11 กันยายน 2547 00:02 น.

ผ่านวันเดียวดายคงยิ้มได้

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์




ฝากดูแลใจไว้ให้ดี  
อย่าให้มีวันเป็นอันตราย

หัวใจ   ดวงน้อยน้อย        
ปล่อยใจ    ก็ใจหาย

ฝากเธอดูแลใจ                                
รอบข้างมีใครอีกมากมาย

 

ในวันที่ใจเราร้าวรอน 
แอบถอนหายใจไม่สบาย

หัวใจ   ดวงน้อยน้อย                 
ปล่อยใจ   แล้วใจหาย

ฝากเธอดูแลใจ                               
คนเฝ้าห่วงใยมีมากมาย

 

โลกมีคืนวันคลายร้าวราน      
ไม่นานโศกคงค่อยจางคลาย

หัวใจ   ดวงน้อยน้อย        
อย่าปล่อยใจให้แพ้พ่าย

เพียงเธอดูแลใจ       
ผ่านวันเดียวดาย ก็ยิ้มได้				
8 กันยายน 2547 00:34 น.

ลืมไปแล้วว่าเขียนบทนี้ไว้-นาน่า

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์



นากำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้คนรวย
(ของลอกลีลา ทำนอง และ สำเนียงเพลงโฆษณาธนาคารฯหน่อยนะครับ หวังว่าคงไม่คิดเงิน)

อย่าแปลกใจ ในคำ -ถามอันแปลก 
ขึ้นบทแรก แบบนี้ เคยมีไหม
บางคนน่ะ กินข้าว มาเท่าใด 
ก็ยังไม่ รู้ข่าว ของชาวนา

เล่าให้ฟัง เพราะยัง คงมีแรง
ใช่กำแหง ด้นวัน สร้างปัญหา
คนทำกิน ดิ้นรน สืบคนมา
วันนี้ล้า แรงแล้ว แหละแก้วใจ

แต่ก่อนนี้ มีนา กับมีน้ำ
ก็มีกิน สุขล้ำ คุยคำใหญ่
แต่วันนี้ ที่ทำนา น่ะช้ำใน
ปากบ่ได้ ไอบ่ดัง เออช่างเป็น

นาแปลงใหญ่ กลายกลับ เป็นแปลงจ้อย
ที่ดินใหญ่ แบ่งย่อย ราวของเล่น
ตาแฮกไห้ อาลัยนา ขวัญกระเด็น
ความลำเค็ญ ขยายตัว อยู่ทั่วแดน

ก็ชาวนายุคใหม่ไม่ทำนา
ถนัดใช้เงินตราเป็นขาแขน
จ้างไถคราดปักดำจ้างทำแทน
เกี่ยวนวดขนขึ้นยุ้งแสนจะซำบาย

หากถามว่าราคาข้าวคุ้มอยู่หรือ
คำตอบคือกำไรสูญต้นทุนหาย
กระนั้นยังเร่งจนกระวนกระวาย
จมปลักพ่ายชีพนี้มีแต่ตรม

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น-วันมะรืน
จงเตรียมฟังคนสะอื้นอย่างขื่นขม
คนทำนารายย่อยค่อยค่อยล้ม
อาชีพอันนานนมก็เปลี่ยนมือ


หลังมะรืนอย่าตื่นและตระหนก
ถ้าตลกเรื่องเล่ามาก็อย่าถือ
คนทำนา-มหาเศรษฐี-มีฝีมือ
ปลูกข้าวถือบังเหียนคนบนแดนดิน

จะให้ถูกจะให้แพงมีแรงทำ
กำไรกอบกำไรกำทำได้สิ้น
ข้าวของโลกตกราคาก็อย่ากิน
เพดานบินเหนือชั้นดันดีมานด์

รัฐยังช่วยแบกภาระตลาดโลก
อุ้มคนนามิพาโศกมหาศาล
ทุ่มตลาดนอกเล่นเช่นอาจารย์
อเมริกาพาชาญยิ่งด้านนี้

ทำได้ทำได้เอาใจช่วย
เพราะคนรวยทำนาใหม่ใช่ไหมนี่
เมื่อโลกแล้งข้าวกลับมาราคาดี
คนจนจนจงกินอี้อีกแล้วกัน

ถึงกาลนั้นเราพากันร้องชัยโย
เศรษฐกิจของเราโตจนเกินหวั่น
คนขายข้าวรวยเท่ากับขายน้ำมัน
คนเคยทำนานั้นเหมือนจัณฑาล



เรื่องเล่านี้ยังคงเป็นเรื่องเล่า
แต่งโดยนายโง่เง่าสมองด้าน
-------------------------------------------------------
เมื่อเรารอแต่นัดรัฐบาล
มาจัดการปัญหาเกษตรกร-

แบบคิดแทน พูดแทน และทำแทน
ไม่เห็นแก่นของปัญหาสุมมาก่อน
นิทานนี้จะเป็นแท้และแน่นอน
ก.พ.สอนก็หาไม่ไทยนาเอย.				
6 กันยายน 2547 01:36 น.

ดี ไมเนอร์ - คืนดึก

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์


เงียบนะคืนนี้
ได้ไหม ขอเล่นดนตรีเพียงค่อยค่อย
เหงาคว้างอย่างไรไม่หลงรอย
เพียงอยากปล่อยอารมณ์เริงหทัย


ดี ไมเนอร์แม้ออกเหงาเอาเกือบหงอ
ก็ยังพอมีเพลินเจือนะเชื่อไหม
ไล้นิ้วบนเส้นสายสบายใจ
ก่อนหลับไหลลงในยามข้ามเที่ยงคืน


ไม่ได้คิดตั้งใจให้รำคาญ
เถิดฝันหวานสุขซึ้งอย่าพึ่งตื่น
ทวนสำเนียงเส้นสายไมเนอร์ยืน
จบค่ำคืนนี้แล้วเราขอเข้านอน

.......
Key :   Dm   

คิดถึงฉันบ้างไหม
ใยไม่ส่งข่าวมา
รู้ไหมใครห่วงหา
ใจโรยล้าอยู่ลำพัง

ฮื้อ  ฮือ.....

-------				
5 กันยายน 2547 00:51 น.

ผมเลี้ยงหัวใจด้วยอะไร

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์


ผม ละงานในไร่นาเข้าไปในเมือง
เพื่อจับจ่ายใช้สอย
เมื่อซื้อของใช้จำเป็นให้ภรรยาแล้ว
ผมก็ไม่พลาดที่จะแวะร้านหนังสือ 
ผมอยากได้หนังสือสักเล่ม 
เพื่ออ่านในค่ำคืนเงียบงันแบบคืนนี้ และคืนอื่น ๆ


ผมใช้ชีวิตในไร่นา
ปลูกข้าว , เลี้ยงปลา เกี่ยวหญ้า-เลี้ยงวัว ใช้แรงงาน-เหงื่อออก
เย็นย่ำก็ว่าง ลูกเมียดูทีวี แต่ผมไม่อยากดู
ถ้าไม่อ่านหนังสือมันก็ว่างเกินไป 

เป็นชาวไร่ชาวนาจำเป็นอะไรต้องอ่านหนังสือ
คงไม่มีใครถามผมอย่างนั้น

แต่ผมก็จะตอบเอาไว้

ผมเลี้ยงชีพด้วยข้าวปลาอาหาร ซึ่งมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของผมเอง

ผมกับภรรยาทำกับข้าวกินกัน บางวันผมเป็นคนคิดเมนู แบบของผม บางวันเธอก็เป็นคนคิดเมนูแบบของเธอ 

ทุกมื้ออร่อย หล่อเลี้ยงและบำรุงกายให้กรำงานได้เสมอ

แต่หัวใจของผมซิ 

ยังเรียกร้องและต้องการ อาหารทิพย์ และรสวิเศษ
ของวรรณกรรม 

ผมขาดหนังสือไม่ได้แน่

ผมแทบจะพูดว่าหนังสือเหมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของผม
เลยทีเดียว


ทำไมเล่า
ผมเฝ้าถามตัวเองในวันก่อน

อืม...

ผมตอบตัวเองไปแล้ว

หนังสือนั่นเอง
ที่ทำให้ผมรู้จักความสุข

แม้ชีวิตจะแร้นแค้นราวซากอะไรสักอย่าง				
2 กันยายน 2547 07:48 น.

ออนทัวร์ ทู ไพศาลี

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์




นานนานเจอกันที
ไปด้วยกันไหมพี่และเพื่อนผอง
ควบวิบากตากลมชมทุ่งทอง
ไต่คันนาผ่าท้องร่องลุยหนองบึง

ปล่อยออฟฟิศปิดไว้คงไม่เหงา
วันมะรืนผองเราจึงค่อยบึ่ง
มาปั่นงานสานฝันอันอื้ออึง
วันนี้ไปตามคำนึงในหนึ่งปี

เราทำเงินทำงานตัวเป็นเกลียว
มีเวลานิดเดียวใช่ไหมพี่
อยากจะคิดทำอะไรตามใจที
อยากจะสูดอากาศดีจากที่ไกล

บ่ายไปทางกลางภาคเหนือตอนล่าง
จะพาไปตามทางที่ไปได้
อาจขึ้นเขาลงภูก็ดูไป
สลับไต่ผาตาดพอลาดชัน

ระหว่างภูดูโน่นแน่ะทุ่งโล่ง
ภูแถวนี้เป็นแนวโค้งเหมือนฉากกั้น
ระหว่างความมึนตึงความดึงดัน
กับความมีอารมณ์ขันความบันเทิง

ทุ่งยามแล้งอาจดูแล้งราวจนไร้
อยากให้พี่ดูใกล้ใกล้หรี่ตาเบิ่ง
เห็นอะไรหรือว่าใจมันกระเจิง
เห็นไหมเวิ้งวงไหวอยู่ในวิว


นั่นแหละป่าแต่มิใช่ป่าในป่า
ทั้งมิใช่ป่าช้าพาหวาดหวิว
แต่เป็นป่าคนปล่อยไม้ให้ขึ้นทิว
หลายปีปล่อยก็ไปลิ่วเป็นป่าไป

เอ็มทีเอ็กซ์ของพี่แรงดีแท้
อาร์เอ็กซ์ แซ็ด แก่แก่แม้ดูใหม่
ของผมครางราวโคขืนให้กลืนไฟ
แต่ก็ยังไปต่อไปถึงในดง

เราผ่อนเครื่องเสียงครางค่อยจางคลาย
เริ่มแว่วยินนกมากมายเขาร้องส่ง
ความเย็นต้องเข่าศอกบอกตรงตรง
มาหนนี้สมประสงค์เป็นแน่เชียว

รอพรรคพวกที่ตามมาดูป่ารอ
เห็นผึ้งก่อรังใหญ่กอไผ่เขียว
เริ่มเห็นนกผกร่อนระยอดเรียว
ของเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวเป็นสายโยง

ก็คลายความขุ่นมัวในตัวตน
เห็นชีวิตที่สับสนและสุดโต่ง
ที่เคยใช้ในวังวนแก่กลโกง
ที่เคยพูดที่เคยโพ่งที่เคยพบ

เราทอดน่องคืบไหวไปช้าช้า
เพื่อรอเพื่อนอีกสี่ห้ามาบรรจบ
ก็เริ่มมองเห็นกองฟางพรางคาคบ
เห็นเหมือนมือกระพุ่มนบวันทาคน

เห็นสระน้ำที่ขุดใหญ่อยู่ในป่า
มีทางลาดลงหาน้ำสีหม่น
มีรอยวัวย่ำป็นทางบางรอยวน
ไปตามขอบของบ่อจนหญ้าเตอะ เตียน


ป่าผืนนี้มีคนพามาเยี่ยมชม
ผมเห็นแล้วนึกนิยมไม่เคยเปลี่ยน
จึงพาพี่และเพื่อนแท้มาแวะเวียน
มาเก็บเกี่ยวเอาบทเรียนที่เพียรพอ

เจ้าของป่าเป็นชาวนาตัวเล็กเล็ก
แต่หัวใจราวเหล็กนั่นเลยหนอ
มั่นคงกว่าหิมาลัยใช่เยินยอ
สิ่งเหล่านี้เห็นจริงต่อเมื่อจริงใจ

ตั้งตัวไม่กลัวเมื่อยหรือเหนื่อยยาก
มีชีวิตลำบากบ่บ่นไห้
เก็บจากเล็กผสมน้อยค่อยค่อยไป
แล้วค่อยต่อฝันใหม่ไม่ขาดตอน

เริ่มจากหนึ่งจึงมีที่สองสาม
เมื่อเป็นสิบก็งอกงามบ่หยุดหย่อน
อุปสรรคขวากใดไม่สั่นคลอน
ด้วยปลายทางงามกว่าก้อนความขัดเคือง

เขาเลี้ยงวัวไม่กี่ตัวตอนเริ่มต้น
ก็มีทุนทบจนมากเอาเรื่อง
เปลี่ยนวัวเป็นที่ดินไกลถิ่นเมือง
ปล่อยไม้ขึ้นเขียวเหลืองเปลืองที่ดิน

ใครเห็นก็ว่าเป็นพวกคนบ้า
เพราะใครอื่นทำนาอยู่ทั้งสิ้น
แบบขายข้าวเอาเงินข้าวซื้อข้าวกิน
ชีวิตมีแต่หนี้สินพะรุงพะรัง

เขามีนาห้าไร่ยังไม่ถึง
แต่มีข้าวหุงนึ่งเกินร้อยถัง
นั่นเหลือกินเหลือทานสำราญจัง
บ่ต้องขายให้นึกชังคนกินคน

ข้าวงามเพราะน้ำใบของไม้ป่า
ไหลลงสู่ผืนนาในหน้าฝน
สีของน้ำต่างจากนาประชาชน
ที่อาศัยเบื้องบนต่างตนเอง

ข้าวจึงแตกกอโตและโชว์รวง
ไกวและก่องถ้วนช่วงรวงปลั่งเปล่ง
หอมกลิ่นข้าวกรุ่นไกลใจครื้นเครง
เจ้าของนาบ่เครียดเคร่ง คง นิ่ง - เย็น

แปลงดินเป็นแปลงแปลงเพื่อแบ่งแนว
ให้หญ้าขึ้นถ้วนแถวเป็นแนวเห็น
วัวกินหญ้าที่ละแปลงไล่แปลงเป็น
วงจรไปไม่ใช่เล่นแนวคิดดี

สุดแปลงโน้นวนกลับมาแปลงเก่า
หญ้าก็ขึ้นเขียวเอาให้อิ่มหมี
เถิดฝูงวัว ตัวขอบ - กลาง ต่างอ้วนพี
เราลองนับดูซีมีกี่ตัว

เจ็ดสิบ แปดสิบ เก้าสิบสอง
มากแบบนี้แม้เคยหมองก็ต้องหัว
เจ้าของว่าต้องแบ่งขายเสียดายวัว
แต่ก็กลัวหญ้าฟางบ่พอกิน


ขายวัวสามสิบตัวออกต่อปี
เลี้ยงมากเกินจากนี้มีทางบิ่น
หากโรคแรงร้ายมาน้ำตาริน
จึงควรตรองบ่ให้ดิ้นรนจนตาย

โน่นพรรคพวกควบช้าเพิ่งมาถึง
นี่ก็เกือบเที่ยงครึ่งจะถึงบ่าย
พอดีกินข้าวกันกันตาลาย
อิ่มสบายแล้วค่อยต่อ ขอชมดง


To be continued				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์