24 มกราคม 2552 08:26 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
บุญจอม เป็นน้องของผมเอง อายุของผมมากกว่าเขาเพียงสี่ปี แต่เขาดูแก่กว่าผมหลายปี
บุญจอมเรียนเก่งมาก เขาเรียนได้ทุกวิชา จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้แม่นเสียยิ่งกว่าแม่น ผมเคยลองภูมิเขาโดยเอาของซ่อนไว้ใต้ผืนผ้าขาวม้าเจ็ดแปดอย่าง เปิดให้ดูโดยไม่บอกว่าจะทาย ชั่วแป๊บเดียวที่ผมเปิดแล้วปิดผ้าขาวม้า เชื่อไหมครับเขาบอกชนิดและตำแหน่งของมันได้ถูกต้องและครบถ้วน
ผมเรียนได้เพียงหนึ่งในสิบของบุญจอม จดจำสิ่งต่างๆก็ได้ประมาณนั้น บุญจอมกับผมจึงเหมือนคนต่างจำพวกโดยไม่มีใครจัดจำพวก อย่างตอนที่บุญจอมอ่านตำราผมก็จะละไปพูดจากับต้นไม้ หรือตอนที่บุญจอมคิดเลขผมก็ผละไปหยอกกับปลาอะไรแบบนั้น แม้บุญจอมจะไม่พูดว่าพี่ชายของเขาโง่ ผมก็พอจะรู้เป็นเลาๆว่าเขาคิดแบบนั้น รอยหยักที่มุมปากของเขานั่นไง สองข้างมันไม่เท่ากัน
บุญจอมปรารถนาจะเป็นนักปรัชญาเขาจึงเลือกที่จะเดินทางสายนักบวชเพื่อจะมีโอกาสเรียนหนังสือโดยไม่ต้องอาศัยทุนจากคอกวัวของพ่อ เขาบอกว่าคนอื่นเรียนต้องขายควายส่ง แต่เขาไม่ เขาว่าเขามีเส้นทาง อาณาบริเวณของเขาเอง
ด้วยเหตุดังนั้น ผมกับบุญจอมจึงไม่ได้พูดคุยกันทุกเช้า เที่ยง เย็น ตามมื้อของอาหารเหมือนเช่นเดิม ก็มีอยู่บ้างที่ผมต้องไปส่งจังหัน หรือส่งเพล ในคราวที่แม่ติดภาระอื่น ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราได้พูดคุยกันเกินกว่าสี่ถึงห้าประโยคด้วยว่าที่นักปรัชญาสำรวมมากจนเกินไปนั่นเป็นข้อหนึ่ง ส่วนข้อสองผมไม่ยินดีนักที่จะตอบคำถามที่ผมไม่เข้าใจความหมาย
หลายเดือนทีเดียวกว่าผมจะพ้นหน้าที่ส่งจังหันและเพล แม่ไม่ได้ปลดผมออกจากงานนั้นแต่เป็นเพราะนักพรตได้จาริกไปศึกษาต่อในแดนไกล ก็ที่ที่คนแถวบ้านผมแย่งกันเข้าไปหางานหาอยู่หากินนั่นแหละ อาจเป็นบุญของเขาที่เมื่อคราวผ้าป่าจากกรุงเทพฯมาทอดถวายที่วัดในหมู่บ้านบุญจอมได้รับคำเชื้อเชิญให้เดินทางแสวงหา ณ สำนักที่ผมก็จำชื่อไม่ได้
ผมเกือบลืมไปแล้วว่ามีน้องที่เหมือนพี่อยู่หนึ่งคน ถ้าเขาไม่กลับมาที่บ้านต่อยุ้งและเพิกคอกวัว ใช่ครับบุญจอมกลับบ้าน หัวของเขายังคงเกรียนครับและผ้านุ่งและห่มไม่ใช่แบบที่ผมเห็นคราวที่ไปส่งจังหัน เขาสวมสูทแบบนายก สีหน้าท่าทางการวางตัวเกือบจะเหมือนรัฐมนตรี คำพูดคำจาก็ปานว่าผู้ช่วยศาสตราจารย์ในวันที่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งใหม่ มีคนมากับเขาด้วยเป็นผู้หญิงสองคน คนหนึ่งมีอายุมากแล้ว อีกคนน่าจะผ่านวัยแรกรุ่นมาได้ไม่นานนัก บุญจอมและผู้หญิงทั้งสองคนบอกกับแม่ถึงการเดินทางมาในครั้งนี้ แม่รับรู้และเข้าใจ พ่อก็คงจะเข้าใจเช่นนั้นด้วย ส่วนผมเก้กังและเคอะเขินที่จะจับความทำความเข้าใจให้ครบถ้วน อยู่ตรงนั้น จึงผละหนีตามรูปแบบของคนตื้นเขินภูมิรู้ เมื่อบุญจอมกับคนที่มาด้วยจากไปผมจึงได้ถามพ่อจนได้คำตอบว่าบุญจอมสึกเพราะอะไร
ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าบุญจอมจะสึกไวอย่างนั้น ตามที่ผมวาด ผมคาดว่าเขาน่าจะอยู่ในพรรษาเนิ่นนานกว่านี้ หรือบางทีอาจจะไม่สึก เพราะโอกาสที่จะเป็นปราชญ์เป็นจอมปราชญ์เมื่ออยู่ในวงของศาสนาน่าจะทำได้ไม่ยาก แต่นี่เขากลับเลือกทางที่จะต้องใช้หัวสมองคิดแบบฆราวาสว่านาที่นี้ วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้จะต้องทำกำไรเท่าไร จะเลี่ยงภาษีได้เท่าใด จะบริหารบางคนบางงานข้างหลังฉากได้หรือไม่ เหล่านี้มันล้วนแต่เรื่องต้องเปลืองหัวในส่วนที่ควรจะสร้างสรรค์ประโยชน์สำหรับโลกทั้งนั้น แต่บุญจอมก็เลือกไปแล้ว พ่อบอกว่าคนที่มากับบุญจอมคนหนึ่งคือว่าที่แม่ยายอีกคนก็คือว่าที่ภรรยาของคนอายุน้องแต่หน้าพี่ของผม ผมเดาว่าในผ้าเหลืองบุญจอมอาจมีความปรารถนาอย่างอื่น ๆ ผุดขึ้นมาแทรกแซงปรารถนาที่จะเป็นจอมปราชญ์ก็ได้ และเมื่อสิ่งนั้นอยู่แค่เอือมมือไปหยิบฉวยเอาไว้ทำไมคนฉลาดอย่างเขาจะไม่ฉวย แต่ผมก็เดาว่าบางทีว่าที่แม่ยายกับว่าที่ภรรยาอาจเร่งหยิบฉวยโอกาสบางอย่างไว้ก่อนที่บุญจอมจะทันได้คิดก็ได้
หลังจากบุญจอมกลับกรุงเทพฯไปแล้ว ไปรษณีย์จะมาส่งธนาณัติและข้าวของที่บ้านต่อยุ้งถี่ขึ้นมาก ไม่นานพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจขยายบ้านให้ใหญ่ขึ้น ใต้ถุนลาดซีเมนต์ เพิงคอกวัวขยับห่างจากตัวบ้านออกไป ห้องน้ำห้องท่าสะดวกสบายสำหรับแขกไปใครมาได้ด้วย พ่อกับแม่ไม่ขัดเมื่อผมตัดสินใจที่จะไปปลูกกระต๊อบที่หัวไร่ปลายนา และเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกพ่อแม่กับกระต๊อบของตัวเอง เวลาผ่านไปอีกไม่ถึงครึ่งปี พ่อกับแม่ก็บอกกับผมว่าจะปลูกเรือนหลังใหม่ เผื่อน้องชายกลับมาอยู่บ้าน ผมก็ไม่ขัดข้องในความเจริญที่กำลังเกิดขึ้น แต่ขอพ่อกับแม่ขยับไกลออกไปจากหัวนาเป็นป่าชายเขา เมื่อพ่อแบ่งควายให้ผมก็ขอแบ่งขายเพื่อซื้อดินแปลงเล็ก ๆ เพื่อใช้ชีวิตส่วนตัวตามลำพัง แรก ๆ ผมก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านพ่อแม่กับกระท่อมของตัวเอง นานเข้าผมก็นาน ๆ ถึงกลับมาบ้านพ่อแม่เหมือนกัน เริ่มมีเวลาอ่านหนังสือที่บุญจอมทิ้งไว้เป็นมรดก เริ่มรู้จักการกำหนดลมหายใจ เริ่มทดลองสมาธิ และเริ่มมีใจต่อการเป็นนักปรัชญา ผมเริ่มนึกถึงบุญจอมอีกครั้ง ถึงเมื่อครั้งที่เขามีทีท่าอยากเป็นนักปรัชญาหนโน้น
เมื่อพ่อกับแม่สร้างบ้านหลังใหญ่หลังใหม่ พร้อมกับรื้อคอกควายออกไปยกสมับติชิ้นนี้ให้ผม บุญจอมก็กลับมา แต่คราวนี้เขากลับมาเดี่ยว ธุรกิจที่เขารับจ้างดูแลไม่มีกำไรเพราะไม่มีคนซื้อสินค้า ว่าที่ภรรยาและว่าที่แม่ยายก็เปลี่ยนไป ผมมองดูเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าหนุ่มใหญ่ผู้อายุน้อยกว่าพี่ชายกำลังอยากเป็นนักปรัชญาอีกครั้ง คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเริ่มที่จะพูดคุย ในขณะที่เขาเหมือนอยากพูดน้อยลง
"ไปอยู่สวนของพี่ไหม ที่นั่นมีที่สงบสำหรับเดินจรง
กรมด้วย เป็นส่วนตัวดีมาก" บุญจอมไม่พูดแต่ผงกหัว เมื่อเป็นดังนี้สวนป่าของผมในเวลาต่อมาจึงเป็นราวกับแหล่งอาศรมของฤษี 2 ตน คนหนึ่งคือผมกับบุญจอม ผู้ปรารถนาสิ่งนั้น
อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ ว่ามันคือสิ่งเดียวกับสิ่งที่ผมปรารถนา
บางช่วงนาทีที่ผมรำลึกว่าผมปรารถนาสิ่งใด ผมภาวนาอย่างอัตโนมัติเงียบๆ ในใจว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ห้วงเวลานั้นผมได้ยินคล้ายบุญจอมรำพึงเบา ๆ ๆว่า
โถ่....ไม่น่าเลย
1 มกราคม 2552 00:39 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เฮ ฉายาของหนุ่มผมยาววัย 30 เศษ ผู้ที่ผมเคยท้าทายให้ขี่มอเตอร์ไซค์ถอยหลังเมื่อสิบกว่าปีก่อน หน้าตาของเขาแม้จะไม่เหี่ยวโรยแต่ก็มองเห็นร่องรอยที่ผมเรียกว่ารอยบากของชีวิตได้ชัดเข้มขึ้นไม่ยากนัก แผลนั้นแต้มหน้าเพราะเขาพลาดท่าขี่รถเครื่องแบบพิสดารแหกโค้งไปสัมผัสศิลแลงหลากเหลี่ยมริมทาง รอยแผลอาจดูคล้ายลักยิ้มมากหากมันไม่ขีดไว้ที่ข้างขวาของแก้มเพียงข้างเดียว
เฮ เป็นนักบิดที่ไม่มีใครในหมู่บ้านที่ไม่แช่ง รถเครื่องที่พ่อของเขาซื้อให้เขาแกะเครื่องประกอบออกจนดูโกร๋น แถมทะลวงไส้ท่อไอเสียให้มันเกิดเสียงดังทะลวงหัวใจชาวบ้านยามเร่งบิดประชดยมบาล รถเครื่องคันนั้นได้ขายเป็นเศษเหล็กไปนานแล้วแต่ตัวเขาก็ยังคงเหลือเป็นเศษชีวิตไว้สำหรับการด่าทอของใครอีกหลายคน
เฮ เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง เคยมีเมียเป็นตัวเป็นตน มีสมบัติทุกอย่างที่คนควรจะมี แต่เขาละจากสิ่งเหล่านั้นมาเหมือนไม่ผูกมัด อย่างเช่นบ้าน เขาก็ปล่อยให้มันรกและไม่ปัดกวาด เมีย เขาก็ปล่อยเธอให้อยู่ตามลำพังไม่รู้ว่าอยู่หรือกินอย่างไรแน่ ข้าวของในร้านค้าที่พ่อทำให้ เขาก็ปล่อยให้เมียขายจนสินค้าหมดร้านแต่ไม่ซื้อมาเติม เขาชอบแต่จะถกปรัชญาข้างจอกเมรัยกับใครก็ตามที่เอ่ยถ้อยคำได้ แต่ขอโทษ ถ้าคุณไม่รู้จักปรัชญาเมธีกระเดือ่งนามของโลกมีหลายคนแนะนำว่าอย่าได้สะเออะทุ่มเถียงกับเฮดีกว่าเพราะอาจจะโดนเขาหมิ่นแคลนด้วยนัยระหว่างพยางค์ของคำเอาก็ได้
เมื่อทรัพย์ทั้งมวลที่คนอื่นเตรียมไว้ให้ไม่สามารถทนอยู่กับเฮได้ เขาก็กลายเป็นราวนักพรตพเนจรหากหาชอบรักษาความสะอาดแม้ของหนวดเคราไม่ คนหนุ่มแต่ทรุดโทรมราวเฒ่าชราสวมเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชุดราวกับนี่คือวัตรอันสำคัญอย่างหนึ่งของผู้แสวงความหลุดพ้นไปจากวิถีแบบผู้ครองเรือน กลิ่นตัวของเฮนั้น เด็กบางคนอธิบายว่าแร้งตายก็มิปาน ถ้าเช่นนั้นถ้ารวมกลิ่นเมรัยกลิ่นควันยาสูบที่เขาละเลียดต่อเนื่องทุกนาทีกับกลิ่นเสื้อผ้าที่ไม่ชอบสัมผัสผงซักหรือน้ำยาปรับผ้าชนิด ๆ ใดจะเป็นกลิ่นที่สัตว์ชนิดใดจะทนได้บ้าง ก็พอที่จะเดาได้ว่าทำไมผู้หญิงที่เขาเรียกว่าเมียจึงตัดสินใจจากไปแม้เขาลั่นวาจาว่าจะยกเรือนบนที่ดินเกือบสองงานให้ก็ตาม
เฮ รู้จักดมกาวมาตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะไปกับเพื่อนต่างวัย รู้จักกัญชามาตั้งแต่ยังไม่จบ ป.6 ดี เพราะเขาเป็นคนอาสาไปซื้อให้กับผู้ใหญ่ในกลุ่มด้วย เหล้าและบุหรี่ดูจะเป็นของธรรมดาในกลุ่มของคนวัยเดียวกันที่คบกันอยู่ สิ่งเหล่านี้ไกลจากสายตาของพ่อแม่ของเฮ ที่อาจจะสนใจแต่ทำมาหากินในแบบฉบับของตัวเอง เวลาที่ทุกคนในบ้านรู้ว่าเฮติดกาวก็เป็นเวลาที่เฮชอบเอ่ยถ้อยปรัชญาที่คนธรรมดาฟังไม่ได้เสียแล้วนั่นแล
ในวันที่ทุกคนกำลังนับถอยหลังเพื่อเริ่ม พ.ศ.ใหม่ คนในบ้านหลังใหญ่จัดงานเลี้ยงและเตรียมแลกของขวัญ เขาเดินก้มหน้าหงอหงอยเข้าไปในบ้าน ทุกคนมองเขาราวเป็นสัตว์ที่ไม่น่าไว้ใจ ผมมองเห็นเขาแบมือขอเงินจากพ่อได้เงินยิ่สิบบาท ผมมองเห็นแม่ของเขาหยิบของกินจากถาดอาหารบุ๊ฟเฟ่ใส่ถุงหูหิ้วเพื่อให้เขาแยกห่างออกไปกินห่าง ๆ คนอื่น คนในบ้านรังเกียจเขาเพราะเขาเคยทำลายข้าวของในบ้าน เคยแอบหยิบเอาของกินและสิ่งอื่นโดยไม่ขอและอื่น ๆ อีกมากที่แม้แต่พี่สาวของเขาก็เรียกว่ามันเป็นนิสัยและกิริยาอันเหลือรับ ทว่าวันนั้น นาทีนั้น เฮ ไม่หยิบเอาสิ่งใดเลยนอกจากที่แม่ของเขาหยิบและห่อให้ ของกินพวกนั้นเขาเตรียมเอาไปกินต่อที่ทุ่งนาห่างไกลออกไปอีกไกล
ผมรู้ว่าเฮมีเรื่องอยากพูดคุยกับผม อาจไม่ใช่เพราะผมเป็นคนเขียนเรื่องราว แต่น่าจะเป็นเพราะว่าผมมีท่าทีรับฟังสิ่งที่เขาพูดมากที่สุดโดยไม่วิพากษ์แม้ซักครั้งว่าเหลวไหลไร้สาระ สิ่งที่ผมต้องการรู้คือ เขาจดจำสิ่งที่ดีงามอันใดได้หรือไม่ในวัยที่เขาเป็นเด็กและอายุห่างจากผมไม่มากนักนั้น
ใช่ครับ เช้าพรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยมเขาที่กระท่อมกลางทุ่งโน้น
27 ธันวาคม 2551 13:37 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
อากาศปลายเดือนธันวาคมหนาวเย็น จนควันไฟที่ลอยเรี่ยอยู่ทั่วไปตามหมู่บ้านชนบทเคล้ากันแทบเป็นสายเดียวกับหมอกฟ้าที่เรี่ยพื้น ผู้เฒ่าและเด็กน้อยต่างละจากที่นอนและผ้าห่มผืนบางมานั่งล้อมกองไฟที่สุมขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ให้ความอบอุ่นได้ต่อเนื่องและค่อนข้างนาน
หลายวันก่อนลมหนาวพัดแรงจนแนวไผ่ไหวเอน ลมอย่างนั้นทำไผ่สีกอระรัวฟังคล้ายกับใครบางคนสะอึกแกมสะอื้นในบางคราวที่เหงาและหมองหม่นยิ่ง
วานซืนอากาศก็ยังเป็นอย่างนั้นแต่วันนี้ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนแปลงไป เมฆดำแกมหมองแผ่เป็นแนวบาง ๆ คลุมไปทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แล้วฝนก็พรำลงมาจนแม้แต่คนหนุ่มบางคนยังถึงกับสะบัดหนาว
นั่นเองที่ทำให้กองไฟในที่โล่งหลายแห่งต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ใต้เพิงหมาแหงนใกล้คอกวัวแทน
"อากาศมันเปลี่ยนไวอย่างนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ลำบากแย่เลย .. เอ้านี้ข้าวจี่สุกแล้ว"
"ขอบใจจ้ะ..เด็กก็เป็นหวัดเป็นไข้กันแยะมาก ใครไม่มีเสื้อหนาวยิ่งลำบาก"
"หลายปีก่อนแถวบ้านเรามีคนเอาเสื้อหนาวมือสองราคาถูกๆมาขายหาซื้อที่ไหนก็ได้"
"สองปีมานี้พวกพ่อค้าหันไปขายพวกของกินกันหมด..หนังเค็มคงจะสุกแล้วมั้ง"
"อืม..กลิ่นหอมเชียว เดี๋ยวฉันจะทุบหนังวัวเผานี้ให้เอง กินกะแจ่วปลาร้าอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ เออมันเทศก็สุกแล้วด้วย ว่าแต่ว่ามีใครอยากจิบวิสกี้ข้าวเหนียวกะหนังเค็มไหม ฉันจะยกมาให้"
"ยกมาเลย "
วงสนทนาของคนวัยกลางคนสามคนดำเนินไปท่ามกลางกลิ่นควันไฟเคล้ากลิ่นหนังวัวเผา แจ่วปลาร้าและวิสกี้ข้าวเหนียว ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก
"พี่ไปทำงานที่ไหนต่อหลังจากแยกทางกับหน่วยงานเก่า"
"ก็ไปรับจ้างฝรั่งทำงานอยู่แถวใกล้เขื่อนน้ำงึมของลาว พอเขาหมดงบจ้างก็ไปทำงานกับหน่วยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ"
"แล้วพี่สะใภ้ล่ะ"
"เขาก็ยังทำงานอยู่ที่เก่า ลูกชายตอนนี้ก็แต่งงานไปแล้วและไปอยู่บ้านเมีย เหลือลูกสาวอีกคนอยู่กับแม่ของเขา"
"เราไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีแล้วนี่เนาะ ผมกับแฟนดีใจมากเลยที่พี่แวะมาเยี่ยม"
"พี่ก็ดีใจ พอดีหน่วยงานใหม่ของพี่เขามาเปิดงานแถวนี้ก็เลยคิดถึงพวกเอง นี่ได้น้องกี่คนแล้วล่ะ"
"ยังไม่มีน้องเนิ้งซักคนเลยพี่"
"เออ..ว่าไปแล้วมันก็ดีอีกแบบหนึ่ง คือไม่ต้องพะวักหน้าพะวงหลังกับภาระแบบคนเป็นพ่อแม่"
"แต่บางทีมันก็เหงา เราคิดว่าถ้ามีลูกคงมีอะไรทำร่วมกันเยอะแยะ"
"เอ็งสองคนใครเป็นหมันล่ะ"
"คงเป็นหมันทั้งคู่ค่ะ"
"งั้นก็อย่าไปซีเรียสเรื่องลูกเลย มีอะไรให้ทำสนุกเยอะแยะไปอีกอย่างก็ไม่ต้องห่วงเรื่องลูกด้วย"
"อ้าว..ทำไมล่ะคะ"
"ก็เด็กทุกวันนี้ ถ้าเราเลี้ยงเขาด้วยเงินอย่างเดียวโดยไม่มีเวลาดูแลอบรมนิสัยใจคอก็จะเสียผู้เสียคนได้ง่ายดาย อย่างที่พวกเราเห็นในข่าวทุกสื่ออยู่ทุกวัน"
"อ๋อ..เข้าใจค่ะ แถว ๆ ชนบทบ้านเราก็เป็นแบบในข่าวแล้วหลายราย เรียนยังไม่จบท้องป่องกันซะแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก เดือดร้อนพ่อแม่ต้องรับกรรมจากความสนุกชั่วประเดี๋ยวประด๋าวของตัวเอง"
"พี่เคยเก็บข้อมูลวิจัยว่าทำไมเด็กจึงท้องในวัยเรียนกันมาก"
"ได้คำตอบว่ายังไงหรือครับ"
"เด็กเขาบอกว่า พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่ด้วย ไปหาเงินต่างถิ่น อยู่กับยาย ยายก็ไม่มีเวลาติดตามสอดส่องดูแล ครูก็ไม่มีเวลาอบรมนิสัยใจคอ ทุกคนไม่มีเวลาสำหรับเด็ก สื่อก็โฆษณาลงไปทำให้เด็กเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมชวนให้ชิงสุกก่อนห่าม เด็กเลยเอาอย่าง"
"โอ..มันเหมือนทุกคนโดนตบหน้าฉาดใหญ่เลยนะคะเนี่ย"
"พี่ก็คิดอย่างนั้น แต่ดูเหมือนไม่มีใครกลับมาทบทวนตัวเองกันเลย มีแต่วิ่งไปข้างหน้า ตะกายฝันว่าจะร่ำรวย โดยที่ไม่คิดว่า วันนั้นคิอวันที่ได้สูญเสียคุณค่าของความสุขของครอบครัวไปแล้ว"
"มีคนเคยถามผมว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร"
"แล้วเอ็งตอบเขาว่าอย่างไร"
"ผมไม่มีคำตอบสำหรับเขา ผมมีแต่คำถาม ผมถามว่าทำไมพ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกด้วยเงิน ทำไมพ่อแม่ต้องไปจากบ้าน ทำไมครูอาจารย์จึงสอนแต่หนังสือแต่ไม่สอนชีวิต สื่อสารมวลชนจึงคิดถึงแต่เงินไม่คิดถึงคุณภาพของสังคมไม่คิดถึงคุณธรรมจริยธรรมของสังคมและอีกหลายคำถาม"
"แล้วเขาตอบเองไหม"
"ไม่ครับ"
"นั่นไง ทุกคนก็เหมือนกันตรงที่เรียกร้องเอาคำตอบจากคนอื่น เรียกร้องคาดหวังให้คนอื่นเป็นฝ่ายแก้ โดยที่ตัวเองก็ไม่ลงมือทำ คำตอบมันง่ายนิดเดียว เริ่มตรงไหนก่อนก็ได้ เพราะมันกระทบกันไปหมด"
"งั้นอันแรก หยุดเลี้ยงลูกด้วยเงินนั้นก็ได้"
"ใช่..ก็ได้ ถ้าเราเลิกให้เงินมีคุณค่ากว่าความเป็นมนุษย์เราก็จะมองมันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เราจะมองคนรวยแต่ขี้โกงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เราจะมองการเลี้ยงลูกด้วยเงินของเราเองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เราจะกลับมาสนใจคนในครอบครัวมากขึ้น เลี้ยงดูเขา เอาใจใส่ได้มากขึ้น"
"สังคมเลวร้ายไม่ใช่เราไม่มีส่วนทำให้มันเลวร้าย"
"ถูกต้อง... เราแห่ไปตาม ๆ กัน เห็นอ้ายหมอนั่นรวยก็อยากรวยอย่างมัน นับถือมันทั้งที่มันฉ้อฉลเอาจากคนอื่น ๆ ดิ้นรนสายตัวแทบขาดเพื่อที่จะรวยจนลืมถามลูกว่า จริง ๆ ลูกต้องการความรักความเอาใจใส่ดูแลหรือต้องการแค่เงิน"
"อา...ผมเห็นแจ้งแล้วจริง ๆ หนอ แต่ว่าสังคมของเราไปไกลมากเลยนะครับ"
"ใช่..มันไปไกลมาก จนไปเห็นทางตัน ไม่กลับก็ไปต่อไม่ได้"
"หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือหันกลับมาทบทวน สถานการณ์มันบีบทุกคนเอง"
"ถูกต้อง...."
25 มีนาคม 2551 13:46 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เมื่อวานเป็นวันที่ผมรู้สึกเมื่อยล้าที่สุดในชีวิต ความล้านั้นคงเป็นผลมาจากการตรากตรำทำงานติดต่อกันมาหลายวัน ผมอยากปิดเปลือกตาหลับให้สนิทเพื่อพักความนึกคิด ผมอยากนอนแผ่หลาเพื่อให้พื้นซีเมนต์ของบ้านดูดซับเอาความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดของผมไป แต่ก็ทำได้ไม่นาน เพราะงานหลายอย่างยังมีมาให้สะสาง
000
จำได้ว่า ตอนผมเป็นเด็กพ่อนอนให้ผมขึ้นเหยียบและไต่ไปบนแผ่นหลังเสมอ พ่อบอกว่าวิธีการแบบนี้จะช่วยให้เส้นเอ็นตามเนื้อตัวผ่อนคลายหายปวด ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ ก็ทำหน้าที่ของลูกไปอย่างนั้น แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งนั้นมีความหมายมากมายกว่านั้น
พ่อกรำงานสารพัดตลอดวัน เมื่อถึงเวลาเย็นพ่อจึงดูเหน็ดเหนื่อยมาก พ่อนอนแผ่หลากับพื้นเรือนที่เป็นไม้ขัดจนเป็นมันวับ ผมได้ทำหน้าที่ไต่ไปบนหลังพ่อ ไต่จากแนวไหล่ไล่ลงมาจนถึงต้นขา วนไปและวนมาจนพ่อบอกพอจึงหยุด ผมเห็นพ่อหลับแล้วก็สงสาร
เมื่อวานลูกชายของผมได้ทำหน้าที่ในแบบที่ผมเคยทำต่อปู่ของเขา
การที่ผมให้ลูกไต่ไปบนแผ่นหลังเพื่อให้เขาได้รับรู้เสียงขยับของกระดูกและเอ็นสายตัวที่เขม็งเกร็งตลอดชั่วโมงของการทำงาน เสียงกระดูกและเอ็นที่เลื่อนขยับคงสัมผัสได้ที่ฝ่าเท้าของเขา ผมได้ยินเขาพูดว่า พ่อครับ เสียงกระดูกพ่อลั่นหลายที หลายที่นะครับ ผมหัวเราะหึ ๆ และว่า มันเป็นธรรมดาลูก คนใช้แรงงานก็ต้องเป็นแบบนี้