29 เมษายน 2550 23:57 น.

::วงรุ้งฯ ตอนแรก::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
	29  เมษายน  2550

( เริ่มลง )


แล้วไป  เลือนวงรุ้ง  เป็นชื่อและนามสกุลจริงของผมเองครับ  คนตั้งชื่อให้คือพ่อ  แหม..เก๋ไก๋ซะไม่มีใครเหมือน  เมื่อถามเกี่ยวกับชื่อของผมพ่อยิ้ม ๆ และว่า รอให้แกโตกว่านี่หน่อยค่อยบอก  ก็ไม่เป็นไรครับ  ผมรอได้   และได้รอมาเยอะแล้ว


ผมหนีพ่อกับแม่มาทำงานแถวภาคเหนือตอนล่างเมื่อสามปีที่แล้วครับ   แต่ก่อนนี้ผมไม่เคยออกจากบ้านเลย   เป็นเด็กในโอวาท เสมอมา  พ่อแม่อยากให้ผมเป็นครูสอนเด็ก ๆ อยู่ใกล้บ้าน  เพราะท่านทั้งสองเป็นครูใหญ่และครูใหญ่กว่าตามลำดับ    ผมก็ไปเรียนด้านนั้นจนจบนะ   แต่พอจบผมกลับอยากทำงานกับผู้ใหญ่ เพราะตอนเรียนในมหาวิทยาลัยได้ไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทบ่อยมาก  เลยติดอกติดใจ  ตอนจบใหม่ ๆ พรรคพวกไปสอบเป็นครูเป็นแถว  แต่อ้ายสายฟ้ามันแหกคอก  (ใช่ครับ สายฟ้าเป็นชื่อเล่นของผม  ตามนิสัยเดิมซึ่งใจร้อนวู่วาม   ทุกวันนี้เย็นลงมากแล้วครับ   เหตุผลอันหนึ่งที่ผมไม่อยากเป็นครูคือกลัวคุมอารมณ์ไม่อยู่ กลัวหวดเด็กแล้วต้องทะเลาะกับผู้ปกครองเขาด้วย)   ก็เลยต้องหนีพ่อแม่มาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างที่บอกนั่นแหละครับ


องค์กรที่รับผมเข้าทำงานเป็นองค์กรของอเมริกันครับ  ทำงานด้านพัฒนาชนบทร่วมกับชาวบ้านและโรงเรียน ผมเป็นหนึ่งในพรรคพวกที่เข้าทำงานพร้อมกันหนนั้นหกคน


งานของผมสนุกมาก  ได้ขี่รถเครื่องเข้าหมู่บ้าน พูดคุยกับผู้นำธรรมชาติ  ศึกษาปัญหาของชุมชนและจัดกิจกรรมวิเคราะห์ปัญหาแบบมีส่วนร่วมกับชาวบ้านและครูทำให้ได้แนวทางในการพัฒนาหมู่บ้านที่หลากหลายบนพื้นฐานความต้องการของเขาเอง  ผมไม่ได้ทำงานเดี่ยวๆ หรอกครับ  งานพัฒนาชนบทเป็นงานที่ต้องอาศัยทีมอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย   องค์กรมีข้อมูลผู้นำชาวบ้าน แหล่งศึกษาดูงานและข้อมูลบุคลากรที่ทำงานพัฒนาชนบทเพียงพอที่เราจะประสานงานเพื่อช่วยในการจัดกระบวนการหรือออกแบบแนวทางการทำงานพัฒนาชนบทเป็นการเฉพาะสำหรับแต่ละชุมชน  แต่ละชุมชนไป      วิธีการทำงานแบบนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้จากคนอื่น ๆ มากมาย  ได้รู้จักเพื่อนใหม่ทั้งในและนอกวงการพัฒนาชนบท   เพื่อนในสำนักงานที่ทำงานด้านอื่น ๆ เช่นฝ่ายการเงินผมก็ประสานงานด้วยเพื่อให้ช่วยออกไปแนะนำเรื่องเกี่ยวกับเงินเช่นการออม การระดมทุน และการวิเคราะห์ความคุ้มหรือไม่คุ้มในการลงทุนทำกิจการต่าง ๆของชุมชน


วงรุ้ง     หญิงสาวหน้าตาออกหมวยปนแขกที่มีชื่อคล้ายกับส่วนหนึ่งของนามสกุลของผมเป็นผู้ที่ ผอ.ขององค์กรมอบหมายให้มาช่วยผมครับ   ผมกับพี่อีกคนขี่เจ้าม้าญี่ปุ่นไปรับเธอกับเพื่อนที่ตลาดของอำเภอที่อยู่ห่างออกไปร่วมยี่สิบกิโลเมตร  เธอมาถึงที่นั่นค่ำไปเพราะออกจากสำนักงานใหญ่ในตัวจังหวัดตอนบ่ายมากแล้ว   ค่ำขนาดนั้นไม่มีรถโดยสารมาถึงสำนักงานสนามที่ตั้งอยู่ในอำเภอสุดท้ายก่อนเข้าเขตจังหวัดของภาคใหม่หรอกครับ  


เพื่อนของวงรุ้งที่มาด้วยกันก็อยู่แผนกเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ด้วย แต่เธอได้รับมอบหมายให้ไปช่วยเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ของผมอีกคนหนึ่งในต่างตำบลออกไป     เมื่อรถเครื่องวิบากของเราพาแขกมาถึงสำนักงานแล้ว   ธนา เพื่อนรุ่นพี่ของผมก็ถามวงรุ้งว่าจะพักที่ไหนระหว่างสำนักงานสนามที่เธอก็ได้ยินข่าวชวนขนหัวลุกเรื่องความเฮี้ยนของเจ้าที่กับบ้านเช่าของสายฟ้าและบ้านเช่าของเขา     หญิงสาวทั้งคู่ขอพักที่บ้านผมครับ    เมื่อแขกกับเจ้าภาพตกลงกันได้ว่าจะพักที่ไหนและรุ่งขึ้นใครจะไปกับใคร จะมารับกันเวลาใดเพื่อแยกกันไปทำงานช่วยชาวบ้านตั้งกลุ่มออมทรัพย์ระดมทุน  เราก็แยกย้ายกัน  หญิงสาวสองคนซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับผม ส่วนหนุ่มใหญ่แยกไปคนเดียว  


บ้านเช่าของผมอยู่ห่างจากสำนักงานสนามแค่ 80 เมตรเองครับ  เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง   พื้นปูน  ข้างล่างทำเป็นห้องครัวห้องหนึ่ง  กับอีกห้องหนึ่งเป็นห้องน้ำ มีระบบประปาและไฟฟ้าพร้อม   ข้างบนมีห้องนอน 1 ห้องและห้องโล่ง ๆ อีกหนึ่งห้อง มีโต๊ะทำงานและเก้าอี้พับสำหรับนอนเหยียดขาอีกสองตัว นอกนั้นก็เป็นข้าวของของผมซึ่งมีไม่มากนัก  เป็นตู้เสื้อผ้าแบบโครงเหล็กหุ้มด้วยผ้ายาง ทีวี  ตู้เย็น เทป หนังสือและกีตาร์    ส่วนห้องข้างล่างมี ตู้กับข้าว   โต๊ะอาหาร  เตาแก๊ส เครื่องครัวพวกจานชามช้อนพอได้ต้อนรับพรรคพวกที่แวะมาดื่มกินเป็นครั้งคราว  แขกที่เพิ่งมาถึงสำรวจห้องหับอยู่ครู่เดียวก็จัดแจงที่จะพักได้ลงตัว  ผมยกห้องนอนที่ชั้นบนของผมให้  ส่วนตัวเองก็จะนอนที่ห้องโล่ง ๆ ข้างนอก



ยังไม่กินอะไรมาใช่ไหมครับเนี่ย   เอ่อ..ตลาด แถว ๆ นี้ก็ปิดแล้วด้วย   มีผัก ปลา  ไข่ไก่ ในตู้เย็น กับมาม่า และเครื่องกระป๋องอยู่ในตู้   สะดวกไหมครับที่จะทำกับข้าวกินกัน  ห้องครัวอยู่ข้างล่างตรงนี้


หญิงสาวทั้งคู่มองตากัน  เพื่อนของวงรุ้งเป็นคนตอบก่อน


รุ่งทำกับข้าวเก่ง  ส่วนฉันก็พอได้ เธอว่าแกมหัวเราะ


ถ้ากินไม่ได้อย่าว่ากันนะ   หญิงสาวหันไปค้อนเพื่อน  แต่ผมก็ดูออกว่าไม่เธอก็เธอแหละที่ทำใจดีสู้เสือ


ผมอุ่นข้าวในหม้อหุงขาวแล้วก็เป็นลูกมือในการหั่นหอมบุบกระเทียมให้เธอ    เพื่อนของวงรุ้งตอกไข่และตีให้แตกเป็นฟองเพื่อให้ขึ้นฟูเมื่อเจียว ก็โอเคครับท่าทางคล่องแคล่วใช้ได้   ผมเองรับอาสาที่จะตำน้ำพริกให้  เพราะเคยเป็นลูกมือของแม่ที่ได้ชื่อว่าตำน้ำพริกอร่อยที่สุดในตระกูลเลือนวงรุ้ง   ขณะกำลังกุลีกุจอเตรียมมือเย็นซึ่งเริ่มเอาตอนค่ำมากแล้วเตาแก๊สไม่เป็นใจให้เธอเลยครับ  คือพอเธอจะปรับเปลวไฟลงมันก็ดับไปเสียเฉย ๆ   พอติดใหม่ก็ฟู่ร้อนจนเกรงว่ากระทะจะไหม้  นั่นจึงทำให้แม่ครัวของเราพะวงครับ  นั่นไง  ไข่เจียวที่มีทีท่าว่าจะไปได้ดีนั้นดำขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทันสังเกต    เพื่อนของเธอบอกให้ปิดแก๊ส  เธอก็ทำเก้กังจนเพื่อนต้องมาช่วยปิด  แก๊ส    ผมทั้งยิ้มทั้งโขลกน้ำพริก   แต่ไม่กล้ายิ้มมากหรอกครับกลัวโดนค้อน 




มื้อเย็นในค่ำนั้นเราได้เปิบไข่เจียวรสขมเกือบเด็ดขาดกับน้ำพริก  ผักและต้มมาม่า  กินไปหัวเราะกันไป   วงรุ้งสารภาพครับว่านี่คือครั้งแรกที่ทำกินเอง


(มีต่อ)				
27 เมษายน 2550 08:09 น.

::ตอนจบ ของเรื่องสั้น เรื่องนั้น::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
	27  เมษายน  2550


ตอนสุดท้ายของเรื่องเขียนจบหรือยังคะ   เพื่อนสนิทของผมถาม    เมื่อเราได้พูดคุยกันกับพรรคพวกไปแล้วนานพอสมควร   ผมกับพรรคพวกได้กลับมาพบเพื่อนสนิทของตนเองที่จากกันไปนานร่วม 20 ปีในงานวันคืนสู่เหย้านักเรียนม.6 รุ่นแรกของโรงเรียนประจำอำเภอเมื่อปลายเดือนมีนาคมนี้เองครับ


ผมหัดเขียนเรื่องสั้นในปีที่ 1  ที่เรียนต่อระดับอุดมศึกษา  แต่ความพยายามก็ไม่เป็นผล   คือขึ้นต้นเรื่องได้แต่เขียนต่อไม่ได้   สมุดบันทึกจึงเต็มไปด้วยเรื่องสั้นที่มีแต่ตอนต้นและตอนกลาง    เพื่อนสนิทของผมอ่านเรื่องสั้นที่ผมเขียนไปหัวเราะไป    เธอว่า      นี่อาจเป็นเรื่องสั้นแนวใหม่ที่ไร้ตอนจบ   กับว่า  อย่าหยุดเขียนนะ เธอจะติดตามทุกเรื่อง


ตอนเรียนชั้นมัธยม  ผมกับเพื่อนชอบวิชาภาษาไทยกันพอสมควร   เท่า ๆ กับศิลปะ   ส่วนวิชาอื่น ๆ ชอบในระดับปานกลาง  ที่เป็นเช่นนั้น  เพราะได้ลุยกับงานวิชาภาษาไทยที่ครูมอบหมายให้ทำเข้มข้นตลอดปี   ครูให้ทำอะไรบ้าง..   เยอะครับ  


อันหนึ่งที่ผมกับพรรคพวกพากันสนุกมาก  ภาษาของเราคือ   มันส์   คือทำแผ่นข่าวรายสัปดาห์   กิจกรรมนี้ครูให้เรียนรู้การทำข่าวทำหนังสือพิมพ์   โดยให้อุปกรณ์พวกกระดาษปรู๊ฟแผ่นใหญ่ ๆ   สี  กาว  คัตเตอร์   ปากกา  ดินสอ  และหนังสือพิมพ์เก่า   ๆ  กับบอกแนวคิดกว้าง ๆ ว่าให้พวกเธอตั้งสำนักหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์  กำหนดออกหนังสือติดแปะไว้ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนใต้ร่มไม้ใหญ่หลังอาคาร  1 หน้าอาคาร  2  ทุกเช้าวันจันทร์   ใครจะเป็นบรรณาธิการ หรือจะสลับกันเป็นก็ตามแต่จะพูดคุยกัน   งานนี้มีคะแนนให้คนละ 10  คะแนน       


เพื่อนสนิทของผมได้รับหน้าที่ในกองจัดทำหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์คนละคอลัมน์ครับ   ได้แก่ข่าวพาดหัวและรายละเอียดข่าว      ซุบซิบ   บทความ  เรื่องสั้น   ร้อยกรอง   วิชาการทันสมัย  และธรรมะสำหรับคนวัยมันส์     ผมรับหน้าที่คนวางบล็อก คือเอาเรื่องของแต่ละคนมาจัดลงในแผ่นกระดาษปรูฟให้ลงตัวเป๊ะ   จัดหัวหนังสือพิมพ์ให้เหมือนเดิมทุกสัปดาห์  ทำตัวไม้พาดหัวข่าวให้พอดีกับช่อง   ทำหัวคอลัมน์ให้ดึงดูดและคงเอกลักษณ์  เขียนการ์ตูนขำขันแซวนักเรียน ภารโรง ครู และ ผอ.   ทั้งหมดนั้นมีหนังสือพิมพ์ของจริงเป็นแบบ   คือเลียนทั้งลักษณะอักษร ลักษณะการจัดวาง   เพียงแต่ปรับเอาจากหลาย ๆ ฉบับมาเป็นฉบับที่ทั้งเพื่อนนักเรียน รุ่นพี่  รุ่นน้อง ภารโรง ครู และ ผอ. ต้องมารออ่านและแอบอ่าน  ให้พวกเราคนทำได้แอบปลื้มกับผลงานนั้น


เมื่อทำงานร่วมกันผมจึงได้รู้ว่าเพื่อนแต่ละคนมีความสามารถแพรวพราว   ใช้ภาษาได้เก่งเกินตัว    คล่องตัวในการค้นคว้าและเขียน   มีเหลี่ยมในการทำข่าวและเรียบเรียงให้ต้องติดตาม    กล้าคิด  กล้าถาม กล้าเถียง   และกล้าที่จะยอมรับความจริง      


แผ่นข่าวรายสัปดาห์ของเราได้รับการกล่าวขวัญถึงไปทั่วโรงเรียน   คนอ่านบางคนทำหน้างง ๆ   บางคนยิ้มและหัวเราะ   บางคนส่ายหัว ส่ายหน้าก็เรียก   หลายคนเขม่น   เพราะชังลีลายียวนของบางคอลัมน์  บางท่านชม    บางท่านชัง   เพราะไปเปิดเผยบุคลิกที่ท่านอุตส่าห์อำพรางไว้นาน    เมื่อคำวิจารณ์ว่า พวกนี้หัวแข็ง  ดื้อ    และแก่คิด  และเขียนแรงเกินไป  หนาหูขึ้น  หนังสือพิมพ์แผ่นรายสัปดาห์ก็ต้องปิดตัวลง  ก่อนกำหนด  แต่ครูก็ให้คะแนนพวกเราเต็มสิบทุกคน 


จากการประเมินผลโดยทีมงานอีกทีมหนึ่ง  เราได้ทราบจากแบบสอบถามที่ทำขึ้นว่า   ผู้อ่านร้อยละ  63  ชอบการพาดหัวข่าว   ร้อยละ  54  ชอบคอลัมน์ซุบซิบ   ร้อยละ  42   ชอบคอลัมน์ร้อยกรองที่เปิดโอกาสให้ผู้อ่านส่งกลอนมาลงได้   ร้อยละ 31  ชอบการ์ตูน   ร้อยละ   29   ชอบคอลัมน์วิชาการทันสมัย   ร้อยละ  25   ชอบธรรมะสำหรับคนวัยมันส์   ร้อยละ   9   ชอบเรื่องสั้น   ร้อยละ  56  ชอบการจัดรูปแบบของแผ่นข่าว   คะแนนเฉลี่ยของความพึงพอใจอยู่ที่ประมาณ   6  ส่วน 10 


ผมจำภาพการทำงานและภาพแผ่นข่าวพวกนั้นได้ติดตา   ในงานชุมนุมศิษย์เก่าหนนั้นผมบอกกับเพื่อนสนิทว่า  ผมชอบงานของทุกคน   สนุกกับการจัดเรื่องลงหนังสือ   และภาพหนนั้นผลักดันให้ผมเก็บหอมรอมริบจากการทำงานที่กรุงเทพฯเอาเงินมาตั้งสำนักพิมพ์เล็ก ๆ  พิมพ์หนังสือขาย   พรรคพวกพากันตาโตตื่นเต้นและขอดูหนังสือที่ผมพิมพ์   ผมกลับมาหยิบเอาหนังสือในรถไปให้เพื่อนดู   เขาถามว่าทำไมไม่เห็นหนังสือพวกนี้ในแผง   และทำไมไม่ใช้ชื่อจริง    ผมตอบพวกเขาไปว่า  ผมเร่ขายตามโรงเรียนไม่ฝากสายส่ง  เพราะสายส่งคิดเปอร์เซ็นต์จากยอดขายแพงเกินไปกับไม่จัดหนังสือให้ดึงดูด บางทีก็เอาไปซุกไว้ในมุมที่คนไม่ค่อยหยิบอ่าน   ส่วนเรื่องชื่อจริง    ผมยังอ้ำอึ้งเฉไฉไม่ยอมตอบพรรคพวก  ก็ไม่มีอะไรปิดบัง  เพียงผมกลัวมัน ไม่เวิร์ค


ตอนสุดท้ายของเรื่องเขียนจบหรือยังคะ


เรื่องสั้นที่เพื่อนที่สนิทที่สุดของผมถามถึง  เป็นเรื่องสั้นที่เราทั้งคู่เป็นนางเอกและพระเอก    ผมไปเยี่ยมเธอที่บ้าน   ช่วยเธอกับน้องและพ่อแม่ปักดำนา   ได้ไปดูหนังในงานวัดที่ต้องเดินไต่คันนาชื้นข้ามทุ่งด้วยกัน   เห็นเดือนเพ็ญเหนือทุ่งข้าวกลมโตงามแจ่มใจในเวลาเดียวกัน       ผมเขียนเรื่องสั้นนั้นไม่จบ   ค้างเรื่องไว้เพียงครึ่ง  เพราะเป็นเรื่องของผมกับเธอ    ที่มีอยู่ครึ่งเดียว

ยี่สิบปีผ่านไป   ผมได้นึกถึงเรื่องสั้นเรื่องนั้นอีกครั้งเมื่อได้อยู่ต่อหน้านางเอกของตนเอง   มันช่างละม้ายหนังบางเรื่องที่เคยดูในวัยเยาว์    



บางทีการจากก็ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการครองคู่     เพราะความรู้สึกที่งดงามจะไม่มีความหม่นหมองจากความโกรธเกลียดอันเนื่องมาแต่ความคาดหวังที่อีกฝ่ายไม่สามารถเป็นไปดังคาดเข้ามาทำลายความงดงามในสิ่งที่เรียกว่า ความรัก



ผมบอกเธอไปว่า


ตอนจบผมให้นางเอกกับพระเอกกลับมาครองคู่กัน  ในวันที่แต่ละคนอายุเข้าปูน  70    



เราทั้งคู่ต่างหัวเราะ  พรรคพวกคนอื่น ๆ ยังสนุกอยู่กับเพลงแบบซิงก์อะลองมากกว่าการพูดคุย  


เฮ่ย  ..   สองคนนั่น หัวเราะอะไรกันน่ะ    มาร้องเพลงดีกว่า   อย่าบอกนะว่าจะกลับมารักกันอีก     เพื่อนที่สนิทที่สุดของผมอีกคนหนึ่งแซว  ว่าแล้วก็ยื่นไมโครโฟนมาให้เราทั้งคู่




ผมจะเขียนตอนจบของเรื่องสั้นเรื่องนั้น   แบบนั้น   ดีไหมครับ				
25 เมษายน 2550 17:00 น.

::เซียนกบ::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
		24  เมษายน 2550

เซียนที่ผมพูดถึง คือใครก็ได้ที่เก่งฉกาจในเรื่องที่ตนเองทำ เช่นเซียนไก่   ก็เก่งเรื่องไก่และสังเวียนของไก่   เซียนมวย ก็เก่งเรื่องหมัดมวยและเชิงชั้นของนักชก    เซียนไพ่ก็เก่งเรื่องกีฬาบัตร ถึงขนาดเปลี่ยนไพ่ ซ่อนไพ่  ตบตานักเล่นไพ่ด้วยกันโดยไม่มีใครจับได้แบบคาหนังคาเขา  อาจจะมารู้เอาก็ตอนที่สูญเงินไปแล้ว เป็นต้น


ผมรู้จักเซียนคนนี้ดี  เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน  ทุกปีที่ผมกลับไปเยี่ยมบ้านผมมักแวะหาเขา


บุญเฮียง  เป็นเซียนกบ   หมอนี่เก่งเรื่องจับกบแบบหาตัวจับยาก   เก่งถึงขนาดว่า เดิน ๆ ไปในท้องนาหน้าแล้ง  นิ่งและเงี่ยหูฟังก็รู้เลยว่าตรงไหนมีหรือไม่มีกบ   ความสามารถเฉพาะตัวนี้ยังไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้   ชาวบ้านรุ่นมีอายุแล้วไม่ค่อยมีใครพูดถึงเซียนคนนี้ในทางยกย่อง    รุ่นนั้นส่วนใหญ่หาว่าบุญเฮียงเป็นผีผลาญกบ    เขาจับกบมาขายได้วันละหลายร้อยบาท  จนทำให้หลายคนพูดคล้าย ๆ  กันว่ากบดับแนว ( สูญพันธุ์)  เพราะบุญเฮียง ( ที่จริงชาวบ้านเรียก   มัน )


กบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ผสมพันธ์นอกร่างกายของตัวเมีย   คืนฝนฉ่ำฟ้า    น้ำเจิ่งไปทั่วท้องนา   กบจะเรียกหากันเพื่อมาสืบเผ่ารักษาพันธุ์   ตัวเมียปล่อยไข่ออกมาเป็นสาย   ตัวผู้ขี่หลังปล่อยน้ำเชื้อให้ผสมกับไข่โดยอาศัยน้ำ   ไม่นานไข่นี้ก็จะกลายเป็นลูกอ๊อดสีเทา ๆ ดำ ๆ   หายใจด้วยเหงือกอาศัยอยู่ในน้ำ  โตขึ้นอีกหน่อยหางของลูกอ๊อดก็จะหายไปกลายเป็นกบตัวน้อย ๆ ตาแป๋ว ๆ กระโดดไปกระโดดมาบนบก  หามดหาแมลงกินไปเรื่อยแล้วก็โตขึ้นโตขึ้นกลายเป็นกบหนุ่มกบสาว และกบเฒ่ากบโถตามวงจรชีวิตของเขา


บุญเฮียงจับกบมาขายตั้งแต่ยังเป็นลูกอ๊อด  สนนราคา  20 ตัว ห้าบาท  เขาได้เงินเป็นกอบเป็นกำมาตั้งแต่กบอายุยังน้อย   เมื่อลูกอ๊อดรอดเงื้อมมือของบุญเฮียงกลายเป็นกบน้อยก็ต้องเผชิญความเสี่ยงต่อชะตากรรมอีกจากการธงเบ็ดไส้เดือนยาวบนลานดินตามคันนา   กบน้อยไม่ประสีประสาต่อเหยื่อล่อก็ได้ห้อยต่องแต่งดีดไปดีดมารอให้เซียนมาปลดใส่ข้องเอาไปขายตลาดเย็น


สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่มีธรรมชาติที่ช่วยให้รักษาเผ่าพันธุ์ได้อย่างเยี่ยมยอดคือปริมาณไข่ที่มากมายเกินนับกับความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม   

ตอนเป็นลูกอ๊อดอยู่ในน้ำกบเหงือกก็อาศัยกอหญ้าน้ำและสาหร่ายหลบภัยจากสวิงและอวนถี่  พอมาเป็นกบน้อยก็อาศัยสีผิวที่เปลี่ยนให้ใกล้เคียงดินและน้ำโคลนในการพรางตัวครั้นเมื่อเป็นกบหนุ่มสาวที่สะสมอาหารไว้มากพอก่อนฤดูจำศีลกบก็ปรับตัวเข้ากับสัตว์ก้ามใหญ่อย่างปูได้ โดยก่อนหน้านั้นกบน้อยก็โดนปูหนีบร้องแอ้บ ๆ ลั่นทุ่ง    สองฝ่ายอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพา   ปูให้รู  กบให้ความชื้น    ครั้นเมื่อชาวนาใช้ยาเบื่อปูเนื่องจากอยู่ร่วมกับปูไม่ได้เพราะปูกัดข้าว   กบก็เลยไม่มีรูปูให้อาศัย   ต้องแอบหลบภัยมนุษย์อยู่ตามใบไม้แห้ง กอหญ้า ตามคันนา   บุญเฮียงไม่ต้องออกแรงขึดรูปูเพื่อเอากบให้ยากเหมือนแต่ก่อน   แต่ทำเสียงเหมือนอะไรซักอย่าง  เขาก็รู้ว่ากบอยู่ตรงไหน  จับกบสบายจริง ๆ เลยหมอนี่


บุญเฮียง เคยถามเพื่อนรุ่นน้องที่ริจะเป็นเซียนกบแข่งเขาว่า  รู้ไหมเวลากบเข้าแงบ  มันหันหน้า หรือถอยหลัง  เซียนรุ่นน้องอึ้ง  เพราะไม่เคยสังเกต   บุญเฮียงเฉลยว่า  เขาเองเคยปีต้นไม้สังเกตพฤติกรรมของกบที่จะเข้าไปกินเหยื่อพวกปลาเน่าในอุปกรณ์จับกบที่เรียกว่าแงบ  ที่เป็นไม้ไผ่สานมีลักษณะเหมือนมือพนมหลวม ๆ อูม ๆ มีทางเข้าทางเดียว  เข้าแล้วออกไมได้  จะเอากบออกจากแงบก็ต้องแกะและดึงฝาแงบออก  แน่นอน กบเปิดฝาแงบออกมาจากที่ขังตัวเองไม่ได้    กบถอยหลังเข้าแงบ   ดูๆ แล้ว สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ร้อง อ๊บ อ๊บ เล่นน้ำฝนข้ามทุ่งคงคิดน้อยคิดใหญ่อยู่เหมือนกันว่าหันหน้าเข้านี่คงออกไม่ได้   แต่หันหลังเข้าก็เสร็จเซียนบุญเฮียงเหมือนเดิม


วิธีการจับกบมีหลายวิธี  ที่ดาด ๆ ใครก็ทำได้คือ ธงเบ็ดเหยื่อไส้เดือนยาวตามลานดินตลอดแนวคันนา  หรือถ้าน้ำงวดก็ลงไปทำลานกบในแปลงนาก็ได้   ที่แปลกขึ้นไปอีกหน่อยคือยิงด้วยลูกดอก  วิธีนี้บุญเฮียงเล่าว่าต้องมือถึงจริง ๆ  หน้าแล้งกบตัวใหญ่มักอาศัยอยู่ในน้ำ นาน ๆ จึงจะโผล่หัวขึ้นมาหายใจ เซียนอย่างเขาสามารถเอาลูกดอกยิงเอาได้   แต่นั่นก็ไม่แปลกเท่ากับการนิ่งและฟังเสียงแล้วจับเอาที่ว่าไปแล้ว


 ทุกวันนี้มีคนเลี้ยงกบขายเป็นล่ำเป็นสัน   พ่อพันธุ์แม่พันธ์ของกบราคาคู่ละหลายพันธุ์บาท  ฟาร์มกบก็มีหลายฟาร์ม  เลี้ยงแบบครบวงจรก็มี   ที่ว่าครบวงจรคือผลิตอาหารกบ  ขายแม่พันธุ์กบ   ขายลูกอ๊อด  ขายกบน้อย   ขายกบใหญ่  ขายซากกบ( สตั๊ฟ )   ขายรูปกบ   ขายวีซีดีการเลี้ยงกบ   ขายสื่อการสอนเรื่องวงจรชีวิตกบ   ตั้งชื่อลูกว่าน้องกบ พี่เคโร๊ะ  หรือแม้แต่จ้างลูกจ้างก็เลือกเอาที่ชื่อหนูกบ    หลายฟาร์มไปได้   หลายฟาร์มหยุดกิจการเพราะคู่แข่งมากคุมราคาที่ตกลงเรื่อย ๆ ไม่ได้  และแม้จะมีการแปรรูปกบเป็น กบแห้ง กบผง  หนังกบทอดกรอบสำเร็จรูป  กระเป๋าถือ-  เข็มขัดหนังกบ หรือแม้แต่หนังกบสำหรับซอด้วงชั้นเลิศ  ราคาของกบก็ไม่ดีขึ้น   คนที่ทำต่อได้ก็คือคนที่มีสายป่านยาว   คนสายป่านสั้นเปลี่ยนอาชีพไปเป็นแรงงงานจับจ้างในกรุงเทพฯแล้วหลายราย


เซียนบุญเฮียง ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น   ทุกวันนี้เขาเป็นลูกจ้างในฟาร์มกบของครูเชิด  มีหน้าที่คัดเลือกพันธุ์  ผสมพันธ์กับ   วิธีการของบุญเฮียงแม้ออกจะดั้งเดิมและซื่อๆ   ก็ใช้ได้ผลดี   เขาหลอกให้กบนึกว่าเป็นฤดูผสมพันธ์โดยการฉีดน้ำเป็นฝอยขึ้นไปในอากาศแล้วให้ตกลงมาในอ่างปูนที่มีกบผู้เมียอยู่ด้วยกัน  ขณะที่ฝนตกลงมาเป็นสายเขาก็ตีปี๊บเป้งๆ  เลียนเสียงฟ้าที่ร้องลั่นและครางเป็นระยะ    ได้ผล   ตัวเมียวางไข่เป็นสายยาว  ตัวผู้ขี่หลังปล่อยน้ำเชื้อ   เผ่าพันธุของกบก็ยังดำรงอยู่ได้  แม้จะไม่ใช่ท้องนาก็ตามที


กบที่บุญเฮียงดูแล  ราคาขายสูงถึงคู่ละพันธุ์   ไม่ใช่คู่ละ 20 บาทอย่างที่เขาเคยขายสมัยเป็นเซียนไร้สังกัด เจ้านายของบุญเฮียงกล่าวยกย่องชื่นชมเขาต่อหน้าคนอื่น ๆ เสมอ   หลายคราวเซียนกบเคยไปเป็นวิทยากรสอนเรื่องวงจรชีวิตกบในห้องเรียนชั้นประถม   เด็ก ๆ ชอบเพลงกบเล่นน้ำของเขามาก   ผู้ปกครองของเด็กจึงเรียกเซียนกบว่าเป็นอาจารย์ตามลูก ๆ ของตนด้วย


ปิดภาคเรียนปีนี้ผมกลับไปบ้านปู่ และได้ไปไหว้ครูเชิดที่เคยสอนตอนผมเรียนชั้น ป.3  ผมถามหาเซียนบุญเฮียง  ครูบอกว่าเซียนท่านขึ้นสวรรค์ไปแล้ว


อ้าว  ทำไมล่ะครับ  เขาเพิ่ง  50 เศษ ๆ ไม่ใช่หรือครับ


ใช่ เพิ่งย่าง  51 เอง    เขาถูกงูกัด   ตอนสาธิตการจับกบแบบพิสดาร   กว่าจะเอาไปส่งหมอได้  เซียนก็ตัวเขียวแล้ว   โดนงูเห่ากัดที่ทุ่งนาโน้น   ครูชี้มือขึ้นท้องฟ้า   แสดงว่าทุ่งนาอยู่ไกลมาก  


	โชคดีที่อาจารย์บุญเฮียงไม่มีลูกเมีย   ไม่งั้นผมคงต้องเลี้ยงดูลูกเมียเขาเหนื่อยแย่  ครูพูดยิ้ม ๆ   เป็นไงบ้างอาชีพการงาน  ครูถามผม


	ยังเรื่อย ๆ ครับ  ผมกำลังทำวีซีดีสารคดีเรื่องคนค้นกบ   กะว่าจะมาขอยืมตัวเซียนบุญเฮียงของครูไปเป็นคนเดินเรื่อง   น่าเสียดายนะครับ  ผมมาไม่ทัน

	อืม...เขาไปดีแล้ว   แต่ตอนจะสิ้นน่ะดิ้นเหมือนกบถูกลูกดอกยังไงยั้งงั้นแหละ    


	อืม..บรื๋อ ... ทั้งผมและครูขนลุกโดยไม่ได้นัดหมาย				
23 เมษายน 2550 16:46 น.

::สมหวัง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
              22  เมษายน 2550

      	ฤดูกาลหย่อนบัตรเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว     หลายปีก่อนสมหวังเคยเก็บเอาเศษกระดาษและแผ่นป้ายหาเสียงมาก่อไฟหุงข้าวได้หลายวัน   คราวใดมีการหาเสียงเข้มข้นชิงไหวชิงพริบ  เขาจะมีรายได้จากการขายเศษแผ่นป้ายหาเสียงไว้ซื้อปลาทู กะปิ น้ำปลากินได้หลายวัน  ปีนี้เขาป่วยด้วยโรคแข้งขาไม่มีแรง จึงหาเงินหาทองไม่คล่องนัก


	สมหวังเคยทำนาไร่แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ  รถไถนาเดินตาม รถเครื่องและเครื่องอำนวยความสะดวกอีกหลายอย่าง รวมทั้งที่ดินต้องขายเทเพื่อใช้หนี้และรักษาชีวิต   ชีวิตของเขาพลิกจากหลังมือเป็นหลังเท้ากลายเป็นคนเก็บขวดขายในเขตชานเมือง  อาศัยอยู่ในเพิงข้างสวนสาธารณะ  ลูกและเมียของเขาพากันขึ้นสวรรค์ไปจนหมดแล้วด้วยโรคเดียวกับที่เขากำลังเผชิญอยู่


	สมหวังทำเพิงหลบแดดพักพิงอิงกายอยู่กับเพื่อนต่างถิ่นแต่ไม่ต่างจุดกำเนิด  พวกเขามาจากนาทั้งนั้น   นาที่พาให้คนพลัดหลงเข้าไปในเมือง


	แต่ก่อนโน้นนะ  บ้านข้าไม่อดไม่อยาก    กบเขียดนี่เปิดเอาตามกอหญ้าตามคันนา   สมหวังโอ่กับเพื่อนจากภาคเหนือ
	

	แต่ตอนนี้หาฟังเสียงได้บ้างหรือเปล่าเวลาฝนฟ้าตกฝนลง


	เอ้อ..มันก็ดับแนว คือตายไปบ้างหละ  เพราะคนหาไปขาย  ไม่ใช่แค่หากิน


	ข้าว่ามันสูญพันธุ์เพราะยาฆ่าแมลงม้าง ทุกวันนี้คนใช้ยาอย่างกับน้ำ   



	สมหวัง อึ้ง  กับคำของเพื่อนชาวเหนือ   ตอนที่ยังหนุ่มแน่นเขาเห็นชาวบ้านใช้ยาปราบศัตรูพืชอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ราวมันไม่มีพิษต่อคน    เกษตรตำบล  อำเภอ จังหวัดสนับสนุนให้ชาวบ้านใช้กันทั้งนั้น เขาจึงเอาอย่างบ้าง


	เออ.. ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน  ลูกเมียข้าที่ป่วยตายไปหลายปีก่อน  กำนันก็ว่ามันเป็นเพราะยาฆ่าแมลงที่ข้าใช้


	นั่นไง  ข้าว่าแล้ว ..  แต่ว่า...ที่บ้านข้าก็เหมือนกันแหละ..ปลูกอะไรก็พ่นยาทั้งนั้น   


	เพื่อนใหม่ของสมหวัง เคยเป็นเจ้าของที่ดินกว้างใหญ่ ปลูกพืชผักส่งมาขายกรุงเทพฯ   แต่เมื่อลูกเมียล้มป่วย  เงินทองที่เก็บสะสมเอาไว้ก็ต้องจ่ายออกจนหมดเพื่อยื้อชีวิตพวกเขา  กับใช้หนี้ที่ทบดอกทบต้น


	เออ  วันก่อนข้าดูข่าวทีวีในร้านข้างโรงหนัง  นายกคนใหม่เขาบอกจะพัฒนาประเทศโดยทำให้ประชาธิปไตยกินได้นะ  แกได้ดูหรือเปล่า เพื่อนบ้านของสมชายถาม

	
	ข้ามัวแต่เก็บขวดเพลินไม่ได้ดูข่าวอะไร  เขาว่าไงล่ะ


	ก็ว่าทำนองว่า  ประชาธิปไตยต้องให้คนมีกินด้วย ไม่ใช่แค่ไปลงคะแนนเลือกตั้ง


	เข้าท่าแฮะ   แต่มันจะทำได้หรือ  ขนาดคนก่อน ว่ามีเงินเยอะ ๆ นึกว่าจะแจกพวกเรา ก็ไม่ได้แจก   หลายคนยังว่าท่านโกงบ้านโกงเมืองบ้าง  ไม่เสียภาษีบ้าง


	ก็ไม่รู้แล๊ว      เลือกผู้แทนมาก็หลายหน  พวกเขาก็ว่าคล้าย ๆ อย่างนี้กันทั้งนั้นนี่  เรื่องโกงหรือไม่โกงข้าไม่รูด้วย   คนทำเขาคงรู้เองแหละ


	เออ  เขาก็คงรู้ตัวหรอก  ไม่ใช่ละเมอเก็บขวดขายแบบเรา ๆ   นักสู้ต่างภาคต่างหัวเราะแล้วก็แยกแบกถุงเก็บขวดพลาสติกและขยะอื่นเพื่อแยกขาย


	การเลือกตั้งยุคก่อน ๆ ผู้หาเสียงจะติดป้ายโฆษณาไว้ตรงไหนก็ได้ตามใจที่จะเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมด้วยตนเอง    แต่เมื่อมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างพรรคการเมืองเงินหนากับพรรคการเมืองที่ไม่ค่อยมีทุน ก็เกิดกฎเกณฑ์ที่จะช่วยให้การแข่งขันมีความยุติธรรมบ้างโดยมีการกำหนดอาณาบริเวณที่จะติดแปะแผ่นหรือป้ายหาเสียงอย่างเป็นที่เป็นทาง   แต่กระนั้นก็ตามก็ยังมีต้นไม้หลายตนในหลายที่ที่ผู้หาเสียงนิยมเอาโปสเตอร์ขนาดไม่กว้างยาวมากนักไปติดไว้   นัยว่าเพื่อเป็นศิริมงคลตามชื่อของต้นไม้และเพื่อเสริมบารมีในการแข่งขันชิงชัย    ป้ายตามต้นไม้นี่เองที่คนหาเสียงมักไม่ค่อยเก็บคืน ในยุคที่เพิ่งเลือกตั้งไปหยก ๆ ก็ยังพอมีให้เห็น


	เฮ้ย   ป้ายนี้ของกู  กูจองไว้ตั้งแต่เมื่อวาน  คนเก็บของผมหยิกผิวคล้ำ คงเป็นหน้าใหม่ที่เข้าสู่อาชีพนี้  แสดงความเป็นเจ้าของ   แต่ไม่เป็นไรว่ะ   กูมีน้ำใจ   ถ้ามึงปีนขึ้นเอาได้กูยกไหม้มึงเลย   เขาพูดแล้วก็นั่งลงพักเหนื่อย  ปาดเหงื่อที่ย้อยระคาง


	แกพูดจริงนะ   ข้ายังพอปีนได้


	เอาเลย  คนหัวหยิกว่า  ทั้งเชิดหน้าและหลิ่วตา



	สมหวังคนแข้งขาไม่ค่อยมีแรงวางถุงเก็บขยะพิงไว้กับต้นคูณที่กำลังจะปีน   ราชพฤกษ์ต้นนี้เคยออกดอกสะพรั่งทุกปี  แต่ปีที่มีการเลือกตั้งปีนี้กลับไม่ยอมออกดอก   แถมมีทีท่าว่าจะทิ้งใบโดยไม่สนใจฤดูกาล   เขาออกแรงดึงกายขยับขึ้นไปใช้แข้งขาที่บังคับได้บ้างไม่ได้บ้างยันช่วย   แค่เอื้อมือคว้าเขาก็จะได้แผ่นกระดาษแข็งกว้างไม่กี่คืบนั้นลงมาสะสมเพื่อรวมขาย ณ เสี้ยวอึดใจนั้นคนหัวหยิกที่อยู่ข้างล่างก็คิดไม่ซื่อ  มันฉวยเอาของที่ตนเองไม่ได้ออกแรงเก็บได้ก็กะเผลกออกไปโดยเร็ว  สมหวังเหนื่อยอ่อนจะหมดแรงแต่ก็กัดฟันค่อยไถลลงมาตามลำต้นคูน  แต่กระนั้นเปลือกคูนก็ก่อริ้วรอยปริ่มเลือดเป็นสัญลักษณ์ตอบแทนความพยายาม   คนสู้ผู้ซื่อนั่งถอนหายใจเหน็ดเหนื่อยอยู่ใต้ร่มคูนใบน้อยนึกย้อนไปถึงวันที่เขาสูญเสียที่นาให้กับนายทุนเงินกู้  น้ำตาของเขารินไหลออกจากขอบตาโดยไม่รู้ตัว


	ข้าโดนอ้ายดำ  จากไหมไม่รู้มันแย่งเอาถุงขวดไป  สมหวังปรับทุกข์กับเพื่อนหน้าเพิงพัก


	อ้ายดำเดินกระเผลก หัวหยิก หน้าตาเจ้าเล่ห์ใช่ไหม 


	 นั่นแหละ   มันวิ่งไปทางนู้น สมหวังชี้ไปทางซ้ายของเพิงที่พักที่หันไปทางทิศตะวันตก


	อ้ายนี่ท่าทางมันไม่น่าไว้ใจ  แกเก็บเงินของแกไว้ดีนะ  เดี๋ยวมันอาจมารือข้าวของเอา


	ไม่มีทางดอก   เงินของข้าอยู่ในธนาคาร


	แหม  ทันสมัยจังวะแก   มีบัตรเครดิตด้วยหรือเปล่า


	ดิดเดิดอะไรกัน   มอซออย่างเราใครเขาจะทำให้


	มันก็ไม่แน่ร๊อก   ใครมีเงิน คนก็นับเป็นน้อง ใครมีทองคนก็นับเป็นพี่  เก็บของขายอย่างพวกเรา  บางทีนายกอาจเชิญไปออกทีวีด้วยก็ได้


	ไปออกทีวีเรื่องอะไรล่ะ  สมหวังถาม


	อ้าว  ก็เก็บขยะจนรวยไง   หนุ่มใหญ่จากสองภาคต่างหัวเราะขึ้นพร้อมกัน



	ตอนหนุ่มแน่น  สมหวังได้ชื่อว่าเป็นคนที่ปีนต้นไม้เก่งยังกะลิง  มะพร้าว ตาล  หมาก ในสวนของคนข้างบ้าน หรือแม้แต่คนละคุ้ม   สมหวังก็ถูกเรียกไปพิชิตมาแล้ว  เขาใช้วิธีเอายางคล้องตีน เอาแขนโอบไม้ค่อยไต่ขึ้นสูง  ต้นหมากลำเท่าเข้าก็ขึ้นได้   ต้นตาลลำเท่าครกก็ขึ้นได้  ลงจากต้นไม้ก็รับเงินหรือไม่ก็รับหมาก รับตาลเป็นสินจ้างรางวัล    แต่ต้นประชาธิปไตยที่เขาปีนเมื่อเช้า ไม่เล็กไม่ใหญ่  ไม่สูงมากนั้นแต่เขาปีนเกือบไม่ถึงเป้าหมาย   ป้ายหาเสียงอีกสี่ห้าป้ายที่หมายตาเอาไว้บนต้นคูนต้นอื่น ๆ  เป็นความหวังที่ไม่ไกลเกินคว้าที่จะเติมตัวเลขในบัญชีคนจน  แต่แข้งขาและเรี่ยวแรงที่มีอยู่มันจะมากพอล่ะหรือที่จะป่ายปีนเอาป้ายหาเสียงที่เหลือ


	ไปเก็บป้ายทางโน้นด้วยกันไหม  ตรงสวนพักผ่อนชานเมือง  ขวด กับกระป๋อง เยอะน่าดู  ตรงนั้นมีอะโหลเสียงตามสายฟังข่าวคราวด้วยในตอนเที่ยงวัน   สมหวังชี้มือไปทางขวาของเพิงที่พัก ที่เป็นที่สวนพักผ่อนที่ค่อนข้างโทรม   ที่นั่นมีแผ่นป้ายหลายอันที่ถ้าเก็บลงมาขายได้ก็ได้หลายตังค์  เราแบ่งกัน



	ข้าไม่แย่งแกหรอก   จะไปด้วย  เป็นเพื่อน   แต่แกเก็บเอาเถอะ   ถ้าแกรวยข้าก็ได้เพื่อนเป็นคนรวย เท่านี้ก็ดีใจแล้ว   


	เอาน่า   ของที่ควรแบ่งก็ต้องแบ่ง


	แล้วอะไรที่ไม่ควรแบ่ง   คนเหนือมีอารมณ์ขัน


	เมียสิ  เหอ เหอ  เหอ  คนแข้งขาไม่ค่อยมีแรงมีอารมณ์ขันมากว่าอีก


	เอ้า..ไปก็ไป  พรุ่งนี้เราออกแต่เช้าเนอะ 



	สมหวัง ตอนที่ยังมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง  ทำนาขยันขันแข็ง   เขาได้ทำหน้าที่สำคัญให้นักการเมืองด้วย  นั่นคือช่วยหาเสียง   เขาเดินแจกบัตรแนะนำตัวไปทั่วบ้าน   แต่คนที่เขาหาเสียงช่วยไม่รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร์  ยุคนั้นโรคร้อยเอ็ดเป็นโรคระบาดที่รุนแรงกว่าไข้หวัดนกและโรคซาร์  ใครไม่แจกเงินซื้อเสียงไม่มีโอกาสได้เป็น ส.ส.   ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้คาดหวังว่า ส.ส.จะเข้าไปร่างกฎหมายที่จะทำให้ชาวบ้านชนบทมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  และกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านต้องเกี่ยวข้องด้วยเฉพาะยามเดือดร้อนและได้รับภัยจากโจรทั้งในและนอกเครื่องแบบ  ส่วนใครจะเป็น ส.ส.ของใคร  รับเงินเพื่อจะยกมือให้ใคร หรือหุบปากที่จะไม่พูดถึงความฉ้อฉลของใคร ชาวบ้านไม่ได้สนใจ    คนที่สนใจก็คงพอจะมี คือคนที่พอมีจะกิน  ที่มีเวลาฟังวิทยุ  ดูทีวี  หรืออ่านข่าวตามที่อ่านหนังสือประจำคุ้ม    การเลือกตั้งหนต่อ ๆ มาสมหวังไม่ได้ช่วยอะไร เพราะมีคนที่ทำหน้าที่นั้นเป็นเครือข่ายเข้มแข็งกว่า  บางคนรวยขึ้นในพริบตา  บางคนก็จมอยู่ในวังวนของนักหาเสียงไม่มีวันจบสิ้น ทั้งระดับหมู่บ้าน ตำบล  วนๆ เวียน ๆ แบบนักประชาธิปไตยใหญ่ทั้งคำพูดและท่าทาง  เมื่อสมหวังสูญเสียที่ดินแปลงสุดท้ายเขาก็หันหลังให้กับการรับใช้การเมืองทุกระดับ  


	เช้าใหม่สดใสนัก   หมอกและควันกรุ่น เบาบางแลเห็นได้ทั่วเพิงของคนเก็บขยะอย่างกับฉากในหนังดัง   สมหวังกินข้าวต้มกับปลาเค็ม  เขาแบ่งปลาเค็มให้เพื่อนที่ชวนกันไว้เมื่อวาน  วันนี้เขามีความหวังที่จะเพิ่มเงินในบัญชีของเขาอีกหลายสิบ   กินมื้อเช้าเสร็จเขาก็เตรียมถุงรอเพื่อน  ฮัมเพลงลูกทุ่งจังหวะโจ๊ะ ๆ  


	สดใสจังแกนี่   อารมณ์ดีตลอดปีตลอดชาติเลยว่ะ


	จะให้ต้องทุกข์ใจอะไรนักหนา   ความสุขนี่ไม่เกี่ยวกับเงินกับทอง


	เออ  พูดเป็นปรัชญาเข้าไป   จะไปกันได้หรือยังล่ะวุ้ยท่านสมหวัง


	ไป ไปกัน

	

	นักสู้ทั้งสองเก็บขวดพลาสติกที่คนทิ้งตามข้างทางไปจนถึงที่ที่เป็นเป้าหมาย  ราชพฤษ์สองข้างทางทิ้งดอกไปนานมากแล้ว   ใบของไม้ดอกเหลืองเหี่ยวเฉาเพราะขาดคนใส่ใจ   ไม่น่าเชื่อว่าไม้นามมงคลนี้จะเหี่ยวและเฉาลงมากมายขนาดนี้   แต่ก่อนออกดอกเหลืองอร่ามใครแลเห็นก็ชื่นเย็นสบายตา   บัดนี้เป็นเพียงที่ติดประกาศของนักเลือกตั้งโดยนักหาเสียงมักง่ายเท่านั้น


	แกจะขึ้นไหวหรือสมหวัง


	คงพอได้  เมื่อวานข้าก็ปีนเอาลงมาหลายอัน


	ต้นนั้นใช่ไหม คนเหนือชี้ไปที่ต้นลำต้นไม่ใหญ่นัก


	ใช่ๆ   ต้นนั้นนั่นแหละ


	แต่พวกนี้มันมีมดเยอะนะ   เดี๋ยวมดก็รุมกัดตกตายหรอก


	ไม่เห็นยาก  ใช้แป้งทาตัวมดก็ไม่ตอมแล้ว


	แต่ไหนล่ะแป้ง


	ข้าไม่ได้เอามาว่ะ   นึกว่าจะไม่มีมด


		อย่าปีนเลยนะ ตกลงมาแล้วมันไม่คุ้ม   แข้งขาหักข้าไม่มีเงินช่วยหรอกนะ


		ไม่เป็นไร   รับรองข้าไม่ตก


		สมหวังยังดื้อดึง   เหมือนกับตอนที่ยังทำนาได้  ตอนนั้นผู้เฒ่าในหมู่บ้านหลายคนเตือนเขาเรื่องปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เขาก็ไม่ฟังเพราะได้ไปดูงานการปลูกผักแบบใช้ฮอร์โมนและปุ๋ยเคมีแบบเข้มข้นที่ภาคเหนือกับเกษตรอำเภอและเจ้าของร้ายขายเคมีเกษตร  เขาเชื่อมั่นมากที่จะลืมตาอ้าปากจากการปลูกข้าวและพืชผักขาย   แต่เมื่อรู้สึกตัวก็สาย  เงินที่ได้ไม่พอค่ายารักษาโรคภัยอาการพิลึกที่คร่าชีวิตคนในครอบครัวเขาลงทีละคน


		งั้นก็ตามใจว่ะ   ถ้าเนื่อยก็บอกข้านะ  จะช่วย  แต่คงช่วยได้ไม่มาก  ข้าก็ไม่ค่อยมีแรง


		สมหวังปีนต้นประชาธิปไตยต้นแรกสำเร็จ  เขาได้กระดาษแข็งแผ่นโตพอที่จะสะสมไว้รวมขายได้ในไม่กี่นาที  มดตอมเขาพอดู   แต่พอทนได้


		ไม่ไหวก็หยุดนะ  รักษาชีวิตไว้ดีกว่า


		เหอะน่า  ข้ายังไหว  ปีนต้นไม้แค่นี้ไม่ถึงแก่ชีวิตหรอกน่า   ถ้าเหนื่อยข้าก็จะหยุด


		เออ  มันก็ต้องอย่างนั้น   ดูต้นคูนต้นนั้นซีวะ  ไม่ยักกะมีมด   ท่าทางจะปีนง่ายด้วย ต้นก็เอน ๆ  กิ่งใหญ่ทางด้านขวาดูเหมือนจะเป็นโพรงด้วย  เฮ้ยต้องระวังงูนะ 


		 เคาะต้นไม้ดูก็รู้ว่ามีงูไหม  ถ้ามีมันต้องออกมา 


		มันคงมีงูขี้เซาบ้างหรอกน่า


		แมวเซา


		ม่ายช่าย   งูนอนน่ะ


		สมหวังเอาไม้เคาะที่โคนต้นคูนหลายครั้ง แต่ก็มองไม่เห็นว่ามีสิ่งใดไต่ออกมาจากโพรงตรงนั้น


		ข้าจะปีนล่ะนะ  แกช่วยดันนิดหนึ่ง


		อ้าวเฮ้ย   ไหนบอกว่ามีแรงไง


		ก็มี    ถ้าดันมันก็ปีนขึ้นง่าย


		เออ  งั้นก็จะช่วยดัน


		ขอบใจ  ขอบใจเพื่อน   ถ้าขายได้ข้าแบ่งให้ครึ่งนึง ดีไหม


		ก็ตามใจแกเถอะ


		สมหวังปีนต่อด้วยแรงของตัวเอง  ก่อนที่จะถึงกิ่งใหญ่ที่ชี้ไปทางขวา  เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง  ใช่แล้วมันคือหางของงูชนิดใดชนิดหนึ่ง   เพื่อของสมหวังของก็มองเห็น  งูโผล่หางออกมาให้เห็นยาวขึ้นก่อนที่คนปีนต้นไม้จะเอื้อไปถึงคาคบ  อารามตกใจทำให้มือไม้เขาป่ายคว้าไปถูกแผ่นป้ายหาเสียงและจับหมับเข้าที่ปลายหางงูแทนกิ่งไม้ใหญ่  งูตกใจ และคนก็ตกใจ   ชั่วเศษวินาทีที่งูกระโจนพรวดและไต่เร็วไปตามกิ่งไม้ก็เป็นวินาทีที่มือของสมหวังพลัดหลุดจากกิ่งก้านและลำต้นของไม้   คนแข้งขาไม่ค่อยมีแรงพลาดท่าตกลงมาเอาแขนยันพื้น   เพื่อนของสมหวังร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ  แต่ก็ช่วยอะไรไม่ทัน   สมหวังร่วมมากองอยู่กับพื้น มือซ้ายของเขากุมข้อมือขวา สีหน้าเจ็บปวดสาหัส  ป้ายหาเสียงของนักเลือกตั้งยังห้อยต่องแต่งจะหลุดไม่หลุดแหล่อยู่ตรงนั้น  


		แกเจ็บมากหรือเปล่าสมหวัง  คนเหนือเข้าไปพยายามพยุงให้เขานั่ง


		โอ๊ย   เจ็บ  เจ็บซี่โครงและแขน


		ขณะที่คนเจ็บและเพื่อนของเขากำลังดิ้นรนช่วยเหลือกันอยู่ตามลำพัง   ก็เป็นเวลาที่เสียงตามสายของสวนพักผ่อนชานเมืองเปิดถ่ายทอดเสียงรายการนายกฯพูดกับพลเมือง


		..ผมจะทำให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่กินได้    คือประชาชนต้องมีอยู่มีกินจากประชาธิปไตย   ไม่ใช่แค่เลือกตั้งแล้วก็จบแบบที่ผ่านมา..จะไม่มีคนไม่มีกินอีกต่อไป



		ณ วินาทีนั้น ทั้งคู่นิ่งสนิท จดจ่อ เงี่ยหูฟัง  คนที่ร่วงลงมาจากต้นประชาธิปไตยเหมือนหลุดพ้นไปชั่วขณะจากความทุกขที่กำลังทำให้ข้อมือบวมเป่งและซี่โครงขยับแกรก ๆ				
22 เมษายน 2550 23:54 น.

::นครต้นแบบและประเทศของเรา::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::นครต้นแบบและประเทศของเรา::
                    ก่อพงษ์   พงษพรชาญวิชช์	
	              22  เมษายน 2550
                      (เคยเผยแพร่ในpraphansarn.com)



           ผู้นำคนใหม่ของเราเชิญเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกจากทุกภาคเดินทางไปศึกษาดูงานต้นแบบประชาธิปไตยที่จังหวัดภูพานวง  จังหวัดเกิดใหม่ของนครเขื่อนขันธ์บ้านใกล้เรือนเคียงของเรา



                 วันแรกที่ไปถึง  ผู้นำของนครเขื่อนขันธ์ชวนพวกเราไปเยี่ยมโรงเรียนในชนบทห่างไกล   ไม่อยากเชื่อสายตาเลยครับว่าโรงเรียนที่อยู่ตามขอบประเทศเช่นนั้นจะมีครูและเครื่องไม้เครื่องมือในการเรียนการสอนทันสมัยแบบนั้น



เครื่องไม้เครื่องมือพวกนี้ ส่วนใหญ่ผลิตเองภายในประเทศครับ   เราสนับสนุนให้บริษัทต่างๆผลิตสินค้าด้านการศึกษาเพื่อขายไปทั่วโลก   ประเทศของท่านก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าต่อกันอย่างดี



           เราแทบจะไม่ต้องตั้งคำถามอะไรเลยครับ  ที่เราคิดจะถามเขาเป็นคนตอบก่อนทั้งนั้น  ราวเดาใจพวกเราออก   เพื่อนที่ไปด้วยกันพูดว่า   เขาคงรู้จักประเทศของเรา   หรือไม่ก็รู้ข้อมูลของเราจนพรุนไปหมดแล้ว จึงรู้แม้กระทั่งคำถามที่เราจะถาม



เราถือว่าผู้คนพลเมืองคือผู้ที่สำคัญที่สุด   คนที่มีความใฝ่รู้และมีสติปัญญาจะเป็นผู้ดำรงประเทศไปสู่ความผาสุกยิ่งขึ้น   ระบบการศึกษาของเราจึงเอาอุดมคติของประเทศเป็นสำคัญ


              ผู้นำของนครเขื่อนขันธ์  เปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยกับนักเรียนในโรงเรียน  ครู ผู้ปกครองและผู้บริหารโรงเรียนอย่างเต็มที่  ทำให้เราได้ทราบว่า  ผู้บริหารและครูหลายคนเคยเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกในประเทศของเรา  และรู้ว่าครูกับผู้ปกครองมีความคิดความเห็นเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก  ส่วนนักเรียนแต่ละคนนั้นแววตาของเขามีแต่ความกระหายใคร่รู้และอยากมีส่วนช่วยพัฒนาประเทศ   คำพูดที่แต่ละคนพูดมีพลังอย่างวิเศษที่จะเสียสละเพื่อคนรุ่นต่อไป


เมื่อดูโรงเรียนชนบทแล้วเราจะพาพวกท่านไปดูโรงเรียนในเมืองกันครับ


                    เราใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนชนบทถึงสามวันครับ  กินและนอนอยู่ในนั้นกับครู นักเรียนและผู้ปกครองของเขา   เรารู้สึกว่าเราเองมีพลังขึ้นอย่างประหลาดที่จะทำอย่างนั้นบ้างต่อสังคมของเราเองและต่อคนรุ่นต่อไป   ทุกคนมีไฟสร้างสรรค์เช่นนั้นเหมือนกันตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น


โรงเรียนในเมืองของเราแทบจะไม่แตกต่างจากโรงเรียนในชนบทครับ  ชนบทมีนักคิด ในเมืองก็มีนักคิด  ชนบทมีนักประดิษฐ์  ในเมืองก็มีนักประดิษฐ์  สังคมเมืองและสังคมชนบทมีความต้องการแทบไม่แตกต่างกัน  แต่อาจจะแตกต่างบ้างตรงที่   ในเมืองเราผลิตคนระดับหัวสมองเพื่อออกไปทำงานต่างประเทศในระดับอินเตอร์ฯ โดยตรง  พลังสมองเหล่านี้จะทำให้เราพัฒนาประเทศได้ไวขึ้น  ประสานงานกับมิตรประเทศได้ง่ายขึ้นโดยอาศัยเครือข่ายของงาน   เราไม่เคยหากินง่าย ๆ กับมิตรประเทศนะครับ   ส่วนมากเราเป็นฝ่ายแบ่งปันความรู้   มากกว่าที่จะขายทุกอย่างเพื่อเงิน


	        สิ่งที่ปรากฏต่อตาของเราไม่ต่างจากที่เราเห็นในประเทศของเรา   สิ่งที่ต่างคือสิ่งที่เราสงสัย  สิ่งนั้นคือทำไมจึงแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างวัยระหว่างผู้สูงอายุกับคนรุ่นหนุ่มสาวและเด็ก   เราเห็นคนต่างวัยทำงานวิจัยและพัฒนาองค์ความรอบรู้ร่วมกัน  เห็นการสนับสนุนที่เข้มข้นของรัฐบาลต่อเขาเหล่านั้นให้ทำงานอย่างมีความสุข  คนทำงานยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับคนในครอบครัวเดียวกัน  ทำเพื่อครอบครัวของตนเองด้วยกัน   


	ครอบครัวก็คือประเทศครับ  ในเมื่อเราถือเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน  จึงไม่ต้องเหยียบครอบครัวอื่นลงเพื่อจะให้ครอบครัวของตนมั่งคั่งมากกว่า


	       ท่านผู้นำเฉลยคำตอบให้เราจนได้ในการสรุปการดูงานโรงเรียนในเขตเมือง



	รายได้ของเราส่วนใหญ่มาจากสินค้าเทคโนโลยีด้านการศึกษาครับ  คงจะผิดจากประเทศของคุณที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากการที่พลเมืองแข่งกันโทรศัพท์ไร้สาระ  เอ่อขอโทษนะครับผมเป็นคนที่พูดตรงมาไปซักหน่อย  ต้องขออภัยท่านผู้นำด้วย   ความจริงเราเคยเรียนที่ฮาร์วาร์ดมาด้วยกัน  ซี๊กันมาก  ผมรู้ว่าท่านใจกว้างและไม่โกรธ


	        ผู้นำของเรายิ้ม ๆ  ทั้งสองคนยักคิ้วให้กันแบบเป็นที่เข้าใจ   พวกเราดีใจที่ผู้นำของเรามีบุคลิกสุขุมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์หรือเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบผู้นำบางประเทศ



	หลังจากดูโรงเรียนแล้วผมอยากให้พวกท่านไปดูท้องนาบ้าง  สนใจไหมครับ   ผมเดาใจพวกท่านไม่ถูกนะ   เพราะเห็นส่งข้าวเป็นสินค้าออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก  แต่คนไม่มีข้าวกินก็เยอะ   อ๋อ  จะดูใช่ไหมครับ   งั้นก็เลือกเลยครับว่าจะดูภาคเหนือ หรือใต้   ตะวันออก หรือตะวันตก


	    ผู้นำของเราถามพวกเรา   คำตอบที่ได้ตรงกันราวนัดก็คือไปดูทุกที่ที่ไปได้   เราจึงได้ไปดูการปลูกพืชแบบไม่ใช้ปุ๋ยเคมีของภาคตะวันออก  และดูการเกษตรแบบไม่ไถพรวนของภาคตะวันตก ดูการเลี้ยงสัตว์ควบกับป่าของภาคใต้   เกษตรเพื่อศิลปหัตถกรรมของภาคเหนือ   เราได้พบว่าทุกภาคมีเกษตรพื้นฐานคือเกษตรที่ตองสนองอาหารการกิน คือข้าวปลา พืชผักผลไม้ หรือสัตว์ที่ใช้เนื้อเป็นอาหาร ทำให้ทุกคนไม่อดอาหาร  ไม่เป็นโรคขาดอาหาร   สิ่งที่แต่ละภาคทำเหมือนเป็นเอกลักษณ์แต่ความจริงคือความสอดคล้องกับดินฟ้าอากาศและเป้าหมายของท้องถิ่นและประเทศบนพื้นฐานของความรู้และเทคโนโลยีความรู้ที่ประชาชนรู้จักเข้าใจและใช้จนเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติโดยไม่มีการผูกขาดไว้กับบางชั้นของคนหรือบางชนชั้นแบบบางประเทศ


	เราไม่เคยอดข้าว   และเรารู้ด้วยว่าข้าวไม่ใช่แค่กินได้ ข้าวคือพลังที่ไม่สิ้นสุด   


	   นั่นเป็นคำพูดของคนกินข้าวเป็นอาหารหลักคนหนึ่ง   เขาปลูกข้าวและเป็นนักศึกษาการแปรรูปผลผลิตระดับเชี่ยวชาญ   ที่ท้องนาและชุมชนรอบท้องนาเราได้ผู้นำของประเทศพูดคุยกับพลเมืองของท่านอย่างกับเป็นอาว์เป็นลุงกัน   ไม่ใช่การเสแสร้งตีหน้าออกทีวีแบบผู้นำบางประเทศที่แสดงออกต่อพลเมืองของตนราวเขาคือผู้ขอและผู้อาศัยอยู่เพื่อขอเศษทานจากผู้นำเพื่อเลี้ยงชีวิตชั่วอายุขัยหนึ่ง



	หลังจากดูท้องนามีที่ที่น่าจะไปอีกคือ  ป่าเขาและทะเล  พวกท่านสนใจไหม ผมอาจจะเดาใจท่านผิดก็ได้   ผมรู้ว่าประเทศของท่านผลิตไม้เพื่อส่งออกและจับปลาทะเลเพื่อการค้าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน


	   คำตอบของพวกเราก็คือไป     เราต้องการที่จะไป   เพื่อดูว่าอะไรที่ทำให้ป่าไม้ของประเทศนี้สวยงาม น้ำท่าอุดม  ฤดูกาลไม่วิปริต   และเหตุใดทะเลของเขาจึงชุกชุมไปด้วยปลาหลากสปีชี่ส์  หมึกและหอยมีมากจนสามารถเอื้อมือไปหยิบจับทักทายได้ในราตรีที่เดือนเพ็ญกล่อมฟ้า   แล้วเราก็ได้เข้าใจความจริงที่เราก็เคยคิด  คำตอบนั้นคล้ายกับคำตอบของชาวนา  คือเมื่อไม่ต้องขายสินค้าวัตถุดิบ  แต่ขายสินค้าแปรรูป ต้นทุนที่จะไปขุดเอาจากธรรมชาติก็ลดอัตราการทำลายของมันลงไป  นครสารขันธ์ขายสินค้าหลักคือเทคโนโลยีความรู้  ดังนั้นธรรมชาติป่าเขา ทะเล  ทุ่งนา  น้ำฟ้าอากาศล้วนเป็นสิ่งที่สืบเสาะมาเพื่อขายเป็นความรู้ได้ไม่รู้จักจบสิ้น   พวกเราเห็นตรงกันว่า  พลเมืองของประเทศนี้ผ่านจากยุคของแย่งชิง  มาสู่ยุคร่วมมือและเผื่อแผ่   สิ่งที่เขาขายคือความรู้ไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติที่มีแต่ใช้แล้วหมดไป   นี่เป็นสิ่งที่ประเทศของเรายังห่างเขาอีกหลาย



	       การดูงานหนนี้ของพวกเราเป็นหนที่ผู้นำและคนดูงานพูดกันน้อยมาก  ทุกคนพยามที่จะเก็บรับถ้อยคำอันพลเมืองประเทศนั้นคิดจนตกผลึกแล้วมาไว้ในห้วงนึกคิด   เรารู้ว่าอกของแต่ละคนอัดแน่นแล้วด้วยคำถามต่อประเทศของตน   ว่าจะเอาอย่างไร  จะเป็นอย่างไร  จะทำอย่างไร

	
	ท่านผู้นำมีอะไรจะพูดถึงพวกเราไหม   ชาวบ้านคนหนึ่งถามเมื่อถึงกำหนดวันสุดท้ายของการดูงานนครสารขันธ์



	มีครับ   ผมรู้สึกชื่นชมพวกท่านและประเทศของท่านที่ช่วยกันออกแบบสังคมให้น่าอยู่  ผมอยากอยู่ในประเทศเช่นประเทศของท่าน และมีความสุขอย่างท่าน..


	   ดูเหมือนท่านผู้นำมีอาการเหมือนคนตื้นตันใจ หรือไม่ก็จุกอกคับใจ   ท่านเหลือบดูนาฬิกาข้อมือที่เป็นทีวีจิ๋วด้วย   ท่านอยากพูดต่อแต่สีหน้าของท่านเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเหมือนคนที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ


	   รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งนครเขื่อนขันธ์ช่วง นิวส์เบรก รายงานว่า ได้เกิดการยึดอำนาจขึ้นที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับนครเขื่อนขันธ์  คณะยึดอำนาจได้ทำการควบคุมสถานการณ์ความไม่เรียบร้อยไว้ได้แล้วโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ   คณะผู้รักษาความเรียบร้อยจะรีบออกกฎหมายสูงสุดโดยเร็ว  เพื่อให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง   ความคืบหน้า จะมีการรายงานเป็นระยะ



	    ซักครู่เดียวท่านผู้นำของเราก็มีสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง  แต่ก็ทุดลงนั่งอย่างคนเหนื่อยล้ามาค่อนชีวิต   ผู้ดูแลเราของนครสารขันธ์เข้ามาดูแลท่านผู้นำทันท่วงที  ท่านว่าไม่เป็นอะไรมาก    คณะดูงานไม่มีใครไม่เหนื่อย   เราพึมพำออกมาคล้ายกันว่า  สำหรับประเทศของเรา  คงอีกนานกว่าจะออกแบบประเทศกันได้   เหตุผลเพราะอะไร  เมื่อกลับไปประเทศอาจจะได้พูดคุยกันถ้าไม่มีใครโดนอุ้มเสียก่อน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์