16 เมษายน 2549 00:48 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
1. ไกลแล้ว แป้วใจ เพื่อนไกลแล้ว
เหลือแวว หวั่นไหว กับใจหวัง
หวาดหวั่น เหว่ว้า ละล้าละลัง
กลัวเพื่อน หน่ายชัง จนแชเชือน
2. หนึ่งน้อย น้ำใจ และไมตรี
คือยิ้ม ยินดี ไร้ที่เหมือน
วันหวาน อันมี ณ ปีเดือน
กลัวเลือน ลับลา คราจากจร
3. เมื่อไร เพื่อนข้า คืนมาเนา
ใจเรา ย่อมเอื้อ เหมือนเมื่อก่อน
ฝากฝัน วันวาน ด้วยกานท์กลอน
บอกว่า อาทร เพื่อนข้าแท้
4. ขอเก็บ รอยยิ้ม ไว้พิมพ์ใจ
ยามใด ทุกข์ช้ำ จนย่ำแย่
ขอยิ้ม เย็นตา มาดูแล
ดวงแด จะดี ได้บัดดล
5. ไกลแล้ว ทำใจ เพื่อนไกลแล้ว
วี่แวว เรี่ยหาย ปลายถนน
โอ้หนอ อยากรัก ใครสักคน
เห็นเหงา เกลื่อนกล่น อยู่นี่แล้ว
15 เมษายน 2549 07:59 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
๑. แล่นแตร แหมเป่าเราเองเพลิน
ลายแคน ม่วนเกินห้ามใจไหว
ออกทาง ย่างขยับด้วยจับใจ
ลีลา ลอกไหนล่ะหนอนั่น
๒.อ๋อทาง แขกระบำกะลำซิ่ง
อย่างลิง เล่นน้ำขำปนขัน
เป่าแคน แล่นตรอยร้อยสัมพันธ์
เธอรำ โค้งฉันหน่อยเพื่อนเพลง
๓.สงกรานต์ บ้านนาพาเพลินใจ
บ่มี ผู้ใดมาข่มเหง
ทุกคน ล้วนสมัครใจนักเลง
เอื้อเฟื้อ บ่เบ่งอวดกบาล
๔.เล่นน้ำ เหนื่อยแล้วมาร้องรับ
พิณแคน ขยับเป็นลายหวาน
สาโท แจกจ่ายเป็นได้การ
อยากให้ เพลินนานก่อนคืนกรุง
๕.กลับแล้ว บ้านเราคงเศร้าหงอย
ใครหนอ รอคอยอยู่ขอบทุ่ง
รอรัก มานำมาบำรุง
ล้อรุ้ง วงงามตามม่านฟ้า
๖.แล่นตรอย ถอยแคนแตรแล่นแตร
พิณแหย่ เพลงหยอยหน่อยเถิดหนา
บอกเพื่อน ว่าเรายังเนานา
สงกรานต์ ปีหน้าคืนมาเพลิน..
14 เมษายน 2549 10:26 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
1. วารี บ รุ่มร้อน...........คราวสรง
ธารชื่นชวนหมู่ลง.....เล่นน้ำ
ไมตรีย่อมยังคง.......โดยจิต เนื่องแล
เย็นอย่างน้ำมิตรค้ำ...กอบเกื้อหทัยสมาน
2. สราญโดยร่วมลิ้ม.......รสขม
ทิพย์แห่งเมรัยนิยม.....ยิ่งแล้ว
ไมตรีบ่พาตรม...........มาแต่ ใดนา
ชื่นอยู่ชนบ่แคล้ว.....ร่วมซร้องชโยขยาย
5 เมษายน 2549 16:33 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
1. อา...
ข้าพเจ้าจะวางเฉยต่อหัวใจของข้าพเจ้าอย่างไรดี
ในความคำนึงถึงวันที่ผ่านเลย
ที่ข้าพเจ้าได้เคยนั่งอยู่ต่อหน้าท่าน
ในการอันเอ่ยเอื้อน ยกเอาวาทะของเหล่าปรัชญาเมธี
เจ้าสำนักทฤษฎี บรมกูรู มามีแก่ใจแบ่งปันแก่ท่านผู้มีธุลีในดวงตา
2. ก็ในกาลนั้น ๆ
ท่านและแววตาของท่านมิได้บ่งสำนึกอันคดงอ
อันใดต่อข้าพเจ้าเลย
กิริยาเช่นว่านั้น
มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกยิ่งใหญ่อย่างมหาบุรุษ
ผู้ค้นพบสัจการแห่งตนกับความจริงอันยิ่ง แห่งสรรพสัจจะ
3. ในกาลที่ข้าพเจ้าได้ประกาศเว้นบรรทัด นั้น
ข้าพเจ้ารู้สึกถึงอุทกภัยในดวงตา( คำของคุณคุ่น)ที่เร่งรื้น ยากเลี่ยงเร้น
ของข้าพเจ้าเองกับมหามิตรไกลใกล้ ว่าคงจะท้นและนองท่วมไปทั่วในไม่ช้า
ต่อสายเป็นทะเลน้ำตาของเยื่อใยของใจระหว่างข้าพเจ้า มหามิตร
แลมหาประชาชน
4. ณ นาทีที่ข้าพเจ้าได้เว้นบรรทัดไปนี้
ขอท่านโปรดอย่าได้ตัดพ้อต่อว่าข้าพเจ้าเลย
ว่าไฉนไม่ทำหน้าที่อย่างที่เคยทำ
เพราะนั่นจะทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิด
ว่าได้ทอดทิ้งท่านกับทั้งมหาประชาชนด้วย
ข้าพเจ้าขอฝากชนผู้ยากทั้งมวลด้วย
ไว้ในเงื้อมมือเมตตาของท่าน
กับทั้งฝากคำของข้าพเจ้าไว้ด้วย ว่า..
ถ้าชาติหน้ามีจริง หรือข้าพเจ้าได้ผุดขึ้นจากโลกันตมหานรก
ข้าพเจ้าจะกลับมารักประชาชน เหมือนเดิม
ส่วนความคับข้องใจในเรื่องของจริยธรรม
ท่านไม่ต้องครุ่นกังวลใด ๆ
เพราะเมื่อโลกเหวี่ยงหมุนไปตามแรงของคลื่นความเปลี่ยนแปลง
ประชาชนคงสับสนจนชินชาไปเอง
ว่าไม่ใช่สาระสำคัญของการดำรงความเป็นสิ่งมีชีวิตต่างจากสัตว์
5. อา..
( ใช่ นั่นเป็นเสียงสูดหายใจเข้า สั้น และถอนหายใจยาวของข้าพเจ้าเอง)
แต่.. ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าเกือบทำใจได้เท่านั้น
อืม..
ท่านยังจริงใจต่อข้าพเจ้าเป็นที่สุด
และแววตาของท่านก็แจ้งว่าจริงอย่างที่สุด
แต่ใยท่านไม่หลอกข้าพเจ้าบ้างเล่า
มหามิตร
เพื่อช่วยให้ข้าพเจ้าเว้นบรรทัดหัวใจได้จริง
พูดมาซักคำเถิด
ว่า.. ข้าพเจ้าจะวางเฉยต่อหัวใจของข้าพเจ้าอย่างไรดี
มนตรีแห่งรัฐ แห่งข้า ฯ
4 เมษายน 2549 18:12 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
1. ท่านช่างรู้หัวใจของข้าพเจ้า
มากกว่าที่ข้าพเจ้ารู้หัวใจของข้าพเจ้าเอง
ท่านกล่าวไม่ผิดเลย
ว่า..
ข้าพเจ้าหมายครอบหัวใจของหมู่ชน
กับทั้งครองสรรพสิ่งถ้วนแคว้นที่ผู้เกิดก่อนรุกรบเสาะหา
กับรบราพิทักษ์สงวนไว้
และก็เป็นจริงด้วย
ที่ว่า..
ทรัพย์สินเงินตรา
เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าหาได้ง่าย
เพราะกลและวิธีที่ข้าพเจ้าใช้นั้นเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยออกแบบไว้
สอดรับกับพยาธิสภาพของสังคมที่ข้าพเจ้าอยู่
คือประดาชน จน เขลา โซไข้ ไร้กำลังรวมกลุ่มหรือแข็งขืนทักท้วง
หรือตั้งคำถามใด ๆ ต่อข้าพเจ้า ในกลกรรมทั้งมวลที่ข้าพเจ้าได้ลงมือไป
2. และก็จริงยิ่งกว่าจริง
เหมือนที่ท่านว่า..
ว่า..
หัวใจของข้าพเจ้ากำลังอยู่ระหว่างห้วงอันเกือบจะหอนโหยหวน
ด้วยข้าพเจ้าไม่อาจขยับย่างไปทางใดได้อย่างสะดวกดาย
ทุกทางที่ข้าพเจ้าประสงค์จะขยับย่าง
มันถูกดึง ถ่วง หน่วง รั้ง กระทั่งเหนี่ยวเน้นและน้าวโน้ม
มิให้เป็นอิสระที่จะกระทำอย่างใจ
ข้าพเจ้าประสงค์ที่จะเว้นบรรทัดซึ่งยิ่งกว่าเว้นวรรคเสียอีก
แต่ข้าพเจ้าก็หาทำได้ไม่
เพราะมืออันทรงอำนาจ
พร้อมที่จะบีบกดหลอดลมหรือกำคั้นคอหอยของข้าพเจ้าทุกเมื่อ
หากข้าพเจ้าคิดจะทำอย่างไม่ขึ้นกับเหล่าเขา ..คนเคียงข้าง
..คนรอบข้างของข้าพเจ้า
3. ท่านช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
ข้าพเจ้าอยากเว้นบรรทัด อย่างน้อยก็จัดวรรคใหม่
แบบที่ข้าพเจ้าไม่ต้องรับโทษานุโทษในกลกรรมอันข้าพเจ้าทำ
ตามอำนาจของคนรอบข้างทรงพลัง
4. ท่านจะไม่ช่วยข้าพเจ้าหรือ
ประดาประชาชน
5. ( ฮ่วย )