15 มกราคม 2550 15:48 น.
กุมภ์
สุดสายตาเบื้องบนคือแผ่นฟ้า
พสุธาเบื้องล่างธารน้ำใส
ตัวฉันมีกาน้ำเพียงหนึ่งใบ
กับกองฟืนไว้ก่อไฟวางรายเรียง
พำนักอยู่นานทีหลายปีผ่าน
เรื่องเล่าขานวันเก่าไร้สุ้มเสียง
ผ่านวันเก่าเข้าวันใหม่ลำพังเพียง
แม้ไร้เสียงแต่อบอุ่นลมหายใจ
ไม่เคยคิดถึงเรื่องไดไกลสุดฟ้า
เพียงผ่านมาพบกันใต้ฟ้าใส
แสงตะวันรอนรอนอาบพงไพร
ราตรีไดหนอจะได้กล่อมนางนอน
ยามพบกันเราพากันไปตัดไม้
มาก่อไฟต้มน้ำสุมฟืนขอน
พอน้ำเดือดรินแบ่งกันไม่ขาดตอน
พอไม้ขอนฟืนหมดไปหากัน
บางคนว่าตัวฉันเหมือนคนบ้า
บ้างก็ว่าสติไม่เข้าขั้น
เหมือนผิดหวังบางอย่างมาสากรรจ์
เลยโจษจันท์หาว่าบ้าช่างน่าอาย
บางเรื่องราวบาดร้าวจำเก็บไว้
บอกไม่ได้ดูคล้ายจะหล่นหาย
เป็นความหลังของชีวิตลูกผู้ชาย
ค้นความหมายคำคม" คนเก็บฟืน"
14 มกราคม 2550 13:29 น.
กุมภ์
จิตเป็นนายกายเป็นบ่าวโบราณว่า
ภาพตรงหน้าแค่สายตาไปสอดเห็น
แค่รู้เท่าทันสายตาไม่ยากเย็น
อาจลำเค็ญเพราะปรุงแต่งแย่งกันดู
หูมีสองคอยหาเหตุมาให้คิด
เหตุเพียงนิดกลายเป็นใหญ่ร้ายจริงหู
ยิ่งหูคบหากับตายุ่งน่าดู
อยู่เป็นคู่ตากับหูไม่สู้ดี
เรื่องหอมเหม็นจมูกเป็นผู้แยกแยะ
ถูกปรุงแปะว่าให้หอมดั่งย้องสี
ถึงคราวเหม็นหนีหน้าเร้นในทันที
จมูกนี้คือฆานะสัมผัสกาย
ยามลิ้มรสอาหารหรูว่าถูกลิ้น
ปรุงแต่งสิ้นสาดชูรสได้ดั่งหมาย
หวานมันเปรี้ยวเคี้ยวเข็ดฟันกันลืมตาย
แค่ความหมายให้ถูกลิ้นคิดกันดู
พอตาหูจมูกลิ้นเข้าปรุงแต่ง
ยากจะแบ่งความถูกผิดน่าอดสู
กายเป็นบ่าวสัมผัสสี่นี้ตัวกู
กว่าจะรู้ย่อมเดือดร้อนหม่นหมองตัว
เพียงสัมผัสอย่างหยาบหยาบประสาโลก
หากเกลียดโกรธพึงระวังจะเจ็บหัว
สื่อสัมผัสพึงระมัดระวังตัว
ทั้งดีชั่วหัวใจเราดั่งเจ้าเรือน
กำหนดจิตเปลี่ยนความคิดสักนิดหน่อย
รู้วางปล่อยเรื่องดีร้ายแค่คล้ายเหมือน
รู้เท่าทันมายาหยาบภาพบิดเบือน
อย่าแชเชือนต้องคอยเตือนเรื่องความคิด
เปลี่ยนความคิดจากด้านลบเป็นด้านบวก
คบเป็นพวกเอาด้านบวกไม่มีผิด
ทำง่ายง่ายแต่ค่าหมายยิ่งชีวิต
สุจริตตามความคิดที่ตรึกตรอง
คิดด้านบวกก็แค่รับตามสภาพ
แล้วรับทราบความเป็นจริงแม้หม่นหมอง
หมั่นฝึกฝนทันจริตตามครรลอง
ให้ถือครองจิตเป็นนายไม่ขายกิน
อักษรสรรจำนรรมาใช่สั่งสอน
คนเดือดร้อนเพราะตาหูจมูกลิ้น
เตือนกายไว้ใจคือนายเป็นอาจิณ
ระวังสิ้นลิ้นหูตาอย่าละเลย
12 มกราคม 2550 00:17 น.
กุมภ์
เสาร์สิบสามมกราปีหมูบ้า
ภาวนาอย่าเกิดเหตุสยองขวัญ
เหมือนอย่างคืนสามสิบเอ็ดที่รู้กัน
ตูมสนั่นเสียงระเบิดเกิดจากใคร??
นายกบอกเหตุเกิดจากอำนาจเก่า
ก่อการเขลาเป็นภัยร้ายรูปแบบใหม่
คนวางบอมเป็นพม่าใช่คนไทย
นำบอมใส่ไว้ในถังเทศบาล
มีเงินโอนกว่าพันล้านผ่านเครือข่าย
บ่อนทำลายหมายก่อกวนไม่สงสาร
วันสิ้นปีทุกท้องที่สุขสำราญ
กลับทำการก่อการร้ายทำลายคน
เงินก่อการหกร้อยล้านหว่านมาให้
น่าเจ็บใจเป็นคนไทยที่ฉ้อฉน
เป็นเงินเถื่อนนอกระบบไร้ตัวตน
ยากสืบค้นให้รู้แจ้งแหล่งที่มา
เงินก้อนนี้ทำลายล้างชาติ,ชีวิต
วิปริตผิดอาเพศเป็นบาปหนา
เห็นแก่ตัวไม่กลัวกรรมไม่นำพา
ช่างชั่วช้าเกินวาจามาประนาม
คลื่นใต้น้ำคลื่นบนน้ำทั้งเครือข่าย
คนล้มตายเพราะเหตุไดขอไต่ถาม
เพียงพวกคุณเสียประโยชน์ช่างต่ำทราม
ทำการหยามก่อนพ่อหลวงประทานพร
ช่างสิ้นคิดทำสิ่งผิดอัปยศ
เกมส์คนคดทรยศคำพ่อสอน
ช่างกล้าทำเรื่องระยำหวังสั่นคลอน
ขอวิงวอนเห็นแก่ชาติบ้านเมืองเรา
ตัวหัวหน้าเหมือนคนบ้าเที่ยวร่อนเร่
ทำเป็นเท่เปเศษเงินให้คนเขลา
ประกาศก้องจะก่อการไม่มีเบา
เป็นร้อยเท่ากว่าครั้งก่อนตอนสิ้นปี
ทำใบปลิวขู่อาฆาตช่างใจร้าย
หมายทำลายงานวันเด็กให้ป่นปี้
เด็กได้เล่นเพียงหนึ่งวันในรอบปี
คุณไม่มีลูกหลานกันหรืออย่างไร!!!
เหตุผู้ใหญ่ขัดแย้งกันพลันเกิดเรื่อง
ความขุ่นเคืองเรื่องของเด็กเสียที่ไหน
ผู้ปกครองพ่อแม่เด็กเขาห่วงใย
หวั่นเกิดภัยกับลูกหลานต้องตามดู
เสาร์สิบสามมกราปีห้าศูนย์
สุดอาดูรสงสารเด็กอยากเล่นอยู่
เหตูการณ์นี้ต้องจดจำไว้เป็นครู
พวกหนูหนูจงจำไว้เป็นบทเรียน
11 มกราคม 2550 14:02 น.
กุมภ์
วานเพื่อนพ้องช่วยเฉลยเคยบ้างไหม
ปลดปล่อยใจให้เลื่อนไหลตามวิถี
ไร้พันธะสิ่งเกะกะประดามี
สำนึกดีเพียงแค่นี้ที่ติดตัว
เหมือนสายลมที่พรมพรายทั้งไกลใกล้
รู้สึกได้ไร้จุดหมายกระจายทั่ว
คือไออุ่นในลมหนาวผ่าวระรัว
ไม่รู้ตัวรำเพยไปไร้ทิศทาง
เป็นอารมณ์ที่สั่งสมตามความคิด
ไร้ถูกผิดยามพินิจไม่หม่นหมาง
อิสระดั่งดอกไม้ริมข้างทาง
ไร้กระถางแต่เบิกบานในใจตน
ดอกไม้เถื่อนดูกลาดเกลื่อนริมทางเท้า
ทุกค่ำเช้าเย้าลมแดดละอองฝน
อวดดอกสวยระรวยกลิ่นยามหยุดยล
เพียงสักคนจะมีไหมใคร่เด็ดดอม
แต่ดอกไม้ริมทางเท้าดูด้อยค่า
เหมือนดอกหญ้าคุณค่าน้อยด้อยความหอม
คงมีเพียงหมู่ภุมรินทร์ที่บินตอม
ขอยินยอมเป็นดอกไม้ริมทางเดิน
เป็นดอกไม้ริมทางเท้าคนก้าวพ้น
ทั้งลำต้นและดอกใบไม่ขัดเขิน
ยังเย้าลมพรมแสงแดดแสนเพลิดเพลิน
ใช่ส่วนเกินอยากชวนเชิญลองเด็ดไป
ดอกไม้ป่าอีกดอกหญ้าบานสพรั่ง
ดูคล้ายดั่งสีภู่กันสบัดใส่
ไร้ระเบียบและกฎเกณฑ์ตามแต่ใจ
ใต้ฟ้าใสแต่งแต้มไปในสายลม................
8 มกราคม 2550 01:27 น.
กุมภ์
ในลมหนาวฟ้าสกาวดาวระยิบ
เสียงกระซิบในสายลมพรมห่มขวัญ
เป็นความเงียบเปรียบประหนึ่งของกำนัล
รำเพยฝัน..รำพันหวน..นวลคำนึง........
เป็นความห่างเป็นความต่างที่สัมผัส
ดูแจ่มชัดในสายลมที่พรมถึง
มองไม่เห็นฟังไม่ออกแต่ตราตรึง
นวลคำนึงยังไม่ครึ่งของความเงียบ
ความเป็นไปของคนไกลดูเฉยนิ่ง
แต่ทุกสิ่งดำเนินอยู่อย่างราบเรียบ
เสียงระรัวของหัวใจยากจะเปรียบ
เศษส่วนเงียบกับทำนองของหัวใจ
นวลคำนึงถึงภูไพรไกลสุดฟ้า
สุดสายตามิอาจพบจบตรงไหน
เป็นรอยต่อความรู้สึกว่าห่วงใย
อย่าหลงไปเที่ยวสืบค้นอาจหลงทาง
ปล่อยสายลมห่มความเงียบดั่งเก่าก่อน
อย่าเร่งร้อนทอดถอนใจจนหม่นหมาง
ในความเงียบมีเสียงลมพรมบอกทาง
รำเพยบางคล้ายอ้างว้างเพียงลำพัง
ความคิดถึงห้วงคะนึงนั้นไร้เสียง
อาจเหลือเพียงเสียงสะท้อนแต่หนหลัง
ภาพคนไกลดูลางเลือนไม่จีรัง
กลับฝากฝังรอยอาธรอยู่ภายใน
ฟังลมกล่อมละมุนอ่อนตอนแดดสาย
อบอุ่นคล้ายอาบหัวใจให้สดใส
ภาษาลมห่มความเงียบมาปลอบใจ
สำเนียงไดไม่สำคัญสักสำเนียง
เพียงความเงียบเปรียบประหนึ่งครึ่งโลกร้าง
อาจอ้างว้างจนเคว้งคว้างเพราะหลงเสียง
ระวังตัวและหัวใจเสียงแค่เพียง
สรรพสำเนียงเพียงปรุงแต่งภาพมายา
ภาษาใจไร้สำเนียงภาษาสื่อ
หากยึดถือคงได้เพียงเสียงภาษา
ความใสซื่อสื่อถึงใจไร้มายา
เพียงหลับตาแม้เงียบกว่า...ทว่า...เข้าใจ........