15 กันยายน 2548 15:28 น.
กุ้งหนามแดง
มันเป็นการท่องเที่ยวครั้งหนึ่งที่น่าประทับใจ และสอนอะไรฉันได้หลายอย่าง ..
แนะนำตัวก่อนแล้วกัน ฉันชื่อแม่สี ทำงานอยู่บริษัทฯ นายหน้ารับประกันภัยแห่งหนึ่ง ขนาดขององค์กรไม่ใหญ่โตกว้างขวางอะไร มีพนักงานประจำไม่มากมายนับไปนับมา ได้ 10 คน แบ่งเป็นแผนกได้สักสามแผนกคือ บัญชีการเงิน รับประกันในประเทศ รับประกันต่างประเทศ ซึ่งแต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องความสามัคคีไม่ต้องพูดถึง บางคนอาจถามต่อว่าแล้วหน้าที่ของบริษัทฯ นายหน้าคืออะไร อย่างหลักๆ ก็คือเป็นตัวกลางให้ทั้งสองฝ่ายได้พบกันคือบริษัท รับประกันภัยกับผู้ต้องการทำประกันภัย โดยเราไม่ได้เลือกที่จะส่งงานให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ซึ่งจะต่างกับตัวแทนประกันภัย ตรงนี้ ผลตอบแทนที่เราจะได้คือเปอร์เซนต์จาการขาย และเราต้องคอยส่งกรมธรรม์ให้ลูกค้า ติดตามหนี้เพื่อส่งบริษัทรับประกันภัย ทีนี้ถามว่าลูกค้าไปติดต่อกับบริษัท รับประกันภัย เลยดีกว่าไหม ก็ตอบว่าได้ เพียงแต่เราอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าตรงที่ลูกค้าติดต่อกับเราที่เดียวได้ข้อมูลหลายๆ บริษัทฯ มาประกอบกันมันจะดีกว่าไหม..อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ลูกค้าพิจารณาค่ะ
สิ้นปีที่ผ่านมาพวกเราจัดท่องเที่ยวขึ้นเหนือกัน โดยมีหัวหน้าทีมคือพี่นันทา รับผิดชอบโดยติดต่อนายวิทย์ซึ่งเป็นคนพื้นที่ให้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน-โรงแรม-รถตู้ทัศนาจร โดยพวกเราเดินทางขึ้นเครื่องบินไปลงที่เชียงใหม่ และนั่งรถตู้ไปไหว้พระ, ชมดอกไม้ ฯลฯ และขากลับจะมาส่งที่สนามบิน ทั้งนี้นายวิทย์มีหน้าที่ขับรถตู้ด้วย การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่รถตู้จะพาเราไปส่งที่สนามบิน .
เช้าวันนั้นเรามีโปรแกรม ขึ้นดอยไหว้พระธาตุฯ ก่อน เมื่อเรียบร้อยจึงไปตลาดซื้อของฝาก อันได้แก่ แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม หมูยอฯลฯ ซึ่งก็มากพอสมควรสำหรับการจับจ่ายของทุกคนในรถตู้ เลยต้องไปหาซื้อลังกระดาษเปล่ามาบรรจุสิ่งของ ก่อนที่จะไปรับประทานอาหารกลางวัน (น่าจะเรียกว่าบ่ายมากกว่า) รถตู้พาเราไปส่งที่บริเวณหน้าร้านอาหาร พี่นันทาจัดแจงให้พวกลูกทัวรไปทานข้าวด้านใน ส่วนฉันอยู่กับนายวิทย์ ซึ่งตัวฉันคิดว่าจะต้องช่วยกันแพคแคปหมูลงกล่องใหญ่เพื่อความสะดวกในการนำของไปขึ้นเครื่องและประหยัดเวลา ช่างเป็นวันที่ฉุกละหุกซะจริงๆ ทั้งๆ ที่จริงไม่ใช่หน้าที่เลยแต่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวที่ชอบเป็นธุระให้เพื่อนแท้ๆ ..
คุณวิทย์ ช่วยเปิดท้ายรถให้หน่อยค่ะ ขอเก็บเสื้อหน่อย ฉันหมายถึงเสื้อกันหนาวที่ใส่มาระหว่างนั่งรถ กลัวจะลืมไว้ในรถเลยเก็บใส่กระเป๋าก่อนดีกว่า นายวิทย์ก็มาเปิดให้แล้วกลับไปง่วนกับของที่หน้ารถต่อ (ซึ่งฉันกะว่าจะไปช่วยหลังจากเก็บเสื้อเสร็จแล้ว) ลังใส่ของดังกล่าววางไว้คู่กับคนขับ ส่วนพื้นที่ด้านหลังจะเป็นสัมภาระของพวกเราซึ่งแน่นเอี๊ยดแล้ว เมื่อจัดแจงกับเรื่องส่วนตัวเรียบร้อย ก็เลยถือโอกาสวิสาสะปิดท้ายรถให้ซะเลย ในใจคิดว่าเรื่องนิดหน่อย ปิดได้อยู่แล้ว และนายวิทย์ก็ใช่ว่าจะว่างซะเมื่อไร ประตูรถค่อนข้างสูงปิดทีแรกไม่ลงแฮะ เลยใช้ความพยายามอีกครั้งเขย่งเท้าแล้วโยกประตูลงมาเต็มแรง ได้ผลประตูยอมลงมาตามแรง แต่ทว่าไม่ลงมาทั้งบานตามสภาพที่มันควรเป็น กลายเป็นว่าประตูงอตั้งแต่โชคอัพที่เป็นส่วนค้ำยันประตู โอ้! พระเจ้า ฉันไม่ได้เจตนาจริงๆ ที่จะทำของเขาพัง.แล้วจะทำไงละทีนี้..
ฉันเรียกนายวิทย์มาดู แกมองตาค้างแต่ยังไม่ว่าอะไร เนื่องจากไม่มีเวลา ต้องเอาของไปสนามบินก่อน แล้วเรื่องนี้ค่อยว่ากัน คุณแม่สี คุณช่วยดูของด้วยน่ะเผื่อของตก ฉันเลยต้องรีบขึ้นรถตู้ไปนั่งเบาะหลัง ส่วนนายวิทย์ใช้เชือกฟางที่เหลือผูกฝาท้ายกับกันชนไว้ รถแล่นออกไปฝาท้ายเปิดพะงาบ ๆ โดยมีฉันชะโงกเบาะคอยดูอยู่เป็นระยะๆ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด เสียงริงโทนฉันดังขึ้น หน้าจอโชว์เบอร์พี่นันทา แม่สี อยู่ไหนน่ะ มากินข้าวได้แล้ว เสียงเรียกอย่างร้อนรนที่ปลายสาย ฉันตอบกลับไปว่า อยู่ที่สนามบิน ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกลับไปรับ เมื่อเราสองคนจัดการเรื่องของที่จะขึ้นเครื่องเสร็จ ก็ตีรถไปรับเพื่อนๆ ที่ร้านอาหาร เพื่อนๆ ที่ออกมาพากันงงว่าทำไมสภาพรถจึงเป็นเช่นนั้น ฉันก็เล่าให้ฟังพอสังเขป..
จะว่าโชคหรือเคราะห์ก็เหลือจะกล่าว รถคันนี้ทำประกันภัยด้วยโดยผ่านบริษัทฯ ของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องดูแลเรื่องเคลมประกันภัยให้ ซึ่งคงต้องเป็นวันต่อมาเพราะว่าติดวันหยุดและอยู่ต่างจังหวัดกันด้วย คุณวิทย์ ไม่ต้องห่วงน่ะ เดี๋ยวแม่สีจะรับผิดชอบเอง ฉันรับปากกับนายวิทย์ ซึ่งนายวิทย์ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนเพื่อนๆ ก็ถ่ายรูปรถอย่างละเอียด เพื่อไปประกอบการเคลมและแจ้งเคลมกับทางสำนักงานใหญ่ของบริษัท รับประกันภัยที่สำนักงานใหญ่ เพื่อจะได้เป็นหลักฐานไว้ดำเนินการเป็นลำดับต่อไป
หลายวันต่อมาพวกเราก็ติดตามเรื่องเคลม ทางประกันแจ้งว่าวัตถุประสงค์ในการใช้รถคันนี้ตามที่ได้แจ้งไว้ในกรมธรรม์คือใช้เป็นรถส่วนบุคคล มิได้ใช้รับจ้าง ทางบริษัทฯ มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการจ่ายได้ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยทางเราซึ่งเป็นนายหน้ารับประกันภัย ได้ช่วยเจรจาต่อรองให้ จึงสรุปว่าทางประกันยอมที่จะจ่ายเคลมค่าสินไหมเพื่อซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมในราคา 7,500.- บาท ทางเราก็แจ้งนายวิทย์ไป ซึ่งนายวิทย์ก็ไม่ค่อยสะดวกที่จะพูดนักเนื่องจากกำลังขับรถรับลูกทัวร์อยู่ ขอติดต่อกลับ ทางเรารับรู้มาว่าทางนายวิทย์ซึ่งอยู่ที่เชียงใหม่ ไม่สามารถรอการตอบรับจากประกันภัย (เนื่องจากทางประกันภัยจะใช้เวลาพิจาณาการจ่ายหลายวันอยู่เหมือนกัน) เขานำรถไปซ่อมเอง โดยเปลี่ยนฝาท้ายใหม่ยกชุด (ใช้ของมือสองมาแทนที่) โดยอ้างว่าต้องทำเช่นนี้เพราะต้องใช้รถ เพื่อรับคณะทัวร์ในวันรุ่งขึ้น และราคาที่เขาแจ้งมาทางโทรศัพท์คือ 18,000.- บาท
เขาไม่ยอมรับเรื่องที่ประกันภัยจ่ายให้เป็นจำนวนเงิน 7,500 บาท เพราะเขาจ่ายจริงไปมากกว่า อ้อ! ลืมบอกไป ระหว่างที่รอเคลมรายนี้ ฉันก็ได้โทรไปสอบถามกับบริษัทฯ ประกันภัยอื่นๆ และเล่าเหตุกาณ์คร่าวๆ ให้ฟังซ้ำๆ ซึ่งทุกที่จะตอบมาเหมือนกันคือ ชดใช้เป็นค่าซ่อมแซม เนื่องจากอุปกรณ์จะต้องมีการเสื่อมสภาพในตัวของมันเองอยู่แล้ว โดยให้ราคามาที่ 7,000 8,000.- บาท ยืนยันตรงกันว่าไม่เปลี่ยนชิ้นใหม่ให้เนื่องจากซ่อมได้ ตามหลักการ
วันรุ่งขึ้น ก็มีโทรศัพท์ติดต่อกลับมาจากนายวิทย์ อีกครั้ง คุณแม่สี ผมไม่ยินดีน่ะ 7,500 บาทเนี่ย ผมจ่ายไปร่วมสองหมื่น ผมไม่ยอมนี่ผมยังไม่ได้คิดค่าทำสี ที่ผมไปทำเพิ่มมาเลยน่ะ เสียงตามสายดุดัน และจริงจัง ผิดกับตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องลิบลับ
แม่สีไปสืบราคามาแล้ว ราคาที่ว่ามันเป็นของมือหนึ่งจากศูนย์เลยนี่ค่ะ ฉันตอบไป หยั่งเชิง เพราะนอกจากจะติดต่อประกันภัยแล้วฉันยังโทรไปเช็คที่ศูนย์รถยนต์ อีกทางหนึ่ง
คุณหาว่าผมจะมาหากินกับพวกคุณด้วยวิธีนี้หรือ เอาละถ้าคุณไม่ยอมเคลียร์ ผมจะฟ้องคุณและคณะว่ามาทำให้ผมเสียหายและไม่รับผิดชอบ ถ้ารถผมไม่ดีแล้ว คุณมารับประกันรถผมทำไม ดิฉันอึ้ง และงง เพราะไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้ ถ้าเป็นรถคุณ คุณจะยอมไหม ผมทำทัวร์ให้พวกคุณ ก็ได้ค่าตอบแทนนิดเดียวไม่คุ้มค่ากันเลย กับที่คุณมาทำของผมพัง ฉันได้ฟังแล้วก็เสียใจ นี่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำของเขาเสียหายเลย ทำไมฉันต้องมารับกรรมอย่างนี้ด้วย ต้องเสียทั้งความรู้สึก และเสียเงินเป็นหมื่น ๆ นี่ จะว่าไปเงินจำนวนนี้ถ้าไปซื้อของให้ตัวเอง น่าจะดีกว่ามาเสียด้วยเรื่องแบบนี้ฉันคิด .. เขาพูดจาไม่ดีอีกหลายๆ ประโยคเท่าที่จะสรรหามาได้ โดยมิได้พูดในเชิงขอร้องให้ช่วย ถ้าเขาพูดอย่างนั้นแต่แรกฉันคงยอมจ่ายไปนานแล้ว คงไม่ต้องพูดยาวจนทำให้ฉันคิดมากขนาดนี้ ถ้าคุณไม่จ่ายเราจะได้เห็นดีกัน และตบท้ายด้วยการส่งโทรสารค่าใช้จ่ายจำนวน 18,000 บาทมาให้ โดยแถมความกรุณาต่อท้ายด้วยว่าไม่คิดค่าทำสี
ฉันมาเล่าให้พี่นันทาและเพื่อนๆ ฟัง บางคนก็บอกว่าอยากฟ้องก็ฟ้องไป ต่างให้ความเห็นว่าคงไม่คุ้มค่ากับการจ้างทนายมาฟ้อง คงแค่ข่มขู่มากกว่า แต่ฉันปรึกษาผู้ใหญ่ดูเพื่อขอความเห็นก็ตรงกับความเห็นในใจฉัน และอีกประการหนึ่งขณะนี้ ฉันไม่มีเงินสำรองอยู่เลยเพราะเงินเก็บก็ใช้ไปกับค่าเที่ยวไปหมดแล้ว จะรอสิ้นเดือนมันอีกตั้งไกล ผู้ใหญ่ท่านก็ไม่ได้กล่าวอะไรเลย ยังเมตตาให้ยืมเงินมาเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมด
ฉันไตร่ตรองอยู่หลายเที่ยว ใจหนึ่งไม่ยอม เพราะเสียดายเงินที่ต้องจ่ายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ได้ประโยชน์ อะไร แต่อีกใจก็ต้องยอมรับว่าเราผิด ตรงที่เราไปทำของเขาเสียหายจริงถึงสภาพรถมันจะเป็นเช่นไร แต่เพราะมือของเราของเขาเลยชำรุดใช่ไหม ฉันถามกับตัวเองย้ำอยู่หลายครั้ง และอีกเรื่องหนึ่งถ้าเขาฟ้องจริง เราจะต้องเสียเวลาอีกมากมาย จะว่าไปถ้ารถคันนี้ไม่ได้ทำประกันภัยไว้ ฉันคงต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนด้วยซ้ำ..
คุณวิทย์ ขอเบอร์บัญชี ด้วยน่ะ เดี่ยวจะโอนเงินไปให้ ขอโทษด้วย แม่สีไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องอย่างนี้เลย ขอเป็นช่วงบ่ายน่ะ เพราะเช้านี้คงไม่ทัน ฉันติดต่อไป นี่คงต้องไปผ่อนชำระเงินที่ผู้ใหญ่ท่านนั้นให้หยิบยืมมาอีกตั้งหลายเดือน คนมีรถไม่ได้รวยหมดทุกคนน่ะ ทั้งผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ให้พ่อแม่ ฯลฯ แต่สภาพทุกข์ของเขากับฉันคงไม่ต่างกันเท่าใดนัก..โดยเฉพาะเขาต้องตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ว่าจะมีคนรับผิดชอบความเสียหายไหม ฉันนอนไม่หลับหลายวันเพราะเรื่องนี้ ที่สุดแล้วคงต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีทั้งแนวร่วมและแนวต้าน จากความคิดเห็นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ได้รับรู้ถึงคำว่าเพื่อน แม่สี มีอะไรให้พี่ช่วยไหม พี่นันทาถามหลังจากที่เจรจากันเสร็จ
พี่ได้ช่วยหนูมากแล้ว อย่างน้อยๆ พี่ๆ ช่วยวิ่งเต้น ประกันภัยให้ หนูขอโทษที่ทำให้การท่องเที่ยวคราวนี้มันหมดสนุก ค่ะ ฉันกล่าวกับพี่นันทา รับไว้เถิด ถือว่าพี่ช่วยเราแล้วกัน แม้มันจะเล็กน้อย แต่เราก็ไปด้วยกัน พี่นันทายัดธนบัตรจำนวนหนึ่งใส่มือ ฉันมองด้วยความซาบซึ้ง ถ้าไม่รับ พี่จะโกรธน่ะ ขอบคุณค่ะ.... ฉันรับไว้ด้วยความตื้นตัน อย่างน้อยคงพอเยียวยาหัวใจที่บอกช้ำของตัวเองได้จากการกระทำของเพื่อนบางคน และคำว่ามิตรภาพในบางเวลา..
***การติดดีบางทีมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร แต่อย่างน้อยผลของการทำความดี มันก็ช่วยให้เราได้เห็นอะไรแจ่มชัดขึ้น จริงไหม***
เพื่อนคืออะไร..ยากนักเข้าใจ..ความหมายของคำ
ผู้ร่วมธุระ..พบปะประจำ..รักใคร่ลำนำ..เที่ยวพร่ำพรรณนา
และเพื่อนคือใคร..คนคอยห่วงใย..ให้คำปรึกษา
เป็นคนคุ้นเคย..เอื้อนเอ่ยคุ้นตา..ใคร่รู้หนักหนา..สรรหาบ่เจอ
เพื่อนอยู่ที่ไหน..ยามเราพลาดไป..ปล่อยให้เราเหวอ
อ้างว้างลำพัง..เซซังนั่งเซ่อ.ปัญหานั้นเหรอ..ของใครของมัน
อย่างไรคือเพื่อน..ถามตนคอยเตือน..เลอะเลือนดังฝัน
หรือแค่ร่วมสุข..ส่วนทุกข์แยกกัน..สุดแสนอัดอั้น..แบ่งปัน-อันใด
เสียเพื่อน.ไม่เท่าเราเสียใจ..
ณ.มุมหนึ่งของแม่สี19/9/2005..
..