8 ตุลาคม 2551 19:59 น.
กุหลาบน้ำตา
...กาลนั้นกาลนี้กาลไหน
กาลใครกาลมันหรือไรเล่า
ห้วงกาลจึงสงบซบเซา
พลาดเพลาเหงาเงียบเหยียบยาม...
...บางวันบางวิถีบางเวลา
บ้างท้าบ้างประชันบ้างห้าม
ไร้ร่างบางใครมาช่วยปราม
ท่ามทุกข์ท่ามท้อระย่อใจ...
...เสียสูญเสียรักเสียร่าง
เสียอย่างคนหยามยามไร้
สิ้นพูดสูญสภาพสร่างไฟ
โอ้ใจสิ้นสูญอาดูรระอา...
...บางชีพไชโยร้องโห่ลั่น
บางใครนั้นร้องโฮเหมือนคนบ้า
บางชีพชนะโชคชะตา
บ้างไคลคลาปราชัยในตัวตน...
...ยากหลีกยากเลี่ยงยากหลบ
ยังประสบพบพานตั้งหลายหน
ย่างซ้ายย่างขวาสุดจะทน
ย่างบนบางเวลาแสนอาลัย...
9 เมษายน 2551 21:35 น.
กุหลาบน้ำตา
*** ห้วงอารมณ์แห่งข้า ซึ่งเป็นชายหนุ่มอันครองร่างประหนึ่ง
ไร้วิญญาณ บัดนี้ ตกอยู่ ณ ขุมอเวจี สถานใด เถิด...บางใคร
โปรดส่งโสตเสียงให้ข้านี้ซึมซับรับรู้ ซึ่งสถานอันร้าวรานจินต์
สร่างสิ้นซึ่งสาราสัตว์ จัตุบาท ทวิบาท ไร้ซึ่งรอยทางจะย่างเยื้อง
บาทยุรยาตรเดิน โขดเขินศิลาแลงแหล่งบรรพต ดั่งต้องมนตร์
สะกดให้สาปสูญ พนาพฤกษ์โฉดเฉาเปล่าดาย ดั่งอาดูลย์ร่ำไห้
เหี่ยวแห้งแล้งสีสัน สายวารีที่แหล่งธารละหานห้วยก็พลันแห้งเหือด
เดือดดาล ประมาณว่าจะวิเวก เฉกจะเกิดกลีกลบนผืนพิภพ
เถ้าธุลีแหลกเป็นจุณฝุ่นตรลบกลบเวหน พระพายพัดย้อนยัง
เบื้องบนพิกลกาลยิ่งนัก ครั้นหมู่เมฆินทร์ก็คลั่งหนักโน้มน้าว
เข้ากลบบังสุริยะแสง บัดนี้ ข้าไร้แล้วซึ่งเรี่ยวแรงที่จะแข่งขัน
ประชันฉากแห่งวิบากกรรม ช้ำแสนช้ำระกำใจ ไร้แล้วซึ่ง
สุรเสียงจะเคียงปลอบมอบจินต์ สิ้นแล้วซึ่งนัยน์ตาอันหวานซึ้ง
ตรึงตรวนชวนชิดพิศวาส บัดนี้ ครองแต่วิเวกสังวาสว้างเหว่ว้า
อุราราน ประมาณหมายมุ่งเพียงจะภินท์พัง สายชลเนตรหลั่งหลาก
มิรู้หยุด รู้ยั้ง กระทั่งกระทุ้งแทบเป็นโลหิต เรือนร่างอย่างอากัปกิริยา
ดั่งต้องพิษ พร่างพรมทั้งสรรพางค์ร่าง สรรพางค์กาย ทุรนทุราย
ดั่งอัคคีครอบกอปรร่าง สายเนตรเหนื่อยล้า ยากแลทาง
จะย่างจรจรดล เพียงเพื่อจะผ่านพ้นอเวจีอัปปรีย์สถาน
อันทรมานจินต์ นี้แล้วแล..............
1 เมษายน 2551 18:50 น.
กุหลาบน้ำตา
***พิศเดือนดาวร่ายล้อม โลมเดือน ดวงเอย
พิศอย่างเยียบเงียบเยือน หยั่งย้อม
พิศเพียงเพ่งยังเรือน รายร่าง
พิศพ่างโพยมล้อม ล่องเลื้อยลางเลือน***
***หากเดือนบริสุทธิ์ไร้ โรมรัน เรือนเอย
คงไม่เหมือนมองจันทร์ จ่อจ้อง
เพ็ญเพียงพ่างพลางพลัน เพียงภาพ
มิใช่ชนอยากฟ้อง ฟุ่งเฟื่องเรื่องเพ็ญ***
****กลางเพ็ญตัวต่ายแต้ม เตือนตาม ต่ายเอย
ประชิดเชื่องเงางาม งอบง้าง
เปรียบเพ็ญดั่งนงราม รสร่าง นางแฮ
ต่ายดั่งชายเชยอ้าง อุ่นอ้อมอกจันทร์***
***เบื้องบรรพ์เคยกู่ก้อง กลางกาล พิกลเอย
ตัวต่ายตามรบราน เรื่องร้อง
จันทร์ดังปัจจามาร หมางมิตร
ตัวต่ายตามครองคล้อง คู่แค้นเคียงจันทร์***
***แม้นจันทร์ยังต่ายแต้ม ตรองตน ชนเอย
เจ้าย่อมมีแปมปน ป่นร้าย
ยากหลีกล่าจรดล ดวงดั่ง เงาแฮ
จงอยู่อย่างจันทร์คล้าย ต่ายแต้มวงกลาง***
9 มีนาคม 2551 03:29 น.
กุหลาบน้ำตา
เสียงซอซึ้งซาบซ่านสราญรื่น
ตระการตื่นตระหนกจินต์ถวิลหวน
เสียงซอแทรกสอดซับจนจินต์ปรวน
ระริกรวนเร่ร่ายตามสายซอ
เสียงฆ้องครึ้มกระหึ่มครั่งคราหวนไห้
เสียงฆ้องเคลิ้มคราครรไลโอ้ใจหนอ
เสียงฆ้องคลาดคราแคล้วครั้งครวญรอ
เสียงฆ้องคล้ายน้ำตาคลอเมื่อโคลงความ
แว่วเสียงปี่หรี่หลบกระทบแทก
ปี่ระทมรานแหลกกระทั้นท่าม
กลายสังคีตกรีดกดสลดลาม
งดความงามระงับสิ้นทั้งอินทรีย์
เสียงจะเข้เห่ห้อมล้อมเรือนร่าง
ล้อมรอยทางกระทั่งเหงาเปล่าวิถี
ล้อมเรือนรักเร้าลางหว่างราตรี
ล้อมชีวีจนเหว่ว้าอุราวาย
เสียงกลองทัดทัดท่ามเมื่อยามเศร้า
ทัดประวิงทิ้งบรรเทาให้ห่างหาย
ทัดแต่ทุกข์รั้งเหนี่ยวจนเปลี่ยวดาย
ทัดแต่กลุ้มกลุ่มกายมลายลาง
เสียงระนาดบาดบ่งลงสลด
เนื่องกำหนดกำสรดสรวลมิสิ้นสาง
เสียงสังคีตคร่าเสนาะจนเปราะบาง
บางใครบ้างโปรดปลอบมอบรักจริง
11 กุมภาพันธ์ 2551 16:21 น.
กุหลาบน้ำตา
***ราตรีแห่งความเหงา
เย็นยะเยียบเพรียบเพราแสนเปล่าเปลี่ยว
ช่างอ้างว้างเหว่ว้าอยู่ร่างเดียว
ไร้คนปองข้องเกี่ยวให้เสียวกาย***
***พระพายกลายกลับทิศ
รูปร่างทรุดหงุดหงิดกระสับส่าย
ไร้คนเคียงเอียงอิงทั้งหญิงชาย
ราตรีกลายมืดดับระงับจินต์***
***โอ้อาดูลย์สังเวช
รักไร้ซึ่งขอบเขตสูญสิ้น
ช่างหน่ายเหนื่อยเฉื่อยล้าชาชิน
ไหนคำรักอยากยินเพื่อยลความ***
***อรรถรสแห่งเรือนร่าง
จะแตกต่างอย่างไรใคร่จะถาม
จะรู้สึกถ่อยสบถหรืองดงาม
โปรดแจกแจงแห่งความตามวจี***
***ใคร่ขอสัมผัสรัก
ใคร่จะพิศเพ่งพักตร์ประจักษ์ชี้
ใคร่ประโลมเรือนร่างอย่างรตี
ใคร่เอียงโสตฟังวจีพจนา***
***แหงนมองพระจันทร์เสี้ยว
ดาราเกี่ยวเคียงชิดน่าอิจฉา
แม้นหมดรูปซูบซีดเสี้ยวจันทรา
ชายขาดคู่เช่นข้าระอาอาย***
***กลอนสุภาพ***
***ฤากลายจันทร์ท่านแสร้ง ให้ทุกข์เทวษรักแล้ง
ล่มร้างหมางจินต์ องค์เอย
***โคลงสองสุภาพ***