27 พฤศจิกายน 2547 12:27 น.
กุ้งหนามแดง
ทีแรกกะว่าจะไปลอยที่พุทธมนฑล ซึ่งใกล้บ้านเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่ง วางแผนไว้ซะดิบดีว่าจะได้ค้างคืนกับเพื่อนคนนั้นซะ โสดเหมือนกันแต่กลัวข่าวลือ (ล้อเล่นน่า) เลยต้องถนอมตัวหน่อย กลับบ้านเราดีกว่า รักรออยู่ (ตรงไหนหว่า) เมื่อมุ่งมั่นเช่นนั้นแล้ว จึงบอกเพื่อนที่นัดกันไว้ว่า ขอตัวก่อน เพราะวันนี้รถคงจะติดมาก เพื่อนก็ไม่ว่าอะไร อาจเพราะมีตัวสำรองอีกเยอะ ก็เป็นได้
เอาละ กลับมาถึงบ้านแล้ว ที่ซอยก็ครึกครื้นน่าดู มีตั้งวงเฮฮากันเป็นจุดๆ อาจเนื่องด้วยว่าเป็นคืนวันศุกร์ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานเลยขอเต็มที่สักวัน บางบ้านก็เฮโลขึ้นรถกระบะกะว่าจะไปลอยที่ไกลๆ เพราะเบื่อความจำเจ เลยแสวงหา.. ก็ขนกันไปพร้อมกระทงที่เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย สนุกสนานไปอีกแบบ มีเสียงจุดประทัดเป็นระยะๆ เหมือนยืนยันว่าไม่ผิดเทศกาลแน่นอน..
อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จ เปิดทีวีดูรายกายโปรด ทายหน้าปริศนา ถูกมั่งผิดมั่งวันนี้มีลุ้นหน้า..หนึ่งล้านกันด้วย โอมายก๊อด! หน้าที่นำมาทายคือไอ้เวนย์ รูนี่ย์ นี่เอง (ชื่อเขาอย่างนั้น มิได้มีเจตนาที่จะหยาบคายแต่อย่างใด) ปรากฏว่าผู้เล่นทายถูก ได้รับเงินหนึ่งล้านบาทไป ผู้ปราชัยได้รับไปหนึ่งแสนบาท (10 เท่าเชียวน่ะ สำหรับประสาทสัมผัส) แต่เงินได้ฟรีก็ถือเป็นโชคอยู่แล้วอย่าคิดอะไรให้มันมากมายไป ระหว่างดูทีวีก็หม่ำข้าวไปด้วยมีผัดผักรวมมิตร กับต้มยำปลา ข้าวนิดหน่อย เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงไดเอท ..
รายการจบพอดีวันศุกร์จะทำอะไร ละครก็ไม่ค่อยได้ติดตาม หรือจะเข้าเน็ตดี..อย่าเพิ่งเลย ยังไม่มีกลอนใหม่มาลง นอนอ่านหนังสือดีกว่า..แต่เอ เหมือนลืมอะไรไปรึเปล่า นั่นแน่ ต้องไปลอยกระทงใช่ไหมล่ะ (คนอะไรลืมง่ายลืมดาย) ..
ชุดที่ใส่น่าจะโอเคน่ะ เสื้อยืดสีขาวกางเกงวอร์มสีน้ำเงิน (เหมือนครูพละเลย) ไม่น่าเกลียดน่าไปใกล้ๆ บ้าน คว้ากุญแจกระเป๋าตังค์ ล๊อคบ้านเรียบร้อย ออกเดินจากซอยไปสู่ถนนใหญ่ วันนี้คนไม่ค่อยมากถ้าเทียบกับปีก่อน ที่ชวดลอยกระทงไปเพราะไม่สามารถเบียดคนเข้าไปที่วัดหนามแดงได้ ระหว่างเดินอยู่ริมถนนใหญ่ ก่อนถึงทางเข้าวัด มีแม่ค้า, พ่อค้าร้องเรียกให้ซื้อกระทง ซึ่งทำจากวัสดุหลายอย่าง เช่น ใบตอง, โบว์พลาสติก (แบบที่นำมาผูกของขวัญ), กระดาษ อ้อ! มีแปลกอีกอย่างรู้สึกเป็นใบอะไรไม้รู้สีขาวๆ เดาว่าน่าจะเป็นกาบใบตองน่ะ) สุดแล้วแต่ใครชอบแบบไหนก็เลือกซื้อกันไป นอกจากนั้นก็มีธูปกับเทียนที่ประดิษฐ์ด้วยกระดาษย่นทำเป็นรูปดอกไม้ ล้อมธูปเทียน ไว้บริการด้วย สำหรับคนที่มีกระทงมาแต่ไม่มีธูปเทียน ดีจังเลย ช่างคิด ที่ขาดไม่ได้คือไม้ขีดและไฟแช๊ค ขายอยู่ด้วย (แน่ละใครจะลอยแบบไม่จุดไฟละเนอะ) กุ้งยังคงสงวนท่าทีไว้ ยังไม่ซื้อ คิดเอาไว้ว่าจะไปซื้อกระทงของทางวัดดีกว่า (ตามความคิดที่ประกอบด้วยเหตุผล ของตนเองเป็นหลัก) ประการที่หนึ่ง ได้บุญ ประการต่อมา ขี้เกียจถือเข้าไป (ก็คนเบียดออกอย่างนั้น เดี๋ยวกระทงแบน ต้องนำสิ่งดีๆ สู่แม่คงคา จริงไหม) ประการที่สาม เผื่อเข้าไม่ถึงจริงๆ จะได้กลับบ้านไปลอยกระทงออนไลน์ (แบบปีที่แล้ว.. แห้งซะไม่มี) ประการสุดท้ายนี่สำคัญที่สุด คือ กระทงนอก (วัด) แพงมากจ๊ะใบหนึ่ง 50 บาท (แบบสวยโดนตาน่ะ) ส่วนแบบที่เหมือนงานผีมือของเด็กน้อยๆ คือใบนึงมีห้าจีบ บานๆ แบะๆ และมีดอกไม้หรอมแหรม ก็ตกใบละ 20 บาท (พร้อมธูปเทียนพร้อมค่ะ)
ระหว่างทางเข้าวัดจะแคบ ความจริงก็ไม่แคบมากหรอกเพียงแต่แม่ค้ากางโต๊ะขายกระทงล้ำมาตลอดทาง เลยทำให้ไม่สะดวกในการเดินเท่าไร ประกอบกับคนไปร่วมงานกันมาก เลยทำให้แออัด ก่อนเข้าวัดจะมีสะพานข้ามคลอง ถ้าจำชื่อไม่ผิดน่าจะเป็นคลองสำโรง ซึ่งคลองนี้แหละเป็นเป้าหมายที่พวกเราชาวหนามแดง จะอาศัยลอยกระทงส่งใจขอขมา แม่พระคงคา และอธิษฐานเลยสิจ๊ะ ตามสไตล์ของใครของมัน..
คนเบียดเสียดมากเพราะใช้ทางเข้าออกเส้นเดียวกัน บ้างกำลังเข้าไปด้วยประสงค์คงประเพณี บ้างก็กำลังออกมาเนื่องจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว การจราจรติดขัดมากเพราะมีมอเตอร์ไซด์ขอใช้ทางร่วมด้วย แต่ก็มีเจ้าหน้าที่คอยเป่านกหวีดและตะโกนแนะนำ ซึ่งก็ช่วยได้บ้าง คนค่อยๆ ทยอยกันเดินเข้าไป บ้างขี่มอเตอร์ไซด์ (โดนมองหน้าด้วย..แบบเอ็งจะขี่มอไซด์เข้ามาทำไมว่ะ) ที่เจ้าอารมณ์ก็มีบ่นบ้าง เช่นอย่าดันสิว่ะ ฯลฯ แต่ก็ไม่มีการวิวาทเกิดขึ้น คนที่มีกระทงอยู่ในมือต้องชูไว้เหนือศีรษะ กันการกระทบกระแทก แต่สุดท้ายก็เข้าไปถึงตัววัดได้โดยถ้วนหน้า..
ทางวัดมีประชาสัมพันธ์ผ่านไมโครโฟน ให้ซื้อกระทงที่ทางวัดจัดทำในราคาย่อมเยา รายได้จะนำไปซ่อมศาลา ซึ่งชำรุดอยู่ ในบริเวณมีประชาชนหนาแน่นแห่กันมา ด้านหลังเป็นโบสถ์ให้คนปิดทองทำบุญ ปีนี้มีมหรศพ เป็นการแสดงของนักเรียนของโรงเรียนในท้องถิ่น ประเภทรีวิว อะไรประมาณนี้ซึ่งคนไปรุมดูกันมาก ในตัวศาลาจะเป็นที่ทำกระทงของทางวัดและนำมาจำหน่ายรอบๆ บริเวณศาลาเพื่อหารายได้ดังกล่าวข้างต้น ส่วนถัดมาจะเป็นร้านค้าขายของจิปาถะ จำพวกกระเป๋า เครื่องเขียน มีขายของกินเช่น โรตี ลูกชิ้นปิ้ง หมึกแห้งย่าง ฯลฯ ยังเห็นลุงพิการมาขอทานอยู่ในบริเวณนั้น บางคนอยู่ริมน้ำเตรียมอธิษฐาน บ้างจูงลูกจูงหลานมาลอยกระทง อีกมุมเป็นคู่รักจุ๊กจิ๊ก จู๋จี๋ และโน่นอีกมุมเป็นเพื่อนสาวมากันเป็นกลุ่ม ดูครึกครื้น..
กุ้งเลือกซื้อกระทงของทางวัดตามเจตนารมณ์เดิม ไปลอยที่ริมตลิ่งข้างศาลาริมน้ำ เนื่องจากคนบนศาลาเยอะ กลัวโป๊ะ (หรือศาลา) จะแตก งานมันจะกร่อยซะเปล่าๆ
มาจุดธูปเทียน บรรยากาศโดยรวมถือว่าดี ลมพัดมาน้อยๆ แต่พอประคองไว้ไม่ให้ไฟดับได้ ดูลงไปในน้ำเห็นกระทงที่คนเขาลอยก่อนหน้า ที่เราจะมาลอยอยู่เต็มริมตลิ่งเลย น้ำไม่ได้พัดไปไหน แต่ไม่เป็นไร เราตั้งใจแล้ว ก็ไม่แปลกอะไรถือซะว่าเก็บกวาดง่ายดี จะได้ไม่สร้างมลพิษให้สิ่งแวดล้อมในวันถัดไป
จรดกระทงเหนือศีรษะ อธิษฐาน อืม! ขอให้เหตุการณ์ทางใต้สงบเร็วๆ ขอขมาแม่คงคาที่ทำให้ต้องแปดเปื้อนจากการใช้น้ำในปีนี้และทุกๆ ปีที่ผ่านมา สำนึกในบุญคุณของน้ำ.. กลิ่นธูปเข้าจมูกนิดหน่อย . ปีนี้ไม่ได้ขออะไรเพื่อตนเองเลย เพราะตอนต้นปีไปไหว้พระ๙ วัด ได้ขอไปเยอะแล้ว ปีหน้าค่อยขอแล้วกัน เอาละเสร็จแล้ว ค่อยๆ หย่อนกระทงลงไปในน้ำ ปีนี้น้ำตื้นหน่อย ต้องหย่อนกระทงลงไปสุดแขนมือหนึ่งก็จับขอบตลิ่งไว้ พอดีตรงนั้นจะกั้นเป็นขอบซีเมนต์ขึ้นมากันตลิ่งพัง กระทงค่อยๆ ลอยไปตามสายน้ำ ใช้มือวักน้ำส่งกระทงให้ลอยไปให้ไกลที่สุด อิ่มเอมใจเหลือเกินที่ปีนี้ ได้ลอยกระทงสมปรารถนา ดังตั้งใจไว้..
..
25 พฤศจิกายน 2547 11:17 น.
กุ้งหนามแดง
เด็กหญิงสินิทรา เป็นนักเรียนคนหนึ่งซึ่งหัวทึ่มทื่อ เธอมาโรงเรียนสายเป็นประจำ ด้วยว่าในยามเช้าเธอมีหน้าที่ต้องเตรียมอุปกรณ์ในการขายอาหาร
บ้านของเธอขายก๋วยเตี๋ยวเป็นอาชีพหลัก เธอจึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะสนใจการศึกษานอกห้องเรียน หรือไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กอื่นๆ ตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนเธอก็ต้องไปเก็บถ้วยชาม ล้างช้อน ตะเกียบ และเก็บกวาดร้าน กว่าจะเสร็จก็กินเวลานาน และมักอ่อนเพลียหลับไป โดยที่เธอไม่ได้ทำการบ้านตามที่ครูมอบหมายมา ...แต่เธอก็แก้ปัญหาโดยมาลอกคำตอบจากเพื่อนในตอนเช้าเป็นประจำ....
และเช้าวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ถูกทำโทษตามปกติ...ต้องพูดเช่นนั้น เพราะถ้ามีการตีเกิดขึ้นเธอมักจะติดโผเป็นอันดับต้นๆ เสมอ ซึ่งเป็นภาพที่เพื่อนๆ เห็นจนชินตา..
เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน...เธอจึงได้มาหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า..ด้วยความเศร้าสร้อย..
..
คุณครูขา...
หนูเป็นเด็กไม่ฉลาดเกินคาดหวัง
จะเป็นดังครูต้องการคงนานหนอ
พูดหูซ้ายทะลุขวาครูอย่ารอ
เพื่อนหัวร่อขบขันหยันทุกครา
คุณครูขา...
หนูเป็นเด็กเจ้าปัญหาครูอย่าสน
แม้ดิ้นรนให้สามารถดังปรารถนา
หนูทำได้แค่ฟังตั้งหน้าตั้งตา
ทุกมาตราเหมือนเคยละเลยจำ
คุณครูขา...
หนูเป็นเด็กโง่เง่ามากใช่ไหม
ครูถึงได้ลงโทษเสียจนหนำ
แถมสั่งสอนทุกไม้ใช้ฟาดทำ
หนูยังคลำก้นน้อยคล้อยน้ำตา
..............
13 พฤศจิกายน 2547 11:17 น.
กุ้งหนามแดง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กุ้งได้มีโอกาสดูรายการโทรทัศน์ช่วงบ่าย เป็นรายการเกี่ยวกับสิ่งปาฏิหารย์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน Concept ของรายการนี้จะแบ่งออกเป็นสองช่วงคือ
...ช่วงที่หนึ่งจะเป็นการนำความสามารถของเด็กน้อยๆ (อายุน่าจะสัก 2-3 ขวบ) ที่มีความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งถ่ายทำแนวเดียวกับ Home TV อาทิ เช่น เต้นรำ ร้องเพลง เป็นต้น และจะให้ผู้เข้าร่วมรายการทำการลงคะแนน ถ้าใครชนะใจคนดูมากกว่า ก็จะได้รับรางวัลไปรู้สึกว่าจะเป็นทองคำหนึ่งเส้น
ส่วนช่วงที่สองจะเป็นละครสามเรื่องและให้ทายว่าเรื่องใด เป็นเรื่องจริงซึ่งจะมีเพียงเรื่องเดียว ส่วนที่เหลือจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ทั้งหมดนี้จะเฉลยหลังรายการ ..แต่ช่วงนี้ไม่มีผลตอบแทนใด ๆ ..เพียงแต่ให้ดูละครสนุก ๆ..ทายกันเล่นๆ..
..วันนั้นเมื่อผ่านช่วงที่หนึ่ง ไปแล้วก็ได้นำเรื่องปาฏิหารย์ (เขาว่างั้น) มาเล่าให้ฟัง 3 เรื่องเช่นเดิม
11 พฤศจิกายน 2547 10:03 น.
กุ้งหนามแดง
การระลึกถึงความตายอยู่เสมอๆ ที่เรียกว่า เจริญมรณานุสติ เป็นประจำนั้น ย่อมมีคุณประโยชน์หรืออานิสงค์มหาศาล ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
ผู้ที่เจริญมรณานุสติเป็นนิตย์ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ในความเป็นหนุ่มสาว และในความไม่มีโรค
ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีชาวนาอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อ, แม่, ลูกชาย, ลูกสะใภ้, ลูกสาว และคนใช้ ทุกคนในบ้านนี้ต่างเจริญมรณานุสติอย่างเคร่งครัดเป็นประจำเสมอมามิได้ขาด
วันหนึ่ง สองพ่อลูกได้ไปไถนาแต่เช้าตามปรกติ พอตกสาย ลูกชายก็ถูกงูพิษกัดถึงแก่ความตายในทันที พ่อจึงอุ้มร่างของลูกชายไปนอนไว้บนคันนา เอาผ้าคลุมไว้ แล้วแกก็ไถนาไปตามปรกติเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ
เมื่อมีเพื่อนบ้านผ่านมาและจะเข้าไปในหมู่บ้าน เขาจึงสั่งไปว่า นี่พ่อคุณ! ช่วยกรุณาบอกแม่บ้านของผมด้วยว่า กลางวันนี้ขอให้จัดอาหารมาส่งผมเพียงที่เดียว และบอกให้คนในบ้านมากันให้หมดทุกคน พอสั่งเสร็จ เขาก็ไถนาต่อไป
ฝ่ายแม่บ้านและทุกคนในครอบครัว เมื่อได้รับคำบอกเล่าเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชาย ทุกคนจึงเตรียมนุ่งขาวห่มขาว แล้วเดินทางมายังนาพร้อมกัน โดยไม่มีใครร้องไห้เศร้าโศกเลย เมื่อมาถึงก็ช่วยกันหาฟืนมากองไว้ และยกศพขึ้นทำการเผาอย่างง่ายๆ โดยไม่มีพิธีรีตรองแต่อย่างใด
ขณะที่ไฟกำลังไหม้ศพอยู่นั้น มีชาวบ้านมามุงดูกันมาก และต่างก็แปลกใจไปตามๆ กันว่า ชายคนที่ตายเป็นอะไรกับพวกที่กำลังช่วยทำการเผาอยู่ เพราะถ้าเป็นญาติก็จะต้องมีการร้องไห้เสียใจกันบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย! บางคนอดใจไว้ไม่ได้จึงถามขึ้นว่า ขอโทษเถอะ! ชายผู้ตายเป็นอะไรกับท่านทั้ง ๕ หรือ ?
เป็นลูกชายคนเดียวของผมครับ ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวตอบ ต่อมาแม่ของผู้ตายก็ตอบ ต่อมาก็เมีย, น้องสาว และคนใช้ได้ตอบกันตามลำดับ
ก็เมื่อเป็นญาติของท่านแล้ว เหตุไฉนพวกท่านจึงไม่ร้องไห้อาลัย เศร้าโศกถึงเขาผู้จากไปเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเล่า ?
ท่านทั้งหลาย! ผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้นด้วยเสียงปรกติ อันว่าลูกชายของผมเขาจากไปและทิ้งร่างไว้เหมือนงูทิ้งคราบ การร้องไห้ คร่ำครวญถึงคราบงูไม่มีประโยชน์ฉันใด การเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดฉันนั้น
ท่านทั้งหลาย! ผู้เป็นแม่คนตายกล่าวขึ้น ลูกชายของดิฉันนี้เมื่อเขามาเกิดในท้องของดิฉัน เขาก็มาเอง ไม่มีใครเชื้อเชิญ เมื่อเขาจากไปก็มิได้บอกลา ดิฉันจึงไม่อาลัยถึงเขา
ท่านทั้งหลาย! น้องสาวผู้ตายกล่าว ถ้าดิฉันจะร้องไห้จนผ่ายผอม หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด พี่ชายของดิฉันก็คงไม่ฟื้นกลับคืนมาแน่
ท่านทั้งหลาย! ภรรยาของผู้ตายกล่าว ขึ้นชื่อว่าสามีที่ดีใคร ๆ ก็ย่อมรักและหวงแหนเป็นธรรมดา แต่เด็กแม้จะร้องไห้เอาพระจันทร์บนฟ้าย่อมไม่ได้ ฉันใด การที่ดิฉันจะร้องไห้ เพื่อให้ผัวกลับฟื้นคืนมา ก็ย่อมจะไม่ได้ฉันนั้น เหมือนกัน
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย! คนใช้กล่าวบ้าง หม้อ(ดิน) ใส่น้ำที่แตกแล้วย่อมเชื่อมให้สนิทดังเดิมไม่ได้ ฉันใด การที่ดิฉันจะเศร้าโศก, ปริเวทนาการ, ร่ำไห้ถึงนายที่ตายจากไปแล้ว เพื่อให้ฟื้นกลับคืนมาดังเดิม ก็ย่อมมิได้ฉันนั้น ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงไม่เศร้าโศกเสียใจ
..
9 พฤศจิกายน 2547 08:34 น.
กุ้งหนามแดง
ไอ้กั๊ม ตายแล้วเสียงแม่แว่วมาตามสายโทรศัพท์..
มันไปช่วยพ่อแก เลยโดนงูกัดตาย.
ไอ้กั๊ม เป็นหมาไทยพันธุ์ผสมระหว่างแม่ซึ่งเป็นหมาพันธุ์พุดเดิ้ล กับพ่อหมาไทยพันธุ์ทาง มันเกิดที่บ้านของเราเมื่อหลายปีก่อน ด้วยว่าพ่อกับแม่ไม่คิดว่า หมาสองตัว (พ่อกับแม่ของมัน) จะผสมพันธุ์กันได้เนื่องจากมันต่างพันธุ์กัน และหมาทั้งสองก็ยังเด็กๆ อยู่ (ตามความคิดของคนทั้งบ้าน) เมื่อแม่ของกั๊มตั้งท้อง เรารู้ได้โดยสังเกตุเห็นจากราวนมของมัน และความอ้วนท้วนสมบูรณ์อย่างผิดปกติ..
เมื่อมันคลอดออกมา มีพี่น้องทั้งหมด 4 ตัว มันเป็นตัวที่เท่าไรก็เกินจะจำ พ่อเป็นหมอทำคลอดให้ โดยไปเตรียมใบกระเพรา กับตะไคร้มาให้แม่ของมันดม และลูกที่เพิ่งเกิดใหม่ รวมทั้งตัวพ่อด้วย พ่อทั้งตัดสายสะดือให้หมาเกิดใหม่..แล้วมัดด้วยด้าย..
น้องชายเราเป็นคนตั้งชื่อให้มัน เพราะตอนนั้นมีภาพยนตร์ต่างประเทศมาฉาย ชื่อ Forest Gump ซึ่งตัวเอกจะเป็นคนพิเศษ ..เมื่อมันยังเล็ก ความที่ไอ้กั๊ม มันเป็นหมาหน้าตาดีที่สุด แม่จึงรักมันเป็นพิเศษ เวลาให้อาหารก็จะมีกับข้าวให้มันมากกว่าตัวอื่นๆและยังอุ้มมันไปนอนด้วย ประมาณว่าไว้ข้างๆ เตียงตอนแม่นอน...
มันเป็นหมาสีขาว ขนหยิกๆ เป็นหมาร่าเริงและใจกล้าหาญ มันชอบออกไปเล่นซุกซน ว่ายน้ำในบ่อ ขุดหนู บ้านเราอยู่กลางทุ่งนาน่ะ ตัวมันจะไม่เคยสะอาดเลยก็ว่าได้เพราะอาบน้ำแล้วก็ไปลุยสกปรกมาอีก แต่พวกเราก็รักมันเสมอ..
เมื่อวานนี้ แม่เล่าว่าได้ยินเสียงมันเห่า ที่กองฟืนข้างบ้าน พ่อก็เลยตามไป เจองูเห่า เลยจัดการกับงูตัวนั้น ระหว่างต่อสู้กัน ไอ้กั๊ม ก็ช่วยพ่อหลอกล่องู จนกระทั่งพิชิตมันสำเร็จ..
อีกไม่กี่นาทีต่อมากั๊มก็ล้มลง แม่บอกไม่รู้ว่า..กั๊มถูกงูกัดตอนไหน.แต่มันก็จากพวกเราไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับมา.
เราได้แต่ตอบกลับแม่ไปว่า มันคงไปดีแล้ว
แม่วางหูโทรศัพท์ ด้วยน้ำตา..และเสียงร่ำไห้.
..
หมาตัวหนึ่งอาจไม่มีความหมายกับใคร..แต่ไม่ใช่กับครอบครัวของเรา..