25 สิงหาคม 2549 09:59 น.
กุ้งหนามแดง
สถานที่: iplusroom ตึกโอลิมเปียไทย วันที่/เวลา 23/8/2549 :18.30-21.30 น
ผู้เข้ารอบประกวด: 1.ปีกฟ้า 2. อัลมิตรา 3.ยอด 4.กุ้งหนามแดง 5.idaho 6. Em
กรรมการ: พี่ม้าแกลบ, น้าเพชรส่อง ผู้ชม: เด็กเสริฟและบุคคลที่อยู่ในห้อง
ตากล้อง: idaho (อีกตำแหน่ง)
ผู้ดำเนินรายการ: กุ้งหนามแดง (อีกตำแหน่ง)
........
ผู้ดำเนินรายการ: "สวัสดีค่ะนี่คือรายการ the star academy ปีจอ...และแล้วก็ถึงรอบ...ที่สร้างความประทับใจให้ผู้ชมอีกครั้ง... โดยผู้เข้าประกวดปีนี้ได้แก่.."
....
"หมายเลข 1.คุณปีกฟ้า
................ 2. คุณอัลมิตรา
................ 3.คุณยอด
................ 4.คุณกุ้งหนามแดง
................ 5.คุณidaho
................ และ 6. คุณEm
...หลังจากได้แสดงฝีมือและฝีปากร้องกัน ไปคนละหลายๆ เพลงแล้ว กรรมการแต่ละท่านมีความเห็นอย่างไรค่ะ"
เริ่มจาก พี่ม้าแกลบ..ก่อน ค่ะ
พี่ม้าแกลบ: "ก่อนอื่นพี่ขอเรื่องเสื้อผ้าก่อนเลยน่ะ น้องๆ ที่เข้ารอบในวันนี้ แต่งตัวได้อารมณ์มากเหมือนเพิ่งเลิกงานที่ office เลยค๊า.. แต่งตัวให้เข้ากับคอนเสริต์หน่อยน่ะค่ะ โดยเฉพาะหมายเลขสี่คุณกุ้งฯ เหลืองได้กาละเทศะมากเลย นอกราชการสีอื่นก็ใช้ได้น่ะค๊า......ขอบอกกกก..."
"วันนี้น้องๆ มีความตั้งใจกันมาก สังเกตุได้ว่ามาตรงเวลากันทุกคน เห็นได้ชัดว่าทำการบ้านมาดี แต่พี่อยากขอให้น้องๆ ทานอาหารกันเยอะๆ หน่อยจะได้มีพลัง ไม่ดูอิดโรยเวลาแสดงน่ะค่ะ สามชั่วโมงไม่มาก..แต่ไม่น้อยน่ะค่ะ.....พี่ขอเตือนนนนน.."
"แค่นี้น่ะค่ะ...ขอยกหน้าที่ต่อให้ น้าเพชรส่อง ค่ะ.."
น้าเพชรส่อง: "ขอบคุณครับ พี่ม้าแกลบ.. ผมขออนุญาตพูดเรื่องเสียงครับ.."
"คุณปีกฟ้า...พลังเสียงคุณดีมาก เป็นธรรมชาติ ร้องได้หลายแนว คงไม่มีอะไรจะหยุดยั้งคุณได้ เพลงช้า-เร็วไม่มีเกี่ยง ไม่มีอะไรแนะนำแล้วครับวันนี้..คุณได้ไปต่อแน่ครับ ถ้าถามโพ๊ม.."
"คุณอัลมิตรา...อื้อ ตามที่ผมดูประวัติคุณแล้ว คุณเป็นนักเขียนใช่ไหมครับ นอกจากงานตรงนั้นแล้ว นี่ก็เป็นอีกอย่างที่คุณทำได้เข้าขั้นดีเยี่ยม จังหวะของคุณโดนใจผมจังครับ....แค่นี้ครับเดี่ยวผู้ชมโห่"....ฮา
"คุณยอด...คุณร้องเพลงได้หลายสไตล์มาก น้ำเสียงคุณนุ่มดีครับ ไม่เหมือนบางคนทีใส่เสื้อสีเหลืองๆ ขอให้คุณได้ก้าวเข้าถึงรอบชิงน่ะครับ..(เหล่..ไอ้คนถูกพาดพิง)"
"คุณกุ้งหนามแดง...ถามจริงๆ เหอะ คุณร้องเพลงเร็วไม่เป็นเหรอ แล้วคุณมาสมัครทำไม..ถ้าอยากไปต่อต้องปรับปรุงน่ะครับ เวทีนี้ไม่ได้มีไว้ให้คุณตบมืออย่างเดียวน่ะครับ ผมหวังให้คุณโชคดีในวันนี้ครับ..."
"คุณEm...คุณร้องได้เกือบทุกเพลงเลย ถ้าคุณเอาจริงมืออาชีพคงอายน่ะครับ..จับไมค์กันดีไหมครับ ท่านผู้ชมว่าไงคร๊าบ" ..เฮ..
"คุณ idaho ...วันนี้ทางทีมงานต้องพึ่งพาคุณถึงสองหน้าที่ ทั้งถ่ายภาพและร้องเพลง หวังว่าคงไม่เหนื่อยเกินไปน่ะครับ ผมว่าคุณไม่ต้องใช้ตัวช่วยแล้วล่ะ...ขอบคุณครับ อ้อ! ผมไม่ผิดหวังในตัวคุณเลยครับ.." (แอบหลีอีก..ฮา) "ขอให้คุณได้ไปต่อครับ...."
ผู้เข้ารอบ (รวมๆ) : (คิด) จริงใจหรือไก่กาเนี่ย....กรรมก๊าน..
: "ขอบคุณค่ะ/ครับ" (ไหว้ประกอบด้วย)
กุ้งหนามแดง: (คิด) ห้ามตบมือเปลี่ยนเป็นตบอย่างอื่นได้ไหมค่ะ..(เจอกันหลังไมค์หน่อยน่ะ..พี่กรรมการขา..)
: "ขอบคุณค่ะ" (ไหว้ประกอบด้วย..ถ้ามือเดียวไม่พลาดแน่...(คิดในใจต่อ...)
"แล้วผู้ชมแต่ละท่านมีความเห็นอย่างไรค่ะ.....ยังไงก็อย่าลืมเขียนกลอนเข้ามาน่ะค่ะ ในหัวข้อ เมื่อความรักเข้าตา ท่านอาจได้ค้นพบตัวเอง เหมือนพวกเขา เดอะสตาร์อคาเดมี ปีจอ.."
ไม่ต้อง..........กด 1..........คุณปีกฟ้า (เจ้าของบ้าน)
ยิ่งไม่ต้อง......กด 2..........คุณอัลมิตรา
ยั้งมือ............กด 3..........คุณยอด
บอกว่าอย่า....กด 4..........คุณกุ้งหนามแดง
คงไม่น่ะ........กด 5..........คุณidaho
ให้แค่คิด.......กด 6..........คุณEm
ง่ายกว่านั้น.....แค่แวะมาทักทายที่บ้านกลอนไทย พวกเขารอคุณอยู่เสมอ..หากเพลงสามารถเชื่อมหัวใจคนทั้งสองได้ฉันใด อักษรก็โยงได้ฉันนั้น..
สุดท้าย...
ขอขอบคุณ: iplusroom ตึกโอลิมเปียรัชดาภิเษก............เอื้อเฟื้อสถานที่
พนักงาน iplusroom ทุกท่าน..................... ที่อำนวยความสะดวก
ปีกฟ้าและผู้ดูแลระบบบ้านกลอนไทย........ ที่ให้สถานที่แพร่ภาพ/ เรื่องราว
โชคชะตา..................................................ที่พาพวกเรามาพบกัน
ขอบคุณและ สวัสดีค่ะ
กุ้งหนามแดง
ผู้ดำเนินรายการและบันทึกไว้ในเวป
25/8/2549
..
20 กุมภาพันธ์ 2549 10:22 น.
กุ้งหนามแดง
คนรุ่นเก่ามักไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่าง ระบบการทำงานจากพิมพ์ดีดปัดแคร่ พัฒนามาเป็นพิมพ์ดีดไฟฟ้า หัวกอล์ฟ, แบบจาน จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นคอมพิวเตอร์ อะไรหว่ารูปร่างคล้ายทีวี ถ้าเติมเสาอากาศคงดูละครได้เลย อิอิ ส่วนเรื่องการใช้งานต้องรู้จักพื้นฐาน Dos เฮ้อ! ยุ่งยากแท้ กว่าจะพิมพ์เอกสารสักฉบับ ตอนแรกสุด CU Word นี่แหละ เจ๋งสุดแล้ว มีเมนูภาษาไทยด้วย ตรงนี้แหละช่วยได้มาก ยังใช้ไม่ค่อยจะชินเลย เขาก็มีโปรแกรม Word Star มาให้ใช้แล้ว ต่อด้วย Word Perfect และหลังจากนั้นอีกไม่นาน บิลเกตต์ท่านก็ประทาน โปรแกรมในตระกูล Microsoft ขึ้นมา ก็เรียนรู้กันไป ถ้าไม่ยอมเรียนรู้ก็ต๊อกแต๊กต่อไป ทั้งรูปแบบและตำแหน่งงาน บางคนถอดใจไปขายเต้าฮวยเลยก็ยังมี
เราในฐานะคนรุ่นใหม่ (เมื่อหลายปีก่อน) ก็ต้องปรับตัวให้เป็นคนมีประสิทธิภาพ แหะ แหะ พูดซะหรูที่แท้ก็เพื่อปากท้องนั้นแหละ และทั้งนี้ทั้งนั้น ที่เกริ่นมานี่ก็ไม่เกี่ยวกับครั้งแรกที่จะเล่าวันนี้หรอกน่ะ ที่จะเล่าคือการขึ้นรถไฟฟ้ามหานคร (BTS) นั่นเอง ฮี่ ฮี่
เพราะว่าเราต้องเปลี่ยนอีกแล้วคราวนี้ ไม่ได้เปลี่ยนระบบงาน แต่เปลี่ยนสถานที่ทำงาน ก็เลยต้องวางแผนการเดินทางซะใหม่ให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวง ถึงคราต้องช่วยรัฐบาลประหยัดน้ำมันแล้ว (ยืดอกภูมิใจ) ที่ทำงานจะย้ายไปอยู่แถวราชเทวี ข้างโรงแรมชื่อภูมิภาคแถวนั้น เพื่อให้กิ๊ปเก๋ยูเรก้า และไม่เฉิ่มจนเกินไปนัก วันนี้จะลองไปนั่งรถไฟฟ้าดู (เพิ่งรู้ว่าเขาเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2542 แล้ว เมื่อวานนี้เอง )
แล้วจะเริ่มต้นยังไงเนี่ย ขั้นแรกนึกๆๆๆ อ้อ! อินเตอร์เนทคงช่วยเราได้ว่าแล้ว พิมพ์
url: www.bts.co.th ดูสิว่าเขามีอะไรในนั้นบ้าง หลังจากศึกษาดูแล้วไม่มีวิธีการชลอความเปิ่น คงมีให้ทราบแต่สถานี, ราคาบัตร/ประเภท, ประวัติบริษัทฯ, ส่วนต่อขยายฯ, จะซื้อหาตั๋วยังไงเนี่ย จะเหมือนที่หัวลำโพงไหมน๊อ.. หลังจากคลิ๊กอยู่นานและสืบข้อมูลจากในกระทู้ของ BTS ยังไม่ได้รับความกระจ่างเพียงพอ สงสัยเราต้องใช้ตัวเข้าแลก..อิอิ ว่าแล้วขึ้นรถเมล์สาย 116 บ้านเราอยู่ต้นสาย ไปลงสถานีอ่อนนุช ดีกว่าเอาให้หายข้องใจไปเลย..
และแล้วพจมานก็มายืนอยู่ที่หน้าบ้านทรายทอง เอ๊ย! ไม่ใช่ กุ้งฯ ก็มายืนอยู่ที่หน้า ห้างดอกบัวฯ อืม! สะพานขึ้นสถานีก็เชิญชวนมาก เขียนว่าอ่อนนุช กว้างมากกว่าสะพานลอยทั่วไปประมาณ 1 เท่า มีหลังคาคลุมตั้งแต่เชิงบันไดขั้นแรกจนขั้นสุดท้าย อย่างนี้ดี ฝนตกก็ไม่เปียกค่ะ.. ขึ้นไปเลย แต่เอ แล้วจะมีไฟดูด, ไฟรั่วหรือเปล่าน่ะ ก็มันใช้ไฟฟ้าเหมือนที่บ้านนี่ ชักแหยงนิดๆ
สองขาพาเดินไปถึงข้างในสถานี เหลียวซ้ายแลขวา ได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์ชาย แจ้งว่า 40 บาท ซื้อตั๋วที่นี่ได้เลยครับไม่ต้องทอน ตากสินครับ ตากสิน เราศึกษามาแล้วคนละทางกับจุดหมายของเรา จึงผ่านไป.. โน่นแน่ เห็นสองสาวในตู้กระจกเขียนไว้ว่าจำหน่ายตั๋ว แบ่งเป็น 2 ช่องจึงแหลมหน้าเข้าไปพร้อมธนบัตร 100 บาท มุกนี้เสมอเผื่อเหลือเผื่อขาด..
สถานีราชเทวีค่ะ กุ้งฯ ยื่นหน้าสบตากับเธอ
35 บาทค่ะ พร้อมรับธนบัตรใบละร้อยแล้ว แตกเป็นใบละ 20 บาท สามฉบับ และเหรียญ 10 บาทอีกสี่เหรียญ รับตั๋วด้านนอกค่ะ หลังจากรับมาด้วยความงง ตรงไหนเนี่ยด้านนอก ต้องลงไปถนนใหญ่ข้างล่างไหมอ่ะ เงินก็ไม่เอาไปสักบาท ยังไงกันเนี่ย เจ้าหล่อนคงเห็นอาการอึ้งกิมกี่ และเดาได้ว่าต้องมือใหม่แน่นอน จึงบอกมาว่าให้กดที่ตู้อัตโนมัติด้านหน้า พร้อมผายมือบอก นึกโล่งใจ ไม่ต้องตะกายลงไปข้างล่าง อิอิ
บริเวณที่เรียกว่าตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติซึ่งจำหน่ายตั๋วรายเที่ยวเดียว บริเวณนั้นจะมีรูปร่างคล้ายๆ เสากลมต้นใหญ่ๆ (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะแปดเหลี่ยมๆ น่ะ)ประกอบด้วยตู้ 4 ตู้ฝังอยู่ในเสานั้น มีแผนผังแสดงเส้นทาง ประกอบด้วยระยะทางและอัตราค่าบริการ มีปุ่มให้กด ปุ่มจะใหญ่เหมือนตู้ขายน้ำอัตโนมัติ ราคาจะสัมพันธ์กับระยะทาง ไกลก็จะแพงหน่อย ใกล้ก็ถูกลงมานิดนึง เราศึกษาว่าสถานีที่เราจะลงเลข 6 ราชเทวี เอาละกดเลย ที่หน้าปัด กว้างสักไม้บรรทัดยาวสักคืบนึง จะปรากฎตัวเลขดิจิตอลว่า 35 บาท เราก็หยอดเหรียญที่ได้มาลงไปในช่องหยอดเหรียญ มีช่องทอนด้วย เราหยอดไป 40 บาท ทอนมา 5 บาท และมีตั๋วยื่นออกมาให้ด้วย 1 ใบ ลักษณะคล้ายๆ บัตรเอทีเอ็ม แต่ไม่มีแถบแม่เหล็ก ก็พลิกดูหน้าหลัง พอผ่านๆ
พอถึงตอนนี้สอดส่ายสายตาไปที่ป้ายเขียนว่าไปสถานี ตรงนี้เป็นต้นทาง ป้ายเขียนว่าไปทุกสถานี ก่อนขึ้นบันใดเลื่อนจะมีช่องทางให้เข้า คล้ายๆ ที่เขามีไว้เข้าซุปเปอร์มาเก็ท แต่ผิดกันตรงที่ส่วนที่กั้นคนเข้าจะมีลักษณะเป็นลิ้นปิดเข้าออก ยังคิดสยองๆ นิดนึงว่าถ้าแหลมกว่านี้ มีไส้แตกแน่นอน เท่าที่ดูห่างๆ เห็นเข้าไปเราต้องใช้บัตรอันนี้แหละ สอดไปตรงหน้าเครื่อง แล้วจะคืนบัตรตรงด้านบน พร้อมทั้งลิ้นที่กันคนจะเปิดออก เราก็ทำตามเขาบ้าง อ่ะไปได้สวย.หลังจากนั้นก็ขึ้นบันไดเลื่อนเข้าไปรอรถไฟที่กำลังจะมา เมื่อรถไฟมาไม่มีเสียงปู๊นๆ แฮะ..ระหว่างนี้คนคงลง นะเราไม่ได้สังเกตุเพราะมัวแต่จดบันทึกอยู่.โดยหันหลังให้กับรถไฟและจดข้อมูล กันลืม และดูวิวภายนอกสถานีด้วย สักแป๊บนึง รถไฟเปิดประตูคนที่อยู่ก่อนหน้าทยอยเข้าเราก็วิ่งเข้าไป เพราะเรายืนห่างจากชานชาลาอยู่เหมือนกัน ประตูปิดอีกครั้ง ..
ในตู้รถไฟแยกเป็นหลายโบกี้อยู่ คนเยอะพอสมควร การเดินรถไม่มีเสียงดังเหมือนรถไฟทั่วไป (กฟท) ที่นั่งแบ่งเป็นสองข้าง ลักษณะของเก้าอี้เป็นแบบเดี่ยวๆ เรียงชิดกัน ความรู้สึก เหมือนนั่งรถสองแถวเลยเพราะต้องประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้าม คนยืนมีเยอะรวมทั้งเราด้วย แหม! ก็เข้ามาซะแทบจะเป็นคนสุดท้าย ที่ยึดเหนือศรีษะร้อยอยู่บนราวที่ยึดกับเพดานรถไฟอีกที เป็นหูสีแดงทำจากหนังหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่คล้ายๆ กันแข็งแรงดีพอใช้ ที่สำคัญไม่สูงจนเกินไป คนอย่างเราจึงมีโอกาสโชว์จักกะแร้อิอิ หลังจากนึกว่าตัวเองเป็นนางเอกโฆษณาโรลออนอยู่สักพัก ก็มีเสียงพนักงานสาว (ไม่รู้นั่งอยู่ตรงไหน) บอกว่าสถานีต่อไปพระโขนง/ Next Station Prakanong คนก็ทยอยกันขึ้นมาอีก เพิ่งสถานีเดียว คนยังไม่ลง ประตูเปิด-ปิด ก็ไม่เร็วเกินไปนัก ..ในรถมีคนหลายประเภท เด็กชาย-หญิง ผู้ปกครอง, แม่บ้าน, พนักงานบริษัทฯ, ชาวต่างชาติ ฯลฯ สลับกับเสียงโทรศัพท์มือถือดังเป็นระยะ..พูดคุยกันตามอัธยาศัย อ้อ! ที่น่าสังเกตุอีกอย่างไม่มีนายตรวจมาคอยตรวจตั๋วเหมือน กฟท. แหม! อุตส่าห์เตรียมบัตรไว้ให้ตอกแล้ว อิอิ...เหงื่อชุ่มมือเลย..
เมื่อรถแล่นมาถึงสถานีสยาม คนลงเยอะมากโดยเฉพาะเด็กๆ และผู้ปกครอง คงจะมาติวกัน ก็วันนี้วันเสาร์ นี่นา ที่สถานีนี้พนักงานบอกว่าสามารถลงเพื่อต่อไปทางสีลมได้ .สองภาษาเช่นเดิม.. ส่วนเราต้องลงที่สถานีหน้า (ศึกษาจากแผนผังไง) นั่นแน่ที่นั่งว่างแล้วลองสัมผัสดูซิ ลองลงไปนั่ง อืม! แข็งแรงดี และแข็งด้วย แหะแหะ คาดว่าทำจากวัสดุอะไรสักอย่าง เพื่อความคงทนและสะดวกต่อการดูแล น่าจะหุ้มฟองน้ำนิดนึงน่ะ ค่าโดยสารตั้งแพง (แอบบ่นในใจ) ในรถไฟฟ้ามีทีวีด้วยแต่ไม่เปิด เห็นว่าอยู่ในระหว่างการทดสอบ แต่ไม่เป็นไรหรอกหนุ่มตรงข้ามน่าสนใจกว่าเยอะเลย ดูสิเก๊กซะ..
ครั้นถึงสถานีราชเทวี ก็ต้องกระเด้งออกมาจากที่นั่ง ออกจากประตูโดยฉับพลัน ไร้อุปสรรคใดๆ เพราะคนซาแล้วอย่างที่บอกว่าลงไปตั้งแต่สยามฯ กันหมดแล้ว อีกอย่างรถไฟเขาจอดทุกสถานี ไม่ต้องกดกริ่งก่อนลงเหมือนสองแถวด้วย อิอิ ตรงทางออกก็มีเหมือนทางเข้า คือต้องสอดบัตรลงไปก่อน แล้วไม่ต้องรอคืนบัตรเพราะของเราซื้อแบบใช้เที่ยวเดียว ถ้าเราใช้บัตรเดือนหรือบัตรแบบเติมเงินก็จะมีคืน (อันนี้สอบถามจากผู้มีประสบการณ์ช่ำชองกว่าแล้ว) ว่าจะเก็บบัตรไว้เป็นที่ระลึกครั้งหนึ่งในชีวิตสักหน่อย อดเลย..
ป้ายทางออกจะมีตัวเลขและสถานที่กำกับไว้ว่าทางนี้ออกไป จะไปทางไหน ให้เราได้เลือกฝั่งที่จะลงได้ตามสะดวก เราก็เลือกป้ายที่สัมพันธ์กับเป้าหมายและเดินไปทางนั้น ระยะเวลาในการเดินทางครั้งนี้ประมาณ 15 นาที จากอ่อนนุช-ราชเทวี ซึ่งถ้าเทียบกับการใช้รถยนต์แล้ว อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 เท่า ทีเดียว ในที่สุดก็ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ เย้
การเดินทางไม่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก การเปลี่ยนแปลงก็เช่นกันย่อมไม่ใช่ครั้งแรกของชีวิต ความกล้ากับความกลัวแม้จะเขียนคล้ายกัน แต่ทุกครั้ง ถ้าความกล้าชนะ จะมีครั้งที่สองและสามตามมา โดยรางวัลที่ได้รับคือประสบการณ์ใหม่ๆ ในขณะที่ถ้าเราปล่อยให้ความกลัวครอบงำอยู่ จะไม่มีโอกาสสักครั้งที่เราจะได้ใช้คำว่า ครั้งแรก ว่าม่ะ
..
17 กุมภาพันธ์ 2549 10:40 น.
กุ้งหนามแดง
คุณเคยโดนเพื่อนหลอกไหม เธอถามเขาและก่อนที่เขาจะเอื้อนเอ่ยหรือแม้แต่จะคิดยังช้ากว่าคำถามที่สองอยู่นิดนึง
แล้วคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง เธอแย๊ปอีกหนึ่งประโยค ก่อนทิ้งนวมไปดูดน้ำส้มจากแก้วทรงสูง เพราะคอแห้งหรือเหน็ดเหนื่อยจากการชกก็เหลือจะเดา
อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรมาก เธอและเขามักจะมีเรื่องของคนอื่นมาเป็นหัวข้อสนทนาเสมอ บนโต๊ะอาหารนอกบ้านหลังเลิกงานก่อนพาเธอไปส่งบ้านทุกครั้ง และวันนี้ก็เช่นกัน
มันสำคัญขนาดไหนเหรอ ไอ้เรื่องที่คิดว่าหลอกน่ะ เขามองหน้ายิ้มๆ น้ำเสียงอ่อนโยน อืม! เขามีเครานิดๆ เวลานั่งใกล้ๆ อย่างนี้
มันไม่ได้อยู่ที่เรื่องหรอก แต่อยู่ที่ความเป็นเพื่อนมากกว่า น่าจะจริงใจต่อกันและคบกันแบบโปร่งใส จริงหรือเปล่า? เธอพาเขาเข้าไปในกรอบที่เรียกว่าผืนผ้าใบอีกครั้ง และบนเวทีนั่น เขียนไว้ว่าความไว้ใจ
อืม! ลองยกตัวอย่างประกอบนิดสิ น่าน่ะ จะได้ไม่งง ไง เขาเคาะหลอดกับแก้วโค๊ก ซึ่งบัดนี้น้ำแข็งได้ละลายไปบางส่วนแล้ว
คืองี้ อาทิตย์ที่แล้ว แป๋มกับบุ๋มกะเรา นัดกันจะไปจตุจักรไง แล้วสุดท้ายเป็นไง แป๋มบอกยกเลิก อ้างว่าติดธุระ แต่เรามารู้ทีหลังว่าสองสาวนั่นแอบไปกันสองคน โด่! แค่นี้ต้องโกหกกันด้วย ไม่อยากไปกับเราก็บอกตรงๆ ก็ได้
.. (กำลังฟัง บทสรุปของเจ้าหล่อน)
หงุดหงิดน่ะ เข้าใจไหม เธอตอบทั้งสองคำถามและยังรอคำสนับสนุน อ้อ! ไม่ใช่ ความเห็นจากเขาต่างหาก ก่อนจะดูดน้ำส้มเข้าไปอีก เพื่อดับอารมณ์ คราวนี้เล่นเอาเกือบหมดแก้ว..
น้ำจะหมดแก้วแล้วนา สั่งอีกแก้วดีไหม? เธอพยักหน้า
น้ำส้มเหมือนเดิมไหม (นางเอกของผม) เขาถามต่อ
ขอน้ำแข็งเปล่ากับโค๊กอีกขวดแล้วกัน เดี๋ยวสั่งอาหารมารองท้องเนอะ เธอตอบพร้อมถามในคราวเดียว ไวเสียจนแทบไม่ได้กระพริบตาเลย
เขาหันไปสั่งบริกรคนนั้น พร้อมกับขอเมนู มื้อนี้จ่ายแน่นอน เพราะไม่ได้กินสุกี้จำเจ ที่มีให้ลุ้นว่ามื้อนี้ฟรีหรือจ่าย
คุณเปลี่ยนจากน้ำส้มเป็นโค๊ก แค่นั่งโต๊ะนี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ส่วนเพื่อนของคุณขอเปลี่ยนใจไม่ไปกับคุณ เขาก็มีเหตุผลของเขา เหมือนคุณเช่นกัน จริงไหมคุณต้องบอกบริกรเพื่อให้เขาเปลี่ยนเครื่องดื่ม ส่วนแป๋มกับบุ๋มเขาก็บอกคุณแล้วเช่นกัน เขาทำท่าคิด
วันนั้นเราได้ไปช๊อปปิ้งด้วยกัน มันก็ดีไม่ใช่เหรอครับ เขายิ้ม (นี่ยังไม่นับอารมณ์น้อยใจหรือดีใจดีน๊า ที่ต้องเป็นตัวแทนเลยสักนิดเลยน่ะ)
บริกรบางคนอาจไปบ่นกันหลังร้าน เมื่อลูกค้าจู้จี้ แล้วก็จบกัน เราต่างรู้ดี แต่เราไม่เคยโทษตัวเอง เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน เราเรียกมันว่าหน้าที่และชดเชยด้วยคำว่าค่าบริการ เขาสวนหมัดกลับมาบ้าง ขอดูเชิงอีกนิด
จะเป็นอย่างไรน๊อ ถ้าทุกอย่างโปร่งใสไปหมด ลูกค้าคงแน่นร้านเลยน่ะครับ เขาหยอกล้อ ระฆังใกล้หมดเวลาแล้ว
แต่เพื่อนไม่เหมือนบริกรนี่ค่ะ.. หมัดเธอเริ่มตกแล้ว นั่นไง เพื่อนพิเศษกว่านั้น เธอกล่าวต่อ สังเกตเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ในแววตาที่เปลี่ยนไป
นั่นสิครับ ว่าแต่เราจะทานอะไรดีครับ มื้อนี้ นั่นแน่คะแนนเขานำลิ่ว
ยำรวมมิตร ดีไหมค่ะ แล้วทั้งสองก็หัวเราะพร้อมกัน และกวักมือเรียกผมซึ่งเป็นกรรมการ เอ๊ย! บริกรชุดขาว.ที่มาพร้อมกับสมุดจดรายการอาหารที่ดูไปคล้ายๆ กับใบให้คะแนนยังไงก็ไม่รู้..
...
***จบแล้วคร๊าบ***
12 ธันวาคม 2548 17:05 น.
กุ้งหนามแดง
ปราง, บูชิตตายแล้ว พี่น้ำมนต์เพื่อนบ้านรายงานให้ทราบหลังจากฉันก้าวลงจากรถ Taxi และจ่ายสตางค์ให้คนขับ สองมือกำลังถือกระเป๋าเพื่อมาเปิดประตูหน้าบ้าน บ้านพี่น้ำมนต์อยู่ตรงข้ามกับบ้านฉัน ขณะฉันลงจากรถมาเห็นพี่แกกำลังรถน้ำต้นไม้อยู่พอดี ฉันวางกระเป๋าไว้ที่หน้าประตูและสนทนากับแกก่อนเพราะเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดไม่ทราบว่าเขามีเหตุอะไรกันบ้าง ช่วงที่ฉันไม่อยู่ อ้าว! ไหนบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว ฉันถามกลับไป ไม่ตกใจ แต่ใจหายนิดหน่อย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บูชิตทะเลาะกับภรรยา ด้วยเรื่องภายในครอบครัวกลางดึก บ้านเราอยู่ติดกันทำให้ฉันรับรู้ถึงสาเหตุนั้น บูชิตถูกแทงหนึ่งแผลเท่าที่รับรู้มา ญาติๆ เรียกรถพยาบาลมารับตัวไปหลังจากเลือดท่วมร่างและบูชิตหยุดหายใจ ภายหลังเสียงหวอๆ ของรถพยาบาลเงียบลง บูชิตถูกนำเข้าไปรักษาในห้องไอซียู หลังจากปั๊มหัวใจขึ้นมาให้มีชีวิตอีกครั้ง และมีเครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ทราบจากบรรดาญาติที่กลับมาในตอนเช้า บูชิตพ้นขีดอันตรายแล้ว...
ปรางได้ยินว่าเขามีปากเสียงกัน แต่ไม่นึกว่าจะรุนแรงขนาดนี้.. ได้ยินว่าเขาถูกแทง แต่ก็พ้นขีดอันตรายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงตายได้ ฉันถามรายละเอียดพี่น้ำมนต์อีกครั้ง พี่น้ำมนต์เล่าให้ฟังว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บูชิตถูแทง แต่มันเป็นครั้งที่สามแล้ว
โธ่! บูชิต ไม่น่าเลย....ฉันพึมพำ
บูชิตอาการดีขึ้นพูดคุยได้แล้ว แต่เมื่อคืนนี้ เขาแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ยังบอกให้ไอ้จืดไปซื้ออีโนมาขับลมให้ แต่มันยังไม่ทันมา เขาก็จากไปแล้ว ไอ้จืดเป็นเด็กเฝ้าไข้ของเขา..พี่น้ำมนต์เล่าต่อ
หมอตรวจอย่างละเอียดพบว่า เส้นเลือดส่วนสำคัญที่จะไปเลี้ยงหัวใจถูกตัดขาด.....
..
2 ธันวาคม 2548 23:27 น.
กุ้งหนามแดง
พ่อมีเวลาให้เราเสมอ
พร้อมรับฟังทุกเรื่องราว
แก้ไขปัญหาใหญ่-น้อย
โดยไม่คิดมูลค่าเลย....ขอเพียงลูกเอ่ยปาก..
พ่อผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากกว่า
จึงบอกผ่านประสบการณ์เหล่านั้น...เล่าสู่
เพียงหวัง...เรื่องบางอย่างเจ้าจงระวัง
จะได้ไม่พลั้งพลาดเหมือนที่พอเคยเป็น....บทเรียนราคาแพง..
พ่อเก็บความอ่อนแอไว้ภายใน
ยามเมาบางครั้งจะระบายออกมา..
ด้วยคำพูดยาวๆ ให้รับรู้
ซึ่งในเวลาปกติ จะกลบเกลื่อนด้วยความสนุกสนาน...แบกรับ..
พ่อเป็นคนธรรมดา
ในสายตาของผู้อื่น อาจเป็นแค่ชายสูงอายุคนหนึ่ง
ซึ่งอาจไม่ดีพร้อม พอกับการยกย่องให้เป็นคุณพ่อตัวอย่าง
แต่พ่อก็เป็นตัวจริง ในทุกช่วงชีวิตของลูกๆ .....ฝ่าฟัน...
วันพ่อ....แค่วันหนึ่งในสัปดาห์
เศษหนึ่งส่วนสามร้อยหกสิบห้า....ใช่ไหม
น้อยเกินไปหรือเปล่าที่เราจะระลึกถึง....
พ่อ.....
คงไม่สายเกินไป...สำหรับคำว่ารัก..
บางทีความอึดอัด..กับการที่เอ่ยปากกับ..
คนที่ใกล้ชิดที่สุด...ผูกพันมากที่สุด..รวมทั้งรักคุณมากที่สุด..
จะได้ถูกระบายออกด้วย รอยยิ้มและคราบน้ำตา...หนูรักพ่อ...
...