6 ธันวาคม 2547 05:37 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
1. หนาวหรือ
ก็จะเป็นไรไปเล่า
กายนี้ก็ทนอยู่ได้
และก็ทนมาแล้วนานเป็นนาน
2. จะหนาวกว่านี้อีกหรือ
ก็จะเป็นไรไปเล่า
กายนี้ก็หยัดอยู่สู้ทนมิถอยเสมอมา หรือมิใช่
3. ความหนาวไม่ใช่อุปสรรค
เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางกาย
ที่จะก่อผลทางใจได้มากหรือน้อยก็ได้ อยู่ที่ใจของใครของใครจะรับอารมณ์
4. เพียรภาวนาต่อไปเถิด
วิมุติต่างหากคือจุดหมายปลายทาง
ไม่ใช่เพียงแค่พ้นหนาวแล้วอุ่น
4 ธันวาคม 2547 20:00 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
พ่อ: อ้ายหนูของพ่อ วันนี้ สอ.บอ.มอ. ไหม
ปตว. : สบายมากครับพ่อน่าพอใจ
ครูไม่ดุอันใดในทั้งวัน
พ่อ : งั้นครูคงอมยิ้มอิ่มไมตรี
เด็กได้ความใยดีมีความขัน
ปตว. : ใช่ครับครูกับครูดูแลกัน
กินอาหารกลางวันโดยพูดคุย
พ่อ : พ่อเคยเห็น ครู ป.1 ตะคอกเด็ก
เจ้าตัวเล็กที่โดนด่านั้นหน้ามุ่ย
ครูฟาดหนังสือลงต่อหน้าด่าอ้ายทุย
เด็กทั้งห้องร้องอุ๊ยกลัวจนลาน
ปตว. : อ๋อ ครูคนนั้น ผมรู้จัก
ท่านแต่งตัวสวยนักสะอาดสะอ้าน
แต่อารมณ์บูดบ้ามาช้านาน
ตอนป. 1 เพื่อนโดนท่านตบหลายที
พ่อ : เหรอ แล้วหนูเคยโดนครูตบหรือเปล่า
-ลูกอ้ำอึ้งเหมือนปวดร้าวเหลือที่
เปลี่ยนเรื่องคุยกับลูกคงจะดี
ก่อนขมขื่นกว่านี้ในห้วงครวญ-
วันนี้หนูให้อาหารปลาหรือยัง
ปตว.: ให้แล้วครับปลากินมั่งไม่กินมั่งไม่เร่งด่วน
ตอดมือด้วยปลาหลายตัวมันก๊วนกวน
รำอ่อนอ่อนกินแล้วอ้วนแน่แน่ปลา
พ่อ : นั่นแหละพวกปลาก็เหมือนคน
ถ้าอ่อนโยนก็เห็นผลแบบที่ว่า
คือวางใจไม่เร้นไหนไปไกลตา
มาตอดมือบ่กลัวว่าจะโดนแกง
ปตว. : ใช่ครับพ่อป.ปลามารักผม
เพราะเคยเอาขนมมาปันแบ่ง
ปลาคงชอบขอบใจแต่ไม่แรง
จึงตอดมือคือแสดงว่าวางใจ
พ่อ : (ยิ้ม)
4 ธันวาคม 2547 14:09 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
มิตรภาพลับลาไปแดนใหม่
ร่องรอยของเยื่อใยยิ่งไกลห่าง
ระแวงครางแครงในผู้คน
หัวใจยิ่งฉงนยิ่งเมินหมาง
น้ำมิตรบ่มีพอกลั้วคอ
น้ำซึมจากก้นบ่ก็ซื้อจ้าง
เก็บกักตักตวงเก็งแล้วตุน
กองบุญกองขายอย่าหมายขวาง
ลดแหลกแจกทานเป็นฉากหน้า
ฉากหลังเงื้อง่ากว้างกว่ากว้าง
ฟันฉับแล้วเถือถี่
ผูกขาดได้ดีในทุกทาง
ก็เมื่อนั้นก็เมื่อนั้น
น้ำใจเป็นหมันแล้วทั้งบาง
ฯ
4 ธันวาคม 2547 09:47 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
พ่อคือแบบฉบับของชีวิต
ชาญทั้งศิลปะและวิทยา
หัวใจเปี่ยมเต็มด้วยเมตตาธรรม
การุณผู้คนถ้วนแหล่งหล้า
ให้ผู้คนดำรงผาสุกยั่งยืน
สงบเย็นร่มรื่นและพัฒนา
ขอพ่อเจริญอายุ
ลูกลูกรักพ่อเหนือชีวา
3 ธันวาคม 2547 13:45 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ทะเลไมตรี ไม่ปล่อยน้ำใจ ขึ้นไปบนฟ้า
กับไออาทร นิ่งนอนเกินกว่า จะก่อปุยขาว
ทั้งเมฆเยื่อใย ไม่ยอมกลั่นตัว แต่หลัวอยู่พราว
จึงความเอื้อเฟื้อ เหลือแต่ซากผ่าว ของความร้าวฉาน
ก็เพราะโลกแล้ง น้ำจิตน้ำใจ ไม่มีใยรัก
กระแสกาลหนัก ไปทางกำไร หัวใจคูณหาร
จะแบ่งก็กลัว ว่าจะไม่ถัว ผลดอกเคยบาน
จึงการเจือจาน แสลงหัวใจ ของใครทั้งแดน
เมื่อนั้นจึงหัน หมายจับมือกัน มาปันศรัทธา
แต่โลกร้อนกว่า จะจับหัวใจ ได้ถึงหมื่นแสน
เห็นแต่ขอบเขต ของความเกลียดชัง เป็นดังแก่นแกน
ของวิสัยคน ในอมรแมน เขตแคว้นสากล
อุดมคติ ของวงของคน เหมือนโรคพรางไข้
ด้วยศาสนา นั้นพาณิชย์ไป จนใจสับสน
กับถือศรัทธา เข่นฆ่าต่างบาง ที่ถือต่างตน
เสกเงินเป็นมนตร์ ขยายศรัทธา บูชาถ้วนนัย
จึงสัตว์สองเท้า ก้มลงหมอบคลาน เป็นการจำยอม
นักพรตโซผอม หากถือธรรมา เป็นเครื่องอาศัย
สัตว์ผู้-เมียอวบ อวดขายหลายส่ำ หมายทำกำไร
เวิ้งแมนสมัย รื่นเริงโลกีย์ ขุนกายขายกาม
เงาผลประโยชน์ แผ่ทิศบิดเบือน เหมือนม่านมายา
ถ้อยอันมุสา แต่งคำเกินไข ซ่อนภัยชวนขาม
ใครค้นความหมาย ภัยร้ายคอกขุก เป็นมาคุกคาม
น้ำใจใดงาม ถูกหยามเป็นเขลา ดูเบาไมตรี
รู้จักความลับ รหัสชีวิต ปกปิดดัดแปลง
ซ่อนเลศอันแพง หมายเพียงซ้อนภัย ขายได้เต็มที่
ผูกขาดเพียงขาย เพื่อนตายตนยัง ไร้ความหวังดี
แสงดาวริบหรี่ อารีเร้นหาย พ่ายภัยแปลงพันธุ์
หมายผลภาษี ใดดีใดชั่ว ถัวทั่วทบเข้า
ผลตกลูกเต้า บ่รับผิดชอบ ขีดกรอบเอ่ยกั้น
ออกแบบกฎหมาย ค้าคนอย่างควาย บ่อายพงษ์บรรพ์
ตีทะเบียนหยัน เหยียดกันโดยนัย กำไรดึงแรง
อำนาจโดนเหนี่ยว เกี่ยวก้อยการบาป รวมหยาบโลนถ่อย
ขื่อแปก็ปล่อย ให้พวกอธรรม พากันกำแหง
ตีฆ่าผู้คน จนหนำหัวใจ บาปไม่สำแดง
ใครจนจ่ายแพง ใครรวยฉวยฟรี ภาษีเลี่ยงลด
ช่องว่างถ่างกว้าง ต่างชั้นชีวิต ต่างสิทธิ์ต่างแถว
วาบฝันอันแพรว แค่พร่ำคำโต ถ้อยโถโป้ปด
ชนแล้งน้ำใจ ในโลกฉลฉ้อ เก่งทรยศ
ภาพอนาคต นี่อยู่ไม่ไกล เร่งไวโดยเรา
ทะเลไมตรี ไม่ปล่อยน้ำใจ ขึ้นไปบนฟ้า
อีกไออาทร นิ่งนอนเกินกว่า จะกล่อมมวลเก่า
ทั้งเมฆเยื่อใย ไม่ยอมกลั่นตัว เพียงหลัวเร้นเงา
จึงความเอื้อเฟื้อ เหลือร่องรอยเศร้า น้ำใจเราจาง
ฯ