2 มิถุนายน 2547 12:56 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
จุลินทรีย์ต่างดาว ของดาวอื่น
เคลื่อนตัวไปมาในอาณาจักรของตน
ดำรงตนอยู่
สืบเผ่าของตนไป
ทิ้งร่องรอยจากการขยับตัวของตนไว้มากมาย
หลายรอยทบไปมาในรูปแบบง่ายๆ
หลายรอยสลับซับซ้อน
หลายรอยยิ่งกว่าซับซ้อน
อื้อฮือ
บางจุลินทรีย์เอื้อจุลินทรีย์อื่น
บางจุลินทรีย์พิฆาตหมู่อื่น
บางจุลินทรีย์ทำลายเวิ้งวงของตน
บางจุลินทรีย์เหมือนแยกอยู่จากหมู่อื่น
ราวการปลีกตนโดดเดี่ยว แต่ไม่เคยปลีกไปไหนได้
เพราะหมู่อื่นก็แตกยายกระจายอยู่โดยทั่วแล้วทุกหนแห่ง
ทั้งที่ร้อนราวเผา และที่เย็นเยือกแข็ง
เออ..
แล้วจุลินทรีย์อย่างข้าล่ะ
ก่อนที่จะแตกดับไป
ร่องรอยของข้าควรเป็นเช่นใด
2 มิถุนายน 2547 03:38 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
กราบรำลึกพระพุทธคุณ
กราบรำลึกพระธรรมคุณ
กราบรำลึกพระสังฆคุณ
กราบรำลึกพระคุณพ่อแม่
กราบรำลึกพระคุณครูอาจารย์
นั่งในท่าสบาย
กำหนด ติดตามลมหายใจเข้าออก
เข้า ระลึกเป็นพุทธ
ออก ระลึกเป็นโธ
ไม่ได้สำคัญว่าจะเห็นหรือไม่เห็นนิมิตรอันใด
เพียงต้องการตามลมหายใจเท่านั้น
ความคิดจะแว้บไปทางไหน
ก็ให้กลับมาที่ลมหายใจเข้าและออก
ดำเนินไปเรื่อยๆ
ดำเนินไปเรื่อยๆ
แม้ความคิดแว้บไปทางไหนอีก
ก็กลับมาที่ลมหายใจเช่นเดิม
แรกๆความคิดก็สัดส่ายไปโน่นมานี่
หลายที่หลายทาง เหมือนฟุ้งไป
นานเข้าเมื่อดึงกลับมาได้
นานเข้าเมื่อรู้เร็วรู้ทันว่าความคิดไป
ก็สงบง่าย ไวขึ้น
และไม่ไป
เริ่มได้ยินเสียงลมหายใจชัด
ทั้งเขาและออก
ดังมาก
เสียงลมหายใจดังมาก
ลมหายใจเข้าดังเหลือประมาณ
ลมหายใจออกดังเหลือประมาณ
การระลึกก็ยังเป็นเข้าพุทธออกโธอยู่
เช่นนี้แหละหนอ พระอาจารย์บอกว่า
มันก็เป็นเช่นนั้น อาการที่จิตสงบ
เยือกเย็นเกินประมาณ
ปีติเกินประมาณ
เห็นค่าของชีวิตเกินประมาณ
รักผู้อื่นเกินประมาณ
แต่นี่ก็ตั้งอยู่เพียงชั่วเวลาหนึ่งเองแหละ
ก็เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์
เกิดขึ้น
ตั้งอยู่
และดับไป
อืม
ซาบซึ้งจริงหนอ
ธรรมนี้
1 มิถุนายน 2547 07:46 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
แดดอ่อนอ่อนในตอนเช้า
ให้เงายาวทอดทาบนา
น้ำขังเจิ่งสะท้อนฟ้า
ดาลอุราอ่อนไหว
เพราะฝนตกเมื่อคืนนี้
ปลามากมีคงดีใจ
ได้ว่ายแหวกในน้ำใส
ได้ออกไข่ได้ลูกปลา
แสงแดดอุ่นนี้คุ้นนัก
เหมือนความรักของคุณ
ตักนิ่มอ่อนเคยนอนหนุน
ผมรักคุณหนักหนา
ยามเมื่ออยู่เคียงใจ
ผมไม่เคยหมายลา
ผมรักคุณเทียมท้องฟ้า
ถามปลาดูก็ได้
ผม รักแต่คุณ
คุณ คุ้นหัวใจ
อ้อมกอดก็อุ้นอุ่น
ยิ้มของคุณยิ่งคุ้นใหญ่
ดาลใจดลหัวใจ
ให้ผมยิ้มให้โลก
(ซ้ำแต่ต้นจนจบ)
-------------------------------------------------
ผมฮัมเป็นเพลงครับ
สวัสดี ขอบคุณมากที่เข้ามาอ่าน
31 พฤษภาคม 2547 23:01 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ปานตะเว็น :
พ่อครับผมคิดถึงสาว
มันปวดราวเป็นเหน็บเจ็บปนหงอย
มันว้าวุ่นเหว่ว้าจนตาลอย
มันรอคอยเวลาอยากมาเจอ
ไม่เห็นหน้าเห็นเสื้อผ้าก็อุ่นอก
เห็นหน้ากันยิ่งงันงกตกพุ่มเพ้อ
นอนหลับตาทว่าใจไพล่ละเมอ
ฝันว่าเจออยากเชื่อมใจเชื่อมไมตรี
พ่อครับผมควรทำอย่างไร
ไม่อยากทิ้งหัวใจราวพ่ายหนี
อยากให้ความคิดถึงน้อยหนึ่งนี้
เกิดผลดีอันพึงใจในเวลา
เต่าพงษ์ :
ถึงพ่ออำลูกก็รู้อยู่แก่ใจ
เมื่อเราคิดถึงใครใจใฝ่หา
อยากพบเจอยลแววใจในแววตา
อยากพูดจาเอื้ออารีดีงาม
ดีแล้วที่หนูตรองมองความคิด
จะถูกผิดพ่อก็ไม่อยากให้ขาม
อาจปวดแปลบใจบ้างบางโมงยาม
ยังเปลี่ยนตามแต่ปัจจัยในห้วงกาล
ชั่วเวลาที่เราว่างมานั่งเหม่อ
ก็คงคิดถึงเธอหวามหวามหวาน
แต่เมื่อเราเอาใจไปกรำงาน
ความฟุ้งซ่านเลื่อนลอยก็พลอยเลือน
ช่วงเวลาที่หนูอยู่คนเดียว
อาจเปล่าเปลี่ยวดวงใจราวไร้เพื่อน
ลองใช้ธรรมกำหนดใจไม่แชเชือน
ทุกข์อาจเลือนเป็นสนุกแล้วสุขเย็น
เมื่อสงบก็จะพบความสบาย
ความผูกมัดอันวุ่นวายอาจได้เห็น
แต่ก็ดีหากแก้วใจหยิบใช้เป็น
อาจเปลี่ยนเข็ญเป็นขันสร้างสรรค์ไท
30 พฤษภาคม 2547 08:18 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ตื่นแล้วหรือคนจรนอนหมอนหมิ่น
ในรุ่งนี้จะออกบินไปหนไหน
บ่ผูกพันเรือนรังกลัวขังใจ
หรือยังไม่ถึงเรือนในเดือนปี
เก็บผ้าผวยมุ้งหมอนก่อนแดดฉาย
ออกเดินทางก่อนงายคล้ายดุ่มหนี
จากเยื่อใยไอรักความภักดี
สู่ถิ่นที่เอกเปลี่ยวไม่เหลียวคืน
ค่ำไหนนอนนั่นวันแล้ววันเล่า
บ่เคยเอารังใดไว้ซ้ำตื่น
พบแล้วพรากราวอยากย้ำความบ่ยืน
ของกายซึ่งบ่ขืนสังสารวัฏ
นอนโคนไม้ไปโดดโดดข้ามโขดขอน
นกขมิ้นเหลืองอ่อนยังจรจัด
พักพิงป่าแล้วละป่าราวว่าวัตร
นี้เจนจบแจ่มชัดเป็นวัตรตน
รุ่งอรุณอีกแล้วนี่คนจร
ไม่อยู่ก่อนก็เชิญลาอย่าห่วงหน
เมื่อพบแหล่งแจ้งธรรมอย่าอำชน
โปรดบอกหนควรจรก่อนลาจริง