของชมรม  มีหน้าที่เขียนป้ายผ้า ทำคัตเอาท์  ทำหนังสือ  บางทีก็ขึ้นเล่นดนตรีร้องเพลงบนเวทีสโมสรนักศึกษา เพื่อต้อนรับน้องใหม่ด้วย   ผมยอมรับว่าความคิดความอ่านทางการเมืองสู้บุษบาไม่ได้ตั้งแต่แพ้โต้วาทีระดับมัธยมที่โรงเรียนเก่าของเราแล้วล่ะครับ  ผมไม่ได้รู้สึกเสียหน้านะครับเพราะผมคิดว่าถ้าแข่งวาดรูปบุษบาก็แพ้  เรามีดีคนละอย่าง ยอมรับกันเสียก็ไม่ต้องข่มกันให้อยู่ลำบาก   ผมรับปากบุษบาครับว่าจะช่วยงานทุกอย่างตามที่ร้องขอ

ผมถนัดเรื่องงานใช้แรง  บุษบาถนัดงานใช้หัว   เธอวางแผนได้รอบคอบส่วนผมก็รับผิดชอบได้เรียบ    พี่...น้ำในถังหมด   ผมก็แบก     พี่...ปลาในอ่างตาย   ผมก็เปลี่ยนออก   พี่..หนูเรียกเล่น ๆ ดอก   ผมก็ไม่เอะอะ    เรียกว่าผมเกือบเป็นพี่รับใช้บุษบาก็ว่าได้   บุษบาจึงปรึกษาผมด้วยความสบายใจ  แม้ในเรื่องใกล้เคียงกับความรัก  ประเภทหนูจะเลือกใครระหว่างคนนั้นกับคนโน้น   เขารักหนูหรือว่าจริง ๆ เขาแค่ชอบ  อะไรแบบนี้   ผมก็ตอบไปตามประสา   ซึ่งผมเชื่อว่าบุษบาก็ถามไปอย่างนั้นเอง  เธอมีความคิดเป็นของตัวเองแน่ชัดยิ่งนัก

ในวงสนทนาของชมรม ผมไม่ค่อยได้แสดงความฉลาดมากนัก  เพราะไม่มีประเด็นใหม่ไว้เสนอ เพียงแต่จับประเด็นที่กำลังพูดคุยกันได้แม่น   ดังนั้นเมื่อบุษบาพูดผมจึงฟัง  แต่ถ้าเขาเสียงดังไม่ตรงประเด็นผมก็ได้ท้วงบ้าง  ชมรมเป็นทั้งที่ฝึกตนและชุบตัวของคนสนใจกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์   ใครก็ตามที่ผ่านชมรมนี้ไปเมื่อได้การงานทำเขาจะขึ้นเป็นผู้นำได้ไม่ยาก  เพื่อน ๆ ที่ดูหนังด้วยกันกับบุษบาครานั้นบัดนี้เป็นผู้บริหารไปเกือบหมดแล้ว

ผมเล่าให้ฟังเพื่อให้เห็นว่าบุษบานับถือผม และผมก็ชื่นชมบุษบาครับ


เมื่อผมเรียนจบบุษบาจัดงานเลี้ยงให้   เธอกับเพื่อนทำกับข้าวง่าย ๆ กินกันในชมรมเพื่อแสดงความยินดี   ผมอวยพรให้ทุกคนที่ทำงานด้วยกันประสบความสำเร็จในชีวิต  ทุกคนก็อวยพรกันให้สมหวังในสิ่งดี  ๆ   ซึ่งผมก็สมหวังหลังจากจบไม่ถึงสองปีดี   มีครอบครัว     แต่หลังจากที่บุษบาส่งการ์ดอวยพรและของขวัญแต่งงานให้ผมแล้ว ผมก็ไม่ได้ข่าวจากเธออีกเลย   จนเมื่อวันงานคืนสู่เหย้าที่ผมเล่าตอนขึ้นต้นเรื่องไปแล้ว

=======================

หลังจากที่เจอกันในงานวันคืนสู่เหย้า ที่บุษบาให้เบอร์อีเมลและเบอร์โทรศัพท์แก่ผมไว้ เราก็ได้พูดคุยทางไกลกันหลายหน   นั่นแหละที่ทำให้ผมได้รู้ว่าบุษบากำลังครุ่นคิดเรื่องครอบครัว

"พี่รับอีเมล์ของหนูด้วยนะ   หนูเขียนยาวเป็นวาเลย  อ่านแล้วอย่าเพิ่งหัวเราะ   ให้ช่วยวิเคราะห์ด้วยว่าคนที่เป็นแบบหนูนี่จะมีความสุขกับการมีครอบครัวได้ไหม   ขอบคุณพี่ล่วงหน้ามากๆนะ   แฟนพี่และลูก ๆ คงมีความสุขดีนะคะ"

บุษบาคุยโทรศัพท์ไม่ยาวนัก  เรื่องที่ยาวๆ เธอให้ผมไปอ่านเอาในจดหมายอีเล็กทรอนิกส์   เพื่อให้เห็นมุมมองความรักของเธอ  ผมขอถือโอการตัดจดหมายมาแปะให้อ่านเลย  ตรงไหนไม่ควรอ่านออกอากาศ  ผมก็จะทำจุดไข่ปลาไว้แทน   เริ่มเลยนะครับ


......................

ถึงพี่สมโชค  เจตนาจริงใจที่นับถือ

ได้เกริ่นเรื่องนี้กับพี่ทางโทรศัพท์แล้ว    จึงขอเข้าเรื่องเลย    เรื่องมันเป็นยังงี้ค่ะ      หนูได้รู้จักกับเขาเมื่อปีที่แล้ว   เขามาที่โรงเรียนเพื่อจัดอบรมเด็กเรื่องคุณธรรมของมนุษย์     ทันทีที่เห็นเขาหนูรู้สึกศรัทธาโดยไม่มีสาเหตุ  ถ้อยคำที่เขาพูด  น้ำเสียงที่ได้ยิน   มันเป็นอะไรที่หนูเคยคาดหวังอยากได้ยิน   เด็กๆที่หนูดูแลอยู่พากันตื่นเต้นในกิจกรรมที่เขาให้เด็กได้มีส่วนร่วม   ครั้นเมื่อกิจกรรมนั้นจบ  เด็กๆพากันร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง   หนูไม่อายเลยที่จะพูดว่าหนูแอบรักเขาอยู่เงียบ   ๆ   พี่ก็คงรู้ว่าหนูก็ไม่ได้รักใครง่าย ๆ  แต่คนนี้  ใช่เลย

หนูขอที่อยู่และและอีเมล์ของเขาเพื่อที่จะได้พูดคุยด้วย   เขาให้นะคะ   เราจึงได้ติดต่อกัน  แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ   ส่วนมากเขาจะเป็นคนให้ข้อคิดเห็นเสนอะแนะในการใช้ชีวิตที่หนูต้องทึ่ง   อึ้งไปเลยก็มี  ทั้งหมดนั้นมันทำให้หนูมีความรู้สึกดีมากกับการมีครอบครัว    แต่ก่อนก็เคยเถียงกันกับพี่นะ   หนูจำได้พี่ยังเคยพูดเลยว่า   ชีวิตครอบครัวมันเป็นชีวิตที่สุข ๆ ทุกข์  ๆ  ชีวิตแบบคนโสดน่ะมีความสุขกว่า ตอนนั้นพี่ว่าอยู่เป็นโสดน่ะดีกว่า   หนูว่า ไม่ เป็นโสดมันเหมือนชีวิตขาดอะไรไปซักอย่าง เช่นความรักแบบพ่อแม่  ความรักแบบผู้ให้  อะไรแบบนั้น   เราเถียงกันเอาจริงเอาจัง จนหนูคิดว่าพี่จะครองชีวิตโสด   ที่ไหนได้   พี่หนีไปแต่งงานก่อนหนูอีก    แสดงว่า  ที่พี่พูดกับที่พี่คิดเป็นคนละอย่าง    หนูพูดไม่ผิดใช่ไหมคะ   

กลับมาที่ประเด็นเดิมนะ   ....หนูผิดไหมที่ไปแอบรักเขา   ที่ถามเพราะมันไปไกลถึงขั้นอยากแต่งงานกับเขาด้วย     เขาเป็นนักบวชน่ะค่ะ...


อ่านข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาถึงตรงนั้นผมก็ถึงกับอึ้ง   แหมบุษบามาไกลมาก   ผมจะตอบคำถามนี้ได้หรือครับ  ผมยังสอบไม่ผ่านใบประกาศนักจริยธรรมศึกษาเสียด้วย   ออกความเห็นไปก็เกรงว่าจะเป็นบาปกรรมเปล่า ๆ      จดหมายของบุษบาทำให้ผมต้องหันหน้าเข้าหาหนังสือจิตวิทยาและธรรมะ   อ่านไปก็มึนไป   ไม่ใช่มึนในความไม่เข้าใจหนังสือ    มึนตรงที่มันหาคำตอบไม่เจอ


เธอผิดไหมครับที่ไปรักเขาถึงขั้นอยากแต่งงานด้วย

======================

ผมยังไม่ตอบ แต่ได้เล่าเรื่องของความรักระหว่างนักบวชกับหญิงชาวบ้านคู่หนึ่งที่ในที่สุดฝ่ายชายเป็นฝ่ายตกลงใจละผ้าคลุมกายสีกลักมารับรักหญิงผู้ส่งปิ่นโตยามเช้าและก่อนเที่ยง    ชาวบ้านรุมสวดกันทั้งหมู่บ้านในการที่นางเป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายทำลายศรัทธาของผู้คนที่คาดหวังจะไปดีในโลกใหม่หลังความตาย   ความรักนั่นแหละที่ทำให้นางเลือกทางนั้น  คือครอบครองใจของชายผู้เคยครองศรัทธาของชาวบ้านร้านตำบลไว้เพียงลำพัง   นางคาดหวังเขาเติมเต็มหัวใจดวงเหงา  อันเนื่องมาจากคู่คนเก่าละโลกไปนานแล้ว    ผมเห็นคู่ผัวเมียคู่นี้อยู่กินกันอย่างเงียบเชียบ  ราวไม่กล้าที่จะเหยียบย่างไปที่อื่นใด ด้วยกลัวภัยของแรงดีดกลับแห่งศรัทธา    เขาทำมาค้าขายไม่ขึ้น  เพราะคนไม่อยากคบค้าด้วย   นางทำมาค้าขายไม่รุ่งเรือง เพราะคนที่เคยเป็นคู่ค้าต่างก็เคืองในกรรมอันนั้นแห่งนาง  สีหน้าของเขาทั้งคู่หม่นหมองลงมาก   ผิดจากคราวที่เขายังเป็นนักบวชตอนนั้นผิวผ่อง ราศีจับปานมีแสงเรืองรองจากกายจนสะกดใจใครต่อใครได้

ผมถามเธอว่า   ถ้าบุษบาตกอยู่ในภาวะเช่นนี้จะรับได้ไหวไหม  แต่ผมก็บอกว่าผมยืนยันได้แน่ ๆ ว่า คนทั้งคู่รักกันจริง ๆ ไม่ใช่การที่ฝ่ายหญิงคิดปอกลอกเอาทรัพย์ของอีกฝ่าย 


ผมส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปตามที่อยู่ของบุษบาแล้ว    แต่การตอบกลับยังไม่มี   โทรหาก็คล้ายว่าบุษบาไม่รับสาย   เสียงที่ตอบกลับมาบอกว่าสายนี้ยังไม่เปิดบริการ


===========================

ในที่สุดผมก็ได้รับโทรศัพท์เบอร์ใหม่จากบุษบา  เธอว่าได้อ่านเมล์แล้ว  และเธอว่าเรื่องมันพลิกไปอีกทาง  

"เขาฝากคนอื่นมาบอกหนูนะพี่ ว่าที่ผานมาน่ะขอโทษด้วย   เขาไม่อยากให้ผู้คนสูญเสียความศรัทธาที่เขาอุตส่าห์สั่งสมมายาวนาน เขาจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้หนู  ..  หนูอึ้งนะพี่   คือไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าหนู่รักเขา   หนูไม่ได้บอกเขานะ   ที่หนูว่าหนูอยากแต่งงานกับเขา  หนูก็จำได้ว่าไม่เคยพูดออกไป    ก็อาจมีบ้างตรงที่หนูบอกว่าหนูมีความรู้สึกดี ๆ ที่ได้พูดคุยกัน "

ผมเงียบฟังถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากใจของสาวน้อยเพื่อนร่วมสถาบัน  เธอว่าเขาน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้   ทำแบบนี้มันน่าสงสารอย่างไรไม่รู้    คนเราแค่มีความรู้สึกดี ๆ   รักก็รักอยู่ในใจ ไม่ได้บอกให้ใครต้องลำบาก  ทำไมจะต้องคิดว่าเป็นความชั่วร้ายนักหนา    

"ถึงตอนนี้หนูคิดว่าหนูกำลังมีข้อสรุปเรื่องความรักนะ....พี่ยังฟังอยู่ใช่ไหม.."

ผมบอกให้บุษบาพูดต่อไป   ผมยังฟัง

"..คือว่าถึงยังไงหนูก็ยังมีความรู้สึกดี ๆ กับความรักนะ  อยากมีครอบครัวอบอุ่นมีความสุข  ถ้าหนูเป็นแม่ของลูกหนูจะทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด  หนูจะทำให้ครอบครัวเปี่ยมไปด้วยความสุข   แต่ถ้าหนูไม่มีวาสนาที่จะมีครอบครัวจริง ๆ หนูก็จะวาดภาพนั้นไว้ในใจ   เพื่อให้พอได้นึกฝันเอาแค่เลา ๆ ก็ยังดี.."

ผมบอกบุษบาว่าผมยิ้มต่อถ้อยคำของเธอ   ถึงเวลานี้ ผมเชื่อว่าเธอคงไม่ต้องการคำตอบใด ๆ จากผมแล้ว


ก่อนจบคำสนทนาทางโทรศัพท์  ผมไม่ลืมที่จะอนุโมทนาสาธุในการที่เธอจะหันหน้าเข้าหาวัดเพื่อสงบจิตใจอีกครั้ง    

"ถ้าน้องพบทางพ้นทุกข์   อย่าลืมพี่นะบุษบา"   

เสียงจากโทรศัพท์ได้ยินชัดเจนว่าเธอลากเสียงค่อนข้างยาว และคงปนยิ้ม ๆ				
10 มีนาคม 2551 20:12 น.

::อุ้มเจ้ากะเปี๊ยกกระเตง- ต่างเดิน::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

น้ำตาของผมและน้องรินอาบแก้ม  เมื่อได้ยินคำถามว่าใครจะเลือกไปกับใคร ระหว่างพ่อกับแม่   นาทีนั้นผมรู้สึกว่าคงไม่มีความขมขื่นใดโหดร้ายเท่านี้อีกแล้ว    พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันหรือครับ  หรือว่าจริง ๆ แล้วความรักที่พ่อกับแม่มีต่อเราน้อยนิดกว่าความเกลียดชังที่มีต่อกัน จนต้องหันหลังแยกทางให้เราเลือกในสิ่งที่เราไม่ต้องการ

   
    พ่อแต่งงานกับแม่แต่ยังต้องอยู่บ้านพ่อตา    ตามีลูกเขยหลายคน   ในบ้านนั้นพ่อเป็นลูกเขยที่จนที่สุด  มาจากครอบครัวชาวนาผิดกับลูกเขยใหญ่และลูกเขยรองที่ทำมาหากินโดยการรับเหมาและค้าขาย  

    ผมโตขึ้นมาท่ามกลางการเหยียดเย้ยหยามหยันด้วยหางตาและถ้อยคำของลุงใหญ่และคนอื่น ๆ แม้ว่าผมจะเป็นหลานที่ตารักมากก็ไม่ใช่สิ่งที่จะชดเชยความเกลียดชังที่คนอื่น ๆ มีต่อผมได้ ทุกคนในบ้านหวาดระแวงผมกลัวผมจะหยิบฉวยเอาข้าวของเงินทองที่พวกเขาบอกว่าผมและพ่อเป็นคนอื่น  ถ้อยคำที่ผมจดจำได้คือถ้ามึงจะไปอยู่กับพ่อก็อย่าได้กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก  ตอนนั้นผมงุนงงสงสัยว่าทำไมเขาจึงอยากให้พ่อไปในขณะที่เหมือนอยากให้ผมอยู่  ตอนหลังผมรู้ว่ามันคือข้อต่อรองของผู้ใหญ่เพื่อจะได้เป็นฝ่ายไม่เสียเปรียบ

    เวลาตาไปเที่ยวไหนมักได้ของเล่นชิ้นเล็ก ๆมาฝากผมเสมอ แต่ว่า..  สิ่งของที่ตาซื้อให้ผม หลานของตาคนอื่น ๆ จะมาแย่งเอาคืนหมด หรือไม่ก็ทำให้มันแตกพังแล้วหัวเราะเสียงดังสาใจ ผมไม่อาจโต้ตอบ ผมไม่ชอบการต่อยตี  และที่สำคญผมเป็นแค่คนอาศัยในบ้านนั้น  ผมไม่มีบ้านที่จะอยู่ได้ยืนยืดไหล่เหมือนใครเขา

    พ่อสร้างเรือนหลังใหม่โดยต่อออกมาจากยุ้งข้าวที่บ้านของปู่  ผมเทียวแวะเวียนไปหาพ่อเพราะอยากจะอยู่กับพ่อคุยกับพ่อแต่ผมก็กลัวกลัวคนในบ้านแม่จะเห็น ผมหวาดกลัวต่อภัยจากน้ำเสียงแลสายตาของพวกเขาที่ทำให้ผมรู้สึกราวเป็นสัตว์ที่รอเศษก้างที่เขาโยนให้กิน

      สิ่งที่ทำให้เขาจงเกลียดจงเกลียดชังพ่อและผมถึงขั้นทนกันไม่ได้คือเขากลัวว่าพ่อจะแย่งชิงทรัพย์สินมรดกที่เขาสมควรได้  เขาอาจไม่แสดงต่อผมต่อหน้าตาด้วยสีหน้าหรือคำด่าทอรุนแรงก็เพราะเขาเกรงใจตา   แต่เมื่อถึงวันที่เขาได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างตาก็หมดความหมาย  ผมโดนเขาดุด่าที่เอาของกินในบ้านไปให้พ่อ  ผมไม่มีอะไรที่จะสื่อให้พ่อรู้ว่าผมรักนอกจากเศษขนมที่ผมมี   ตาให้ขนมแก่ผมแต่เมื่อผมเอาขนมไปให้พ่อทุกคนในบ้านก็รุมด่าว่าอ้ายขี้คอก พวกคนทุกข์   นั่นเองที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะออกจากบ้านหลังใหญ่ไปอยู่บ้านต่อยุ้งกับพ่อ
   
     ผมไม่รู้ว่าแม่รักพ่อหรือไม่    เพราะทุกถ้อยคำที่คนบ้านใหญ่พูดถึงพ่อในทางไม่ดี  แม่ไม่เคยแก้ต่าง   หลานตาคนอื่นว่าผมว่าเป็นหมาหลายเจ้ากินข้าวหลายเรือน  เพราะผมแอบไปหาพ่อแอบคืนเรือนมาหาแม่  ถ้าตาไม่อยู่ผมไม่กล้าที่จะกลับบ้านหลังใหญ่   วันที่ผมเสียใจที่สุดก็คือวันที่แม่ดุผมว่าไม่รู้จักเวล่ำเวลา เถลไถลไม่อยู่บ้านอยู่ช่อง  ผมเสียใจเพราะผมไม่ได้เถลไถล  ผมไปหาพ่อ  ผมมีความสุขที่จะอยู่บ้านหลังเล็กๆกับพ่อ

     ผมได้อยู่กับพ่ออย่างจริงจังในไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อตากับยายเสียลงในเวลาไล่เลี่ยกัน  บ้านหลังใหญ่เปลี่ยนชื่อเจ้าบ้านเป็นคนใหม่  ผมเป็นคนไปชวนแม่มาอยู่ด้วย   แม่ร้องไห้ คล้ายกับนึกอับอายที่ได้ทำบางอย่างไว้กับพ่อ   ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญในตอนนั้น  ตอนที่ผมขอให้พ่อรับแม่มาอยู่ด้วย   พ่อพูดเพราะมากว่า  ไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าของแม่มาเถิด

=========================================

000
    
     แม่ก็อาจเหมือนผม ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของบ้านนั้น  แม่จึงจากมันมาง่ายดายกว่าที่ผมคาด   ญาติของแม่แทบจะไม่สนใจตอนที่แม่กับผมหิ้วกระเป๋าเดินจากมา  ผมถามแม่ว่าแม่สบายใจไหม   แม่ไม่พูดแต่พยักหน้าน้อย ๆ 

     ที่บ้านของปู่   พ่อกลับไปใช้ชีวิตแบบปู่  คือปลูกอยู่ปลูกกิน   ช่วงแรก ๆ ในชีวิตการมีครอบครัวของพ่อ ผมคิดว่าพ่อไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้   เพราะพ่อตาและเขยใหญ่เป็นฝ่ายกำหนดให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้  เมื่อพ่อมาทำตามแบบของตัวเองผมเห็นพ่อยิ้มอยู่ภายในใจ

     งานบ้านในบ้านต่อยุ้งไม่ยุ่งเหยิง  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเรามีข้าวของน้อย  มีห้องที่ต้องปัดกวาดเช็ดถูน้อย  มีภาระที่ต้องรับใช้คนอื่นน้อยลง  ผมเองได้แบ่งเบาภาระของแม่เต็มที่ไม่ต้องคอยผละไปทำงานที่คนอื่นบอกว่าเร่งด่วนกว่า   เมื่องานบ้านมีน้อยผมก็มีเวลาที่จะทำงานกับพ่อมาก   ผมชอบงานที่ก้าวหน้าของพ่อ

     ผมเห็นพืชผักของพ่อตั้งแต่มันแทงยอดพ้นขึ้นมาจากดินอ่อนนุ่ม มันยิ้มรับแสงและยิ้มให้ผม  ผักในสวนมีหลายอย่างทั้งรสจืดและข้นขม กลิ่นก็มีหลายแบบทั้งฉุนกึกและจางกว่า  ผมไม่ค่อยเห็นมดแมลงกวน  พ่อไม่ใช้ยาฆ่าแมลง พ่อเพียงจัดการมันด้วยมือกับปลูกพืชผักพวกนั้นคละกันจนแมลงมันมึน   ผมแอบยิ้มและมีความสุขที่สุดในวันที่แม่เดินเข้าไปเก็บผักในสวนมาทำกับข้าวให้พวกเรากิน   น้องของผมชอบคะน้าผัดปลาเค็มฝีมือแม่  ส่วนผมชอบต้มจืดมะระฝีมือพ่อ   ความจริงผมแทบเกลียดรสขม  แต่เมื่อพ่อว่าค่อย ๆ กินทีละน้อย  ของขมมักเป็นยาทำให้ชีวิตยืนยาวผ่องใสผมจึงทำใจยอมกินและรู้สึกกับมันดีขึ้น  

    เมื่อผักของพ่อมีมากและหลากหลายขึ้นก็มีคนจากตลาดมาซื้อผักที่บ้านต่อยุ้งของเรา   ตอนหลังพ่อบอกเขาว่าจะเอาไปส่งให้ก็ได้  ผมเลยมีงานหลักอีกอย่างเพิ่มขึ้นมาคือส่งให้เจ้าประจำ    คนทำงานในอำเภอที่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้กับบ้านของปู่มีเยอะแยะมากที่อุดหนุนพ่อ เพราะเห็นว่าพ่อมีอัธยาศัยดีกับผักของเรามีความปลอดภัย  ผมได้เห็นแม่ยิ้มอีกครั้งหลังจากที่แม่ไม่ได้ยิ้มมานานมากในวันที่ผมเอาตังค์ค่าผักให้แม่เก็บ

    ผมอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปที่บ้านหลังใหญ่  ผมอยากเอาผักไปให้เขากิน  แต่กลัวเขาจะเหยียด   ผมอยากจะบอกว่าผักของผมอวบ ผมก็กลัวเขาจะหยัน  รอยจำภาพหยามเย้ยด้วยหางตามันไม่เคยลบออกไปได้

    แต่ในที่สุดพ่อก็ให้ผมเอาผักไปให้ลุงใหญ่  เลือกคะน้าที่อวบที่สุด   เลือกฟักทองที่สวยที่สุด   เลือกถั่วฝักยาวที่กรอบที่สุด  เลือกมะเขือที่หวานที่สุดใส่ตะกร้าใบใหม่ที่สุดให้แม่พาไป  บ้านนั้นรับ   แต่ไม่ยิ้ม   แต่เท่านั้นผมก็รู้สึกว่าตนเองมีความสุขล้นเหลือ   แม่ก็คงเหมือนกัน   ป้าแอบหยิบของที่ขายอยู่หน้าร้านให้เรา เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองซอง    นั่นก็ทำให้ผมได้คิดถึงคำพูดของพ่อที่ว่าอย่างไรเสียคนในสายเลือดเดียวกันก็มีเยื่อใยต่อกัน

    ที่บ้านต่อยุ้งของพ่อ มีต้นไม้ค่อยโตขึ้นหลายต้น  ส่วนมากเป็นไม้ผลพันธุ์แปลกที่มีคนเอามาฝากพ่อ   ไม้ผลธรรมดาพื้นบ้านก็มี  แต่ที่มีมาก ๆ คือกล้วยที่เรากินเองไม่หวาดไม่ไหว  พืชชนิดนี้เองที่ทำให้แม่ได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ   ผู้หญิงจากบ้านหลังใหญ่ที่หม่นหมองซึมเศร้ามาค่อนชีวิต   มายิ้มสดใสได้บ้างก็ตอนที่มาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ยังไม่เป็นบ้านดี  ผมนึกแล้วก็หัวเราะในความช่างสังเกตของตัวเอง


============================

000


      เมื่อชีวิตมีความสงบสุข ผมก็มีเวลาสังเกตสิ่งรอบตัวที่งามง่ายมากขึ้นแทนที่จะต้องเงี่ยหูฟังว่าเขาจะด่าหรือพูดกระทบกระเทียบอย่างไร   ผมเพิ่งสังเกตเห็นนกตัวเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือของเด็ก ๆ  ตัวสีดำ ๆ ปีก มีแถบสีแดง ๆ  ส่งเสียงจิ๊บ ๆ  บินมาจับร้านฟักทอง กระโดดไปกระโดดมา   ผมเห็นแล้วว่านกคู่นั้นทำรังน้อย ๆ ไว้ที่กิ่งกระโดงคู่ของต้นทับทิม  ที่เพิ่งสูงท่วมหัวของผม  นอกจากนก ผมยังได้เห็นผึ้ง ทั้งผึ้งหลวงและผึ้งมิ้ม  บินมากินน้ำหวานและเคล้าเกษรดอกไม้  แต่ก่อนผมไม่ได้ยินเสียงผึ้ง  คงเป็นเพราะหูผมคอยแต่จะฟังว่าเขาด่าหรือนินทาอะไร  เสียงผึ้งนั้นเพราะ เหมือนตาปะขาวเป็นหมู่สวดมนต์อยู่งึม ๆ  และนานแล้วที่ผมไม่ได้ยินพ่อเป่าขลุ่ย  วันนี้ได้เห็นและได้ยินเพลงลูกทุ่งจากขลุ่ยของพ่อกับได้เห็นแววตาชื่นชมที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจากดวงตาของแม่    สิ่งที่ผมได้เห็นวันนี้   แหม..ทำให้ผมมีความสุขมากแท้


      ไม่นานเลย ขณะที่บ้านของเราเงียบลงอย่างกับวัด  บ้านหลังใหญ่กลับมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นดังขึ้นแทน  เจ้าบ้านคนใหม่คงเมามาย  เสียงตะคอกขู่จึงดังยิ่งกว่าดังเหมือนเสือคำราม   มือที่เงื้อง่าออกท่าจะตบตีไม่ต่างจากอุ้งเท้าสัตว์ที่เตรียมตะปบสัตว์อ่อนแอกว่า  เขามีเรื่องอะไรต้องทะเลาะกันอยู่หรือครับ  ใคร ๆ ในหมู่บ้านก็รู้ว่าเรือนหลังใหญ่นั้นมีอะไรทุกอย่าง  สมบูรณ์พร้อม   คุณคงไม่เชื่อเด็กอย่างผมดอกครับ  ถ้าผมจะพูดว่า  บ้านนั้นขาดความรัก

    ทะเลสงบเพราะพายุไม่ปรากฏตัว   ครั้นเมื่อฟ้าคลั่ง  ทะเลก็ประดังคลื่น  บ้านใหญ่เกิดเรื่องระหองระแหงมีปากเสียงเพราะป้ารู้ว่าบ้านเล็กบ้านน้อยที่บัดนี้กำลังท้องอ้างความเป็นเมียอีกคนอยู่ด้วย   ความหึงหวงได้ทำให้ความเงียบดังทะเลเรียบกลายเป็นคลื่นทะเลใหญ่ที่กำลังโถมเข้าใส่กองทรายปากอ่าว  เด็ก ๆ บ้านนั้นร้องไห้กระจองอแงเมื่อเห็นพ่อแม่ของเขาทะเลาะกัน  ถ้าตากับยายอยู่คงได้เป็นคนห้ามทัพ   แต่นี่คนตัวใหญ่เสียงดังที่สุดในบ้าน  ไม่เป็นที่ไว้วางใจของใครต่อใครเสียแล้ว  ใครจะห้ามสงครามในครอบครัวนี้ได้หรือครับ  นอกจากพวกเขาจะห้ามใจตัวเอง   ผมไม่อยากเล่าต่อ  เพราะมันไม่ต่างจากหนังที่ฉายทางทีวี

    ผมได้เห็นน้ำตาของลูก ๆ ของลุงรินอาบแก้ม เมื่อเห็นพ่อแม่ของตนตีและด่ากัน     พวกเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไหมครับ   บางทีความรักที่พ่อกับแม่มีต่อกันอาจะน้อยกว่าความเกลียดชังที่กำลังเพิ่มขึ้นเมื่อรู้เต็มอกว่าอีกคนหนึ่งกำลังโกหกและนอกใจ   ก่อนการแยกทางจะเริ่มต้นขึ้น  ผมได้ยนเสียงพวกเขาเถียงแบ่งสมบัติและแบ่งลูกกัน


     เสียงร้องไห้ยังดังระงม


     ผมก็ได้แต่คาดหวังว่าพวกเขาจะกลับคืนหากัน

     ด้วยความรัก				
8 มีนาคม 2551 08:17 น.

::กรุณายืนยันข้อมูล::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ผมไม่ใช่โปรแกรมเมอร์  เป็นแค่นักใช้เครือข่ายสเปซเน็ตยามค่ำคืน    ตอนกลางวันผมมีภาระอื่นที่จะต้องทำเยอะแยะ   กวาดบ้านถูบ้าน    ปลูกพืชผัก  เลี้ยงสัตว์    ถามว่าประชาชนชั้นสามแบบผมรู้เรื่องสเปซเน็ตได้อย่างไร   ไม่มีคำตอบที่ควรหรอกครับ    ผมก็ใช้ไปเพราะมีให้ใช้  คุณก็รู้ ว่ารัฐเขาติดตั้งระบบสเปซเน็ตให้กับประชาชนทุกบ้านแล้วบังคับทยอยเก็บเงินค่าเช่าคู่สายเป็นเวลา 30 ปี   ผมใช้สเปซเน็ตเพราะมันมีให้ใช้    แต่คุณครับสเปซเน็ตมันติดผมน่าดู  มันชอบใจภาษาของผม  ไม่ใช่แอสกี เอชทีเอ็มแอล อะไรทั้งสิ้นครับ  ภาษาที่ผมค้นพบโดยบังเอิญคือภาษาพี   ( P=ภาษาสามัญที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกันทุกเครือข่ายรับรู้และโต้ตอบได้ โดยที่ผู้ออกแบบระบบไม่ได้ออกแบบไว้  แต่เครื่องและเครือข่ายของเครื่องพัฒนาหรือสร้างไปเอง-ผู้เขียน)

    หน้าจอสีฟ้าของคอมพิวเตอร์ของผมคงต่างจากหน้าจอของคนอื่น   เครื่องของผมมันหอนก่อนที่มันจะแฮ้งค์  คำนี้บังเอิญพ้องกับคำว่าฮ้างในพจนานุกรมไทยตะวันออกเฉียงเหนือ ฉบับ ก.พ.255x  - อ้างแล้ว   ผมไม่มีปัญญาตามช่างมาซ่อมหรือยกไปให้ช่างซ่อมให้  ก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น  แต่ไม่กี่วันต่อมามันก็เข้าได้อีกครั้ง   เข้า คือเปิดใช้งานได้  ศัพท์นี้ทุกคนรู้ แต่หน้าจอไม่เหมือนเดิมซะแล้วครับ

    ผมพิมพ์อะไรลงไปมันก็โต้ตอบ  แต่ไม่ใช่โต้ตอบแบบ bad command ในเครื่องรุ่นหน้าจอดำยุคแรก ๆ นะครับ  มันโต้ตอบแบบไม่ซ้ำแบบที่ถ้าใครไม่สังเกตจะคิดว่าเครื่องมันคงรวนอะไรซักอย่าง  แต่ไม่เลยครับ

   สิ่งที่ทำให้ผมฉุกใจคิดก็คือ  เครื่องมันให้ผมยืนยันข้อมูล   ถ้าผมยืนยันได้  เครื่องมันจะตอบโต้  แต่ถ้าผมมั่วมันก็ดูเหมือนจะมั่ว

   ภาษาที่ผมใช้  รูปแบบอักษรไม่เหมือนอักษรคันจิ อักษรรูปภาพแบบจีน อักษรเทวนาคี อักษรขอม  อักษรโรมัน หรือแม้แต่อักษรดัดแปลงรุ่นหลัง ๆ   ผมไม่ได้คิดภาษานี้เองนะครับ  มีคนออกแบบแล้วติดแปะที่แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ไว้ให้   เมื่อลองใช้ซ้ำไปซ้ำมาผมก็ชินและชอบ

    ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบทสนทนาที่หน้าจอของผมในเย็นวันหนึ่งครับ
    ผมเคาะแป้นพิมพ์ดีดรัว แต่ไม่มั่ว เคอร์เซอร์กระพริบช้าที่ c://


c://    คุณอยู่แดนใดหรือ
x://    ไร้แดน ทุกแดน  ต่างแดน  แดนเดียวกัน  หลายคำตอบ   คุณอยู่แดนดงใช่ไหม

c://    ใกล้เคียง   คุณมีลูกเมียไหม
x://     กรุณายืนยันข้อมูล
c://     ผม   spsx-13 ยืนยัน
x://     ไม่มีการออกแบบระบบเพศและการสัมพันธ์ทางเพศ
c://     ขอโทษครับ 
x://      ลืมมันเถิด

        หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่าสเปซเน็ตติดผม  หรือผมติดสเปซเน็ต    จริง ๆ ครับ  ทุกเย็น นี่หน้าจอสีฟ้า ขึ้นตัวหนังสือสีขาวรอผมแล้ว
  
       ดูตัวอย่างข้อความต่อนะครับ


x://      คุณ spsx-13  ถ้าเข้ามาแล้วกด  f12  ควบ f6  รับข้อความข่าวด้วย

      เมื่อผมทำตามบอก ก็ได้อ่านเรื่องราวที่คล้ายบทวิเคราะห์สังคมและเศรษฐกิจอยู่เรื่อย ๆ  มีบางครั้งเหมือนกันที่เป็นเรื่องอื่นๆ  ที่ผมก็ไม่เข้าใจ


         ตัวอย่างถัดมา

x://      คุณ spsx-13  ถ้าเข้ามาแล้วกด  f3  ควบ f1  รับข้อความคำถาม และกรุณายืนยันข้อมูลเพื่อเทียบแหล่งอ้างอิง

       หรือตัวอย่างนี้


x://      คุณ spsx-13  ถ้าเข้ามาแล้วกด  f11  ควบ f5  เพื่อช่วยออกแบบรูปแบบสำหรับการดำรงชีพแบบจำกัดอาหาร

         พอนะครับ  เดี๋ยวตาลาย

       มีเรื่องราวที่ทำให้ผมได้คิด   ทดลอง  และเรียนรู้หรือออกความเห็นอยู่เรื่อย ๆ   ในสเปซเน็ต  ผมอยากรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีข้อความอะไรส่งมาและผมต้องตอบอะไรไป  ชีวิตในตอนกลางวันของผมไม่ได้เป็นหน้าจอสีฟ้าหรอกครับ    ผมทดลองปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ของผมไปเรื่อยประสบผลน่าพอใจ  แต่ผมก็เคยเล่าให้ x:// ในสเปซเน็ตฟังว่า ผมทำอะไรอย่างไรบ้าง
    
    เช่นเรื่องการปลูกคะน้า  เคยคุยกันแบบนี้ครับ

c://   คุณรู้จักคะน้าปลีไหม
x://    ไม่มีข้อมูล
c://    ก็น่าจะอย่างนั้น   คะน้าปลีน่าจะไม่มีที่ไหนมาก่อน  เว้นแต่ที่ที่เขาแอบดัดแปลงลายพิมพ์กรรมพันธุ์
x://     น่าสนใจ
c://     ผมไม่ได้ตัดแต่งพันธุกรรมนะ   แค่สังเกตคะน้าบางต้นมีลักษณะแบบนั้น  ผมก็เก็บพันธุ์มันไว้
x://     น่าสนใจมาก
c://   เมื่อปลูกใหม่อีกครั้ง  คะน้าทุกต้นที่ได้จากต้นนั้นมีลักษณะเหมือนต้นเดิม

      
       ผมเคยอ่านหนังสือแปลเรื่องเฒ่าทะเล  เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนจะจบเรื่องผมนึกหัวเราะ  หัวเราะตรงที่มันละม้ายกับบางมุมของชีวิตผม   บางทีคนเราก็ต้องการใครซักคนที่จะรับรู้ถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวแม้เพียงน้อยนิดของตน

       ที่ผมมานั่งเฝ้าหน้าจอมอนิเตอร์ของสเปซเน็ตในทุกค่ำคืนดื่นดึก   ในมุมหนึ่งก็ไม่ต่างจากเฒ่าทะเลที่เล่าเรื่องปลาที่เขาต่อสู้กับมันจนได้ซากลากเข้าฝั่งให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งรับรู้      แม้ x:// จะมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่  นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม  ผมอาจเพียงต้องการใครซักคนหรืออะไรซักตนรับรู้เรื่องราวของผมบ้างเท่านั้น   การที่เขาหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่โต้ตอบกับผมได้โดยยืนยันข้อมูลที่เคยตอบโต้กับผมได้คล้ายจำหรือคิดได้ เพียงเท่านั้นผมก็ถือว่าความปรารถนาของผมสมหวังหรือบรรลุเป้าหมาย    ก็จะให้ผมคาดหวังอะไรไปมากกว่านี้เล่าครับ   ในเมื่อคนที่มีสติปัญญาและสถานะสูงส่งกว่าผมก็ยอมจำนนไปจนหมดสิ้นต่อสภาวะที่ผู้คนพลเมืองเป็นเหมือนวัตถุเดินได้ ใช้เงินซื้อให้ทำอะไรก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องยืนยันหรือไม่ยืนยันข้อมูล   

       ว่าแต่ว่าคุณสนใจที่จะพูดคุยกับ x:// ซักหน่อยไหม   ถ้าสนใจเริ่มต้นที่ ทำอย่างไรก็ได้ให้คอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแฮ้งค์อย่างรุนแรง  ปล่อยเครื่องไว้ซักพัก   ถ้าเครื่องเข้าได้เอง  คุณลองทำตามแบบที่ผมทำนะครับ   พิมพ์อะไรก็ได้มั่ว ๆ แล้วดูว่าเครื่องโต้ตอบอย่างไร   ถ้าเกิดหน้าจอสีฟ้าขึ้นแล้วเครื่องให้ยืนยันข้อมูล   บางทีคุณอาจเป็นคนที่สองที่ได้ใช้ภาษาพี ในโลกสเปซเน็ตแบบผม   ขอให้โชคดีครับ				
5 มีนาคม 2551 23:13 น.

::เอ็กซ์ บาร์เบอร์::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

เรื่องนี้ผมยืมชื่อเรื่องและตัวละครบางตัวจากสมุดวาดภาพลายเส้นของเด็กชายชาญวิชช์  นามโนรินทร์ ชั้น ป.5 โรงเรียนเชิงชุมราษฎร์นุกูล อ.เมือง จังหวัดสกลนครมาครับ   ค่าลิขสิทธิ์ชื่อเรื่องและชื่อตัวละครบางตัว ผมขอจ่ายเป็นค่าขนมให้เขานะครับ


000

    เอ็กซ์ บาร์เบอร์  เป็นชื่อเด็กหนุ่มแว่นหนา และเป็นชื่อกลางเรียกกลุ่มคนที่รับจ้างตัดผมทุกดาวจักรด้วย   เขาสวมเสื้อผ้าคงเอกลักษณ์  ผมสีทองอันดกแน่นตั้งชูราวกับเคลือบเจลมาแรมปี  ความจริงไม่ใช่  เขามีวิธีที่จะคงทรงของผมให้เป็นอย่างนั้น และเขาก็เป็นหนึ่งในช่างตัดผมธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาออกแบบและสร้างยานบินข้ามตะวันไปตัดผมให้ใครต่อใครก็ได้ที่ปรารถนาฝีมืออันสุดเนี๊ยบได้  

    ยานบินของเอ็กซ์  บาร์เบอร์ใช้น้ำเป็นเชื้อเพลิงด้วยหลักการที่นักวิทยาศาสตร์ยุคพิกโกเทคโนโลยีสั่นหัวปนส่ายหน้าต่อการอธิบายให้เข้าหลักของทฤษฎีการเปลี่ยนรูปพลังงานทุกเชิง   คุณเคยเห็นยานบินของเอ็กซ์ บาร์เบอร์หรือยังครับ   วันมะรืนถ้าเอ็กซ์บาร์เบอร์ ผ่านมาทางนี้ผมจะถ่ายรูปมาฝากนะครับ

     เสียงยานบินของเอ็กซ์ บาร์เบอร์เงียบฉี่เหมือนเสียงแมลงหวี่ตอมใบหู ความเร็วของยานไวปานหนังตากระพริบก่อนที่จะโดนแมลงกลิ่นพริกเข้าตา  รูปแบบยานแบบทรงกระบอกออกจะแหกจากกฎแอโรไดนามิกอยู่บ้างแต่เมื่อทำความเร็วได้พอเหมาะยานบินก็ไม่ต่างจากยานเหาะที่จะเคลื่อนในทิศทางใดๆก็ได้ทั้งแบบใบไม้ร่อนร่วงหรือนกกระเต็นดิ่งธารจับปลาซิวชะตาขาด

      ยานบินของเขาแม้จะเทียบกับไทม์แมชีนไม่ได้ก็ใกล้เคียง  ถ้าเพื่อนต่างดาวจักรเป็นมนุษย์นิยมผมยาวไว้หนวดไว้เครารุงรังงานของเอ็กบาร์เบอร์ก็คงไม่รุ่ง แต่นี่ทุกคนนิยมแบบหัวเกือบเกรียนช่างตัดผมอย่างเขาจึงยังคงต้องเดินทาง   อาชีพนี้ถึงจะไม่สงวนไว้สำหรับมนุษย์บางชนชั้น ก็เข้าใจเอาได้เองว่า คนมีฝีมือแบบเขาและผองเพื่อนเท่านั้นที่มีคุณค่าที่คู่ควรกับหัวของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาของทุกดาวจักร

       บรรดาอาชีพทั้งหมดในยุคของเอ็กซ์ บาร์เบอร์ นั้น   ช่างหากินกับหัว คืออาชีพที่สูงส่งและทำเงินสูงสุด  ข้อแม้ที่แม้ไม่ใช่กฎเหล็กสำหรับอาชีพนี้ที่ห้ามไม่ให้มีเมียนั้นได้ทำให้ผู้หัวใจไม่ซื่อถึงกับมือตกเอาดีไม่ได้ในการตัดผมมานักต่อนัก จนพวกเขาต้องละอาชีพนี้ไปสู่อาชีพที่ต่ำต้อยทั้งมวล

    เศรษฐีผู้มีอันจะกินอยู่บ้างในดาวจักรของเอ็กซ์บาร์เบอร์มักนิยมเดินทางระหว่างดวงดาวเพื่อใช้เงินรักษาสมดุลของเวลาของเซลล์คุมชีวิตและเซลล์อันเกี่ยวเนื่องกับการนึกคิดของตน    อันจะกินซึ่งเอ็กซ์ บาร์เบอร์หมายความถึงคือของกิน ที่เศรษฐีเลือก ไม่ใช่พืชผักที่ปลูกด้วยกรรมวิธีเชิงเคมี แต่เป็นผักธรรมชาติที่เป็นคู่เอื้อของกลุ่มจุลินทรีย์กลุ่มไม่พิสมัยออกซิเจน   ซึ่งผักพวกนั้นคนจนทุกคนทุกดาวจักรไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกและเกือบไม่มีสิทธิ์ที่จะกิน เนื่องจากราคาที่แพงแสนแพง   ผู้ผูกขาดความรู้และอุตสาหกรรมเกษตรสืบเนื่องกับอาหารจึงเป็นกลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลยิ่งในดาวจักรที่สรรพชีพต้องบริโภคอาหาร อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยกคนอย่างเอ็กซ์ บาร์เบอร์ไว้สูงกว่าเพราะสัมผัสสัมพันธ์กับหัวซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของความทรงภูมินั้น

     ถ้าจะนึกเทียบให้ง่าย เอ็กซ์ บาร์เบอร์ก็ไม่ต่างจากนักบวชที่แม้มาจากวรรณะที่ใครก็ไม่อยากแตะต้องเพราะต่ำต้อย เมื่อบวชแล้ว  ผู้คนกลับยกย่องยอมก้มกราบไม่เขินอายแม้ตนมาจากวรรณะสูงส่งกว่า

    เอ็กซ์ บาร์เบอร์   อืม...คุณไม่เคยได้ยินชื่อพวกเขาหรือครับ

     
    ไม่เป็นไรครับ


    เดี๋ยวเราก็จะได้รู้จักเอ็กซ์ บาร์เบอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ  

     คุณเคยคิดอยากเป็นช่างตัดผมหรือเปล่าครับ   ผมเคยคิดอยากเป็นนะ  ตอนที่ต้องไปรอคิวตัดผมนานเป็นชั่วโมง ๆ    แต่ตอนหลังเมื่อเห็นกับตาว่าช่างตัดผมทั้งหลายล้วนตัดผมให้ตัวเองไม่ได้ ผมก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นช่างตัดผม  หรือว่าแท้ที่จริงแล้วที่เอ็กซ์ บาร์เบอร์ไว้ผมทรงนั้นเป็นเพราะเขายากลำบากที่จะตัดผมตัวเอง  อืม..น่าคิดนะ

    ครั้งหนึ่งพรรคพวกของเอ็ก บาร์เบอร์พูดติดตลกกันว่ามหาเศรษฐีหัวเกือบเกรียนร้อยทั้งร้อยผ่านมือของเอ็กซ์ บาร์เบอร์มาแล้วทั้งนั้น  และว่าข้อที่จะพิสูจน์คำอ้างนี้คือถ้าคุณสามารถวัดความยาวของเส้นผมทุกเส้นบนหัวของใครก็ตามที่คุณสงสัยว่าเป็นฝีมือคอนโทรลปัตตาเลี่ยนของเอ็กซ์ บาร์เบอร์หรือไม่   ถ้าผมทุกเส้นบนหัวยาวเท่ากันหมด ผิดพลาดบวกลบไม่เกิน 0.09 ไมครอน อันนั้นเชื่อได้เลยว่าผมบนหัวนั้นผ่านการวาดปัตตาเลี่ยนฝีมือของเอ็กซ์ บาร์เบอร์แน่นอน   ณ นาทีนี้ถ้ามีคนวิจารณ์ ว่า เอ็กซ์ บาร์เบอร์คือนักตัดผมแห่งดาวจักรทางน้ำนมผู้สูงส่งเกินกว่าที่จะเรียกช่างผู้หากินบนหัวคนธรรมดา  คุณนึกอยากจะเห็นด้วยไหมครับ   ถ้ายังตอบไม่ได้ฟังเรื่องของเอ็กซ์ บาร์เบอร์ต่อครับ

        ผมได้ยินเพื่อนห่าง ๆ ของเอ็กซ์ บาร์เบอร์พูดคุยกันในทำนองที่ว่ารูปทรงของหัวและทรงผมของเหล่าชน   บางทีก็เป็นเครื่องหมายบ่งบอกสถานะในดาวจักร   ถ้าคุณสังเกตจะพบว่ากลุ่มชนยากจนข้นแค้นทุกขอบเขตของดาวจักรมีรูปทรงหัวที่บิดเบี้ยวทั้งนั้น  ยิ่งกว่านั้นเส้นผมที่ประกอบอยู่บนหัวก็แข็งกระด้างเหยิงยุ่งราวไม่เคยสัมผัสกับน้ำยาปรับสภาพผมยี่ห้อใด ๆ เลย    คงด้วยเหตุนั้นมั้งมหาเศรษฐีทั้งหลายจึงระมัดระวังเรื่องรูปทรงของหัวของลูกหลาน ไม่ให้ผิดพลาดบิดเบี้ยวเสียรูปเสียทรงอย่างเด็ดขาด

     เอ็กซ์  บาร์เบอร์  ในบางมุมนั้นละม้ายผู้ทรงศีลผู้นุ่งห่มถือครองผ้าย้อมฝาด  ยิ่งนัก  แต่ในมุมอื่น ๆแล้ว เขาก็เหมือนคนหนุ่มทั้งปวงที่มีพลังของวัยที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และคิดไปข้างหน้า

      เขายังปรับปรุงยานบินของเขาให้สามารถขับเคลื่อนได้นุ่มนวลขึ้นแม้ทิศการบินจะหักมุมฉีกกระชากอย่างไรก็ตาม    ส่วนหนึ่งที่ทำให้เอ็กซ์ บาร์เบอร์ คิดสิ่งใหม่ได้ไม่รู้จบ อาจเป็นเพราะเขามีวิธีทางจิตที่เฉียบคมอยู่ในตัว  ซึ่งสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีขึ้นหรือหามาได้ง่ายดายแบบใครๆก็มีได้ หรือทำได้  บรรดาความคิดและกระแสจิตอันเฉียบคมส่วนสำคัญล้วนมาจากการฝึกฝนทวนซ้ำอย่างฉกาจดุจการลับมีดสุดประณีตด้วยเป้าหมายที่จะผ่าครึ่งอณูของละอองฝนสาธิต

    เอ็กซ์  บาร์เบอร์ จึงมีฝีมือที่แตกต่างจากช่างตัดผมคนอื่นๆ   และนั่นจึงคล้ายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้มหาเศรษฐีทุกดาวจักรนึกถึงเขาแม้ผมบนหัวจะยังไม่ยาวถึงเกณฑ์ที่จะถากไถด้วยปัตตาเลี่ยนให้เกือบเกรียนแบบสกินเฮ้ด


    อา... โน่นไงครับ

    คุณได้ยินเสียงแมลงหวี่ไหม    ยานของเขาคงจะตรงมาทางนี้แล้ว    ถ้าโชคดีและเขามีเวลาพอเราอาจได้ทักทายพูดคุยกับคนหนุ่มที่มีชั่วโมงบินในเขตไร้อากาศมากกว่าใครที่สุด

    เสียงแมลงหวี่เงียบไปแล้ว  ยานบินของเอ็กซ์ บาร์เบอร์คงลงจอดเงียบเชียบใต้ร่มไม้ต้นใดต้นหนึ่ง   ใบไม้แห้งสองสามใบขยับเปลี่ยนตำแหน่งราวลมหนาวปลายเดือนกุมภาพันธ์กระซิบจะลาเหมันตฤดูสู่คิมหันต์  แผ่วเบาเพียงเท่านั้นเราก็รู้แล้ว ว่าวัตถุทรงกระบอก ยานบินของช่างตัดผมผมทองได้เข้ามาอยู่ในระยะสัมผัสของจักษุประสาทแล้ว

     ไม่ผิดจากที่นึกเลยครับ   ก่อนที่จะมองเห็นยานบินทรงกระบอกของเขา เราได้มองเห็นเจ้าของยานก่อนเสียอีก    เขาปรากฏตัวขึ้นราวลอดออกมาจากหน้าต่างมิติ   เสียงเดินที่เบาปานเท้าเลี่ยดิน  นั้นดูขัดกันยิ่งกับจังหวะและท่าเดินแบบคชสารสืบเท้า    สิ่งที่ชัดแจ่มที่สุดตรงหน้าเวลานี้คือใบหน้าของผู้มาเยือน   ความผ่องใสนั้นปานเดือนคืนเพ็ญ  มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ

    "สบายดีนะครับพี่"   เอ็กซ์  บาร์เบอร์ทักทายคนอื่นก่อนเสมอ   "คุณพ่อของพี่ยังอยู่ข้างในใช่ไหมครับ"

     ผมตอบแล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขาเข้าไปข้างใน  พ่อยังหลับตานั่งสมาธิอยู่ในบ้าน   

     "ผมนึกอยากมาไหว้ท่านนานแล้ว  เพิ่งสบโอกาสวันนี้เอง  ผมเพิ่งกลับมาจากแวะไปดูแลทรงผมให้ ฯพณฯท่านที่ทำเนียบเลยผ่านมาคารวะพ่อของพี่ด้วย  ดีใจครับที่ได้เจอพี่อีก"

     บทสนทนาของผมกับเอ็กซ์ บาร์เบอร์ ไม่สั้นไม่ยาวไปกว่าที่เขียน  คนที่เอ็กซ์ บาร์เบอร์อยากสนทนาด้วยคือฤาษีที่อยู่ในบ้านของผมต่างหากครับ ไม่ใช่นักเล่าเรื่องที่เอ็กซ์ บาร์เบอร์เรียกพี่คนนี้เลย

     "เข้ามาซี หนุ่ม   เออตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ"   พ่อว่าและลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่ละจากสมาธิ
 
     "เพิ่งบ่ายโมงตรงครับ"   เอ็กซ์  บาร์เบอร์ตอบโดยไม่ดูนาฬิกาแขวนผนัง  เข็มนาฬิกาบอกเวลาตามนั้นเป๊ะ


      ผมเลื่อนเก้าอี้หวายให้คนต่างวัยได้นั่งสนทนากันสะดวกสบายก่อนที่จะขยับไปทำหน้าที่ชงชาสำหรับทุกคน     ถ้าไม่สนใจสิ่งอันไม่เป็นสาระของรูปแบบของการแต่งตัว   ถ้อยคำปุจฉาวิสัชนาในวาระนี้ของฤาษีกับเอ็กซ์ บาร์เบอร์นั้นไม่ต่างอันใดกับอรรถธรรมที่นักบวชผู้ชาญวิมุติโต้ตอบกัน

      คำถามและความสงสัยในใจของผม  ได้รับการคลี่ให้คลายกลายเป็นความเข้าใจกระจ่างแจ้งอย่างกับทั้งคู่รู้วาระแห่งจิตของผู้ฟังการสนทนา


     หน้าปัทม์นาฬิกายืนยันได้ว่าเวลาผ่านไปแล้วเกือบสามชั่วโมง   แต่คนอยู่ในเหตุการณ์นี้รู้สึกเหมือนมันผ่านไปเพียงสามนาที


      "ดาวจักรอื่นตื่นตูมเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเหมือนพวกเราไหม"  คนไว้หนวดเครายาวสลวยถามก่อนจิบน้ำชา

      "ไม่ดอกครับ  คงเป็นเพราะพวกเขาฉลาดเกือบเท่ากัน  ต่างคนต่างก็คิดอะไรได้เกือบเท่ากัน  แต่ของเรา คนคิดอะไรใหม่ได้เรื่อย ๆ อาจจะมีวงจำกัดอยู่แค่พวกอารยันกลางกับพวกคอเคซอยไกล  เลยทำให้พวกนั้นช่วงชิงกันเพื่ออวดว่าตนคิดได้ก่อน  แต่ว่า คนที่ได้ประโยชน์จริง ๆ จากการจดสิทธิบัตรความคิด กลับไม่ใช่พวกนั้นนะครับ  เป็นพวกผิวสามสีตามเกาะเล็ก ๆ แถบทะเลที่แมกม่ายังคึกอยู่ตามรอยแยกของแผ่นเปลือกโลก    พวกนี้เป็นนักค้า"

       "อืม..เห็นภาพชัดมาก    แล้วตอนนี้งานของเอ็กซ์ เป็นไงบ้าง"  ฤาษีลูบเคราเบา ๆ และมองคู่สนทนาอย่างชื่นชมและเมตตากรุณา

       "เรื่อย ๆ ครับ  แค่จัดคิวให้แต่ละคนได้มีโอกาสตัดผม ที่จริงก็คือการชื่นชมรูปทรงของหัวของตนและให้คนอื่นชื่นชมตามได้  ผมก็ยังสามารถทำงานที่คนยกย่องกันนักหนานี้ได้อีกหลายหมื่นพันวัน   ถ้าผมไม่สนใจอะไรอย่างอื่นไปเสียก่อนน่ะนะ"

        "ฮ่า ๆ อย่าพูดเล่นไป  ถ้าดาวจักรของเราขาดคนมือถึงแบบเอ็กซ์ บาร์เบอร์แล้วใครล่ะจะมาเป็นนักตัดผมที่ค่าตัวแพงที่สุด คนยกย่องนับถือที่สุด"

         ฤาษีว่าไปยิ้มไป  คนฟังก็ยังยิ้ม

         "คงมีอีกแยะครับ   เหมือนบัวบางหมู่ที่รอเวลาเบ่งบานแทนบัวหมู่ที่กำลังจะโรยลงสู่ปลักโคลนอีกคราว"

          "ฮ่า ๆ  นั่นคงไม่ใช่ความหมายที่ว่าเอ็กซ์ บาร์เบอร์จะเปลี่ยนใจไปครองชีวิตแบบคนมีพันธะ"

          "ไม่ดอกครับ   ณ นาทีนี้ผมไม่ได้ต่างจากมหาเศรษฐีผู้กำลังจะละลมปราณไปสู่ที่อันตนสงสัย  เขาเสียดายเวลามากกว่าเสียดายเงินที่หามาทั้งชีวิต   แม้นแลกกันได้มหาเศรษฐีเหล่านั้น ๆ คงเลือกเอาเวลามากกว่าเลือกเอาเงิน   ส่วนผมเลือกอิสระครับ ผมเป็นอัครมหาเศรษฐีด้านความเป็นอิสระ  ผมไม่เลือกพันธะ"

          ถ้าใครเดินผ่านมาทางหน้าบ้านผมตอนนี้ก็คงแปลกใจว่าฟ้าส่งเสียงคำรามครืนมาจากทางไหนในยามที่จะผลัดหนาวเข้าสู่ฤดูรุ่มร้อน   เสียงหัวเราะดังสุดเสียงของผู้ถึงธรรมทั้งคู่ต่างหากหรอกครับ  ที่กังวานก้องอยู่แถวนี้   นาทีนี้


          ถ้าผมไม่ได้ฟังถ้อยสนทนาในวันนี้  ผมอาจจะไม่มีทางรู้เลยก็ได้ว่าฤาษีเคราขาวที่ผมทำหน้าที่ปฏิบัติวัฏฐากแทนแม่นั้นคือคนแบบเอ็กซ์ บาร์เบอร์ที่เปลี่ยนใจในบั้นปลายกลับคืนสู่โคลนตมฝีมือตก ไม่มีมหาเศรษฐีของดาวจักรใดสนใจใยดีที่จะเอ่ยถึงให้รู้สึกเป็นเสนียดต่อจิตว่าเขาเคยก้มหัวให้ชายผู้นี้ถากหัวให้เกือบเกรียน

          นาทีที่ผมรู้นั้นเอ็กซ์ บาร์เบอร์รุ่นพ่อกับเอ็กซ์ บาร์เบอร์รุ่นหลังหัวเราะดังปานฟ้าคำราม  พร้อมกัน

          เอ็กซ์ บาร์เบอร์ ไม่อยู่กินมื้อเย็นกับเรา   เพราะมีนัดที่จะไปดาวจักรหมาใหญ่   ตอนนั้นผมเองก็รู้สึกใจหายเหมือนเพื่อนบางคนกำลังจะเดินทางไปนานและไกล

           5 โมง58 นาที  วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ฤาษีกับผมเดินไปส่งเอ็กซ์ บาร์เบอร์ที่ยานทรงกระบอก ที่จอดอยู่ใต้ร่มขนุนใหญ่หลังบ้าน เอ็กซ์ บาร์เบอร์โบกมือให้เราก่อนเคลื่อนยานออกไปอย่างเงียบเชียบ  ผมยังจำถ้อยคำและน้ำเสียงสุดท้ายของเขาได้แจ่มชัด

     "พี่คงรู้แล้ว เอ็กซ์ บาร์เบอร์รุ่นใหญ่ยืนอยู่กับพี่ตรงนี้แล้ว   แม้นพี่สงสัยอันใดต่อวิถีของเอ็กซ์ บาร์เบอร์ พี่ถามเขาเอาเองก็แล้วกัน"


     พ่อหันมาทางผม เอื้อมมือมาตบไหล่ แล้วยิ้ม   

     "เดี๋ยวค่อยคุยกันลูก"

      ฤาษีเคราขาวที่อยู่ตรงหน้าคงรู้แล้วถึงปรัศนีย์ในหัวใจของผม

      เมื่อยานทรงกระบอกของช่างตัดผมแห่งดาวจักรลับตา  พ่อลูกผมยาวก็เดินกลับเรือนอย่างเงียบงัน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์