25 เมษายน 2547 23:54 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เขาค้นคุ้ยถังขยะได้ขนม
เศษลูกอมคนบ้วนทิ้งที่ก้นถัง
หยิบมาเคี้ยวกลืนให้ได้กำลัง
ต่อชีวิตบุโรทั่งไปอีกวัน
เขาร่อนเร่พเนจรเขาจรจัด
เพื่อนฝูงพลัดหลงหายในความฝัน
ลืมถามหาเพื่อนแท้อาทรกัน
ลืมคืนวันเดือนปีที่ผ่านมา
เขาอีกคนมีกะลาวณิพก
ขับบทเพลงตลกแนวสามช่า
ได้เศษเงินจากคนที่มีเมตตา
เพื่อยังชีพไปจนกว่าจะสิ้นใจ
มีอีกมากยากจนเป็นคนจร
ไร้ที่ซุกหัวนอนบ่อนอาศัย
บ้างไส้กิ่วหิวโหยเสี่ยงโพยภัย
แต่เขายังอยู่ได้ไม่ทุกข์ร้อน
ส่วนเราเป็นคนดีมีแขนขา
สมประกอบบ่บอดบ้ามาแต่ก่อน
ใยทุกข์ท้อเสียจนเหมือนคนจร
ควรหยัดยืนขึ้นก่อนจะสายเกิน
อยากจะทำสิ่งใดให้รีบทำ
อย่าไปรอฟังคำพร่ำสรรเสริญ
สิ่งเหล่านั้นเป็นมายามายอเยิน
ใครลุ่มหลงเป็นได้เดินหลงอบาย
ค้นหาความสามารถของตนเอง
แล้วบรรเลงเป็นคุณค่าขึ้นให้ได้
พรสวรรค์นั้นยังซ่อนอยู่มากมาย
พรแสวงจักเปิดผายให้เห็นชัด
ถึงเวลาเหมาะสมจะถึงสุข
แม้กระนั้นความทุกข์ยังขบกัด
เหมือนริ้นเหลือบทากบ้าในป่าชัฏ
ต้องฉลาดหาทางจัดการกับมัน
ทั้งหมดล้วนแต่ต้องใช้ปัญญา
ถ้าอ่อนเขลาเข้าเสาะหาอย่าเห็นขัน
ทางใดดีก้าวไวไปทางนั้น
ทางใดชั่วหลีกมันไปไกลไกล .
25 เมษายน 2547 09:56 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
หรือห่างไกลใครล้วนฝังความหลังเสีย
ยามมีทุกข์ท่วมในใจอ่อนเพลีย
ได้แต่ห่อเหี่ยวเปลี้ยเพียงเดียวดาย
มองหนไหนก็พบเข้าแต่เขาอื่น
แม้มากหมื่นแต่ไร้ฝันอันร่วมหมาย
จึงเคว้งคว้างสับสนทุรนทุราย
เก็บกรวดดินหินทรายหมายซบทรวง
บางครั้งแสนหวั่นไหวหัวใจท้อ
ด้วยตีต่ออุปสรรคอย่างหนักหน่วง
แล้วพบกับการแพ้พังลงทั้งปวง
สรุปโลกว่าหลอกลวงแล้วร้าวราน
ลืมความหลังฝังความฝันในวันเก่า
ลืมครั้งเราอาบหมอกพร่างกลางหมู่บ้าน
และแบ่งใจออกเอื้ออยากเจือจาน
ปันแรงใจมาตราบนานก่อนวันนี้
หรือห่างไกลใครล้วนฝังความหลังเสีย
เก็บหัวใจอันอ่อนเพลียอยู่ที่นี่
ในโลกใหม่ใจเก่าเขลาเต็มที
ลืมนึกถึงสิ่งดีดี ของวันเดิม .
-----------------------------------------------
24 เมษายน 2547 04:42 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ความเรียงแบบก่อพงษ์
เรื่อง ธุลี
------------------------------------------------
ดินเกิดจากหิน
ป่นลงปนชื้น
เคล้าเศษพืชสัตว์เน่า
หมักทับถม
แทรกด้วยอากาศธาตุ
อยู่เช่นนั้น วันแล้ววันเล่า
พืชได้ยึดราก ยืนต้น
สัตว์และคน ได้เหยียบยืนอาศัย
ดินต่ำ ใต้ตีน
แต่ต่ำต้อย ฤาเล่า
เมื่อพืชสัตว์ตกตาย
ก็ได้อาศัยฝังกาย
อยู่ต่ำใต้ กว่ารอยตีน
ได้ยิน ได้เห็นอยู่ทุกค่ำเช้า
ความจริง คนพืชสัตว์นั่นแล ควรต่ำต้อย
เพราะเกิดอยู่ และตาย สั้นจ้อย ทั้งแสนขลาดและเขลา
แต่ ดินยังอยู่ ยังคงอยู่
แม้ไม่มีหมู่ สิ่งมีชีวิตเช่นเรา
23 เมษายน 2547 20:52 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
(สิ่งที่ซ่อนในสีสันของป่า ยามผลัดใบ)
อีกฟากหนึ่งของทุ่งคือเนินยาว
พวกหมู่ไม้กำลังพราวราวภาพศิลป์
ใบไม้เปลี่ยนสีก่อนร่อนลงดิน
เห็นอยู่อย่างเคยชินแต่ต้องใจ
จำจักทิ้งใบก่อนในตอนนี้
เพื่อกาลหน้าจักได้มีชีวิตใหม่?
หรือน้ำขอดหรือฝนลาสาเหตุใด?
เธอจึงทิ้งถมใบลงพรูพราว
ทิ้งใบก็ไม่ทิ้งกิ่งและก้าน
ผลิดอกตูมเป็นปุ่มปานสะท้านหนาว
เมื่อบานเบ่งกลิ่นหอมไกลไปถึงดาว
เหมือนกับข่าวสื่อถึงกันหลังวันลา
ใช่สินะเธอจะสืบต่อพงษ์
ให้เป็นดงให้คงเห็นอยู่เป็นป่า
ทิ้งใบเพื่อให้ปุ่มดอกแตกออกมา
บานเต็มตาหอมเต็มถิ่นชวนยินดี
ดอกไม้ ให้ทั้งกลิ่นและน้ำหวาน
ตอบแทนการสืบเหง้าและเข้าที่
เผ่าของเธอจึงดำรงและคงมี
คู่ผืนดินผืนนี้นานนับนาน .
22 เมษายน 2547 23:55 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
คิดถึงกรงเทพฯ(คุณอ่านถูกครับ)
----------------------------------------------------
ยังจำได้ฉันเคยไปเมื่อหลายปี
นครนี้มีอะไรเกินใครขาน
จึงเก็บกดจดจำราวตำนาน
ในก้นบึ้งดวงมาลย์ชาวบ้านนา
วันแรกแรกแปลกหน้าน้ำตาไหลผ
มิใช่ด้วยแปลกใหม่ดอกนายขา
แต่เพราะควันรถพรูเต็มหูตา
จึงไหลพรากออกมาราวบ้าบอ
รถราราวมดไรไต่ตอมขอน
ถนนเวียนดังพวกหนอนมันชอนหนอ
เสียงอื้ออึงแผดไล่เอาให้พอ
เสียงตวาดด่าทอก็พอกัน
เสียงเรียกเร่เข้ามาเข้ามาดู
เสียงนกหนูถูกคุมขังดังสนั่น
เสียงร้องขายขายของต่อรองพลัน
เสียงจอแจแหมมันฟังคันใจ
เคยแต่ฟังเสียงลมพรมใบข้าว
ยินเสียงขลุ่ยกล่อมดาวคราวเดือนไหว
ไผ่เสียดกอล้อกันต่อกันไป
ตามแนวไผ่ถ้วนแถวสุดแนวธาร
หลีกย่านคนจอแจแค่แสนคืบ
เห็นซอกหลืบเรียงรายหลายสถาน
ชวนแปลกหน้าเหมือนมดไรไต่วิมาน
คนก่อกรรมทำหน้าบานทุกย่านยวง
คนผู้ขอก็ชุกเกือบทุกมุม
คนผู้หิวเร้นกลุ่มในบึงบ่วง
คนผู้บาปหลอนหลอกซ่อนดอกดวง
ทั้งหมดนั้นเป็นผลพวงอันขื่นเค็ม
ของสิ่งใดในเขตแคว้นแดนนามดี
แต่ซุกซ่อนภูตผีราวฝีเข็ม
ที่เย็บหยาบด้นเดาเอาเต็มเต็ม
จึงแตกปริเหม็นเข้มเหม็นเต็มเมือง
ออกจากซอกโสมมอย่างตรมตรอม
ยังเห็นคนผ่ายผอมซากโซเหลือง
โกยขยะขึ้นมาขายหมายเศษเฟื้อง
ชีวิตคนมะลังมะเลืองดีแท้แท้
รถโดยสารปานกล่องไม้ในเมรุ
ซากน้ำใจบวมฉุทั้งอ่อนแก่
ใครเจ็บจนคนเจ็บใจมีใครแล
หายากยิ่งจริงแหมฉันแพ้ใจ
ที่มั่งคั่งก็อย่างกับมิใช่คน
เพราะกินเลือดเชือดเนื้อคนขัดสนได้
ย่ำยีไม่มีค่าด่าดะไป
ฟังแล้วอยากเกิดใหม่เป็นกบปู
ใช้เล่ห์หลอกกลอกกลิ้งแล้วชิงเอา
ใช้เล่ห์เหลี่ยมเสี้ยมเขาให้นกหนู
เพื่อก่อกวนชวนเชื่อเพื่อพวกกู
แล้วหยิบชิ้นปลากู๋ขึ้นแอบกิน
ในสังคมที่คนแว้งกัดแย่งกัน
โฉมภายนอกเหมือนสวรรค์ทั้งสีกลิ่น
ภายในกลับบัดสีกว่าขี้ดิน
ก็เห็นไหมที่ได้ยินอยู่โครมครืน
เด็กนักเรียนตีกันนั่นอะไร
เป็นผลพวงอันยิ่งใหญ่ในทางขื่น
บอกให้แจ้งแทงใจใครบ้องตื้น
นั่นแหละผลจากผื่นเผินไมตรี
คนตีกันนั่นเพราะกลัวตัวจะอด
กลัวพวกอื่นจะกินหมดเสียทุกที่
และพวกอื่นก็กินจริงทุกสิ่งซี
นี่สังคมนครนี้เป็นแบบนั้น
ก็ไม่ว่า นครไหนก็ไม่ต่าง
เพราะแคว้นนี้มีแบบอย่างทางสร้างสรรค์
คือกดขี่ หลอกลวง เป็นช่วงชั้น
ยินข่าวเฟื่องเมืองสวรรค์
พลันสาธุการ .
&