6 กุมภาพันธ์ 2552 19:09 น.
กุหลาบน้ำตา
...แสงระยิบพริบพราย ณ ปลายฟ้า
กระจ่างจ้าเจิดจรัสประภัสสร
เมฆินทร์มองคล้ายนางละคร
ระบำจรร่อนละล่องผ่านผองดาว...
...เคียงชิดเยี่ยงมิตรสนิทนิ่ง
วอนวิงอิงร่างอย่างหนุ่มสาว
ปนแสงแย้งระยับกับเพ็ญพราว
ส่องสกาวราวสีมณีนิล...
...แสงน้อยด้อยกว่ากล้าประชิด
มิเคยเกรงเพ็ญพิศจ้าวฐานถิ่น
ยอมแม้แหลกสลายมลายภินท์
กู้เกียรติกินกลางกาลผ่านเมฆา...
...ล่วงละเมิดเกิดระบอบกรอบกำหนด
กำเนิดพจน์จรดจารผ่านภาษา
เมื่อดวงดาวก้าวล่วงห้วงจันทรา
อ่านอาญาค่าโทษทรชน...
...บัดนี้สืบไปในเบื้องหน้า
ห้ามดาราเปล่งแสงเกินแห่งหน
จงประพฤติตามธรรมเนียมในเขตตน
อย่าล่วงล้นก่นอ้างอย่างจันทรา...
...... สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอ...
๑.ห้ามท้าพระจันทร์เปล่งแสง
๒.ห้ามแสดงความกล้าท้าผู้อื่น
๓.ห้ามเพลิดเพลินเดินป่าท้ากลางคืน
๔.ห้ามข่มขืนฝืนตัวเองให้เกรงกลัว...
6 กุมภาพันธ์ 2552 01:55 น.
กุหลาบน้ำตา
***มั่นคงฤๅชีวิต...
ทุจริตสุจริตคิดแปรผัน
กฎแห่งกรรมค้ำชีพทุกวานวัน
โทษทัณฑ์เยี่ยงทาสอนาถใจ***
***แน่วแน่ฤๅแปรปรับ
ทุกข์โถมโหมทับเกินรับไหว
ไร้แล้วแววสุขสถานใด
ต้องเภทภัยพรากพลัดตามอัตตา***
***คลอนแคลนฤๅแน่นหนัก...
แหล่งหลักหลุดล่องต้องปัญหา
ความรักทรงจำเพียงคำลา
กาลเวลาลดสั้นน่าหวั่นกลัว***
***ล่วงล้ำฤๅยำเกรง...
พ่ายแพ้ตนเองอย่างสุดขั้ว
ปลายทางแห่งหนหม่นหมองมัว
อุปมาดั่งบัวกลั้วโคลนตม***
***บาดหมางฤๅสร่างโศก...
วิปโยคกลียุคทุกข์ทับถม
น้ำตาหลั่งไหลหลากร้าวระทม
คำชมกลับพร่าเป็นด่าทอ***
***โอ้อเนถอนาถ...
วิปลาสประหลาดจิตคิดถอยท้อ
ชีวิตติดหล่มจมซากตอ
แต่...ความหวังทางเดินต่อยังพอมี***