23 มกราคม 2554 20:49 น.
กิ่งโศก
แม่นางอ้อยวิลาวัลย์เทพอัปสรเอ่ยกับพี่นางตนเอง พลางหันไปสบตากับชายหนุ่มซึ่งอมยิ้ม
พี่ว่าให้พี่เขาทำงานในหน้าที่เสร็จเรียบร้อยดีกว่าแล้วจะให้เขานำทางไปท่องเที่ยวยัง
ดินแดนนรกภูมิสักครั้งหนึ่งนะ ด้วยตอนนี้เราทั้งสองก็สามารถที่จะลงไปได้ด้วยไม่ต้อง
คำนึงถึงกาลเวลาดังน้องชบา ซึ่งยังคงร่างของสาวผกาอยู่นะน้อง อีกอย่างหนึ่งพี่โชติ
ยังอาศัยร่างของมนุษย์อยู่คงจะไม่สามารถพาไปได้ครบหรอกจ้า นอกจากเป็นบางครั้ง
บางคราวเท่านั้น
จริงจ้าพี่นาง แม่นางชบาหรือก็สภาพเหมือนกับน้องนี่แหละแต่เพียงอาศัยร่างของ
สาวผกาอยู่ แม้จะได้ฌานสมาบัติขั้นสูงก็ตามแต่ก็ยังต้องถูกพลังงานดึงดูดไว้กับร่าง
นี้ ด้วยวิชาอาคมตลอดจนฌานสมาธิของพี่โชติกำกับไว้จึงต้องรอไปจนกว่าจะครบอายุ
หรืออีกนัยหนึ่ง????.........แล้วนางก็หัวร่อให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนตามเขาปราถนานะจ๊ะพี่
ใช่แล้วล่ะน้อง ไว้ให้เราทั้งสี่พร้อมๆกันเมื่อไหร่นั่นแหละถึงจะได้ไปในสิ่งที่พวกเรา
ปรารถนาได้จ้า หรือว่าไงพี่โชติ
ชายหนุ่มได้รับฟังก็ยิ้มๆ แล้วพลันเอ่ยแก่แม่นางเทพอัปสรทั้งสองว่า
เรื่องนี้เราต้องช่วยกันทำให้สาวชบาได้บรรลุแห่งกาลเวลาให้มากๆเสียก่อนนะอันดินแดน
นี้มันมีอายุกาลมากๆเสียด้วยซิ ไว้หากเรื่องทางด้านนี้เรียบร้อยครบถ้วนสมบูรณ์ตามลิขิต
ของฟ้าดินซึ่งกำหนดวางไว้แล้วนั่นแหละ พวกเราทั้งหมดก็อาศัยฌานนี้ผ่านไปอย่างอิสระเสรี
สมความประสงค์นั่นแหละที่จะไปท่องเที่ยวที่ใดๆในสามภพนี้ได้ตามใจเราปรารถนาจ้า
ถ้าอย่างนั้นพวกน้องๆจะไม่ทำให้พี่เสียเวลางานของพี่แล้วจ๊ะ ให้พี่ดำเนินงานส่วนเรื่อง
สาวชบานั้น ท่านพี่วางใจได้น้องทั้งสองจะคอยกำกับให้นางรู้ถึงกาลเวลาให้หมด แม้ว่า
พลังงานแห่งจิตนึกสิ่งใดร่างก็ไปได้ตามปราถนาก็จริงอยู่แต่หากไม่ยึดติดหลงใหลในสิ่งนั้น
ก็ไม่เป็นปัญหา อุปมาดั่งจิตมนุษย์หากตัวอยู่ที่นี้แต่เคยไปพบสิ่งใดมาเพียงแค่นึกก็จิตไปถึง
แล้วใช่ไหมจ๊ะพี่
ที่น้องกล่าวมานี้ถูกต้องแล้วล่ะจ๊ะ จิตคนเราล้วนประกอบด้วยพลังงานที่มากด้วยฤทธานุภาพ
ยิ่งนัก หากจิตเราพรักพร้อมสมัครสมานกันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุใดๆก็สามารถบังคับได้
จ้า ด้วยเหตุที่จิตเรานั้นไม่คงที่มักจะกระสับกระส่ายไปๆมาๆตลอดเวลา แต่หากเราสามารถบังคับ
จิตนั้นให้อยู่นิ่งได้ก็จะเกิดพลานุภาพมากมายมหาศาลจะใช้ทำสิ่งใดๆก็ได้จ้าน้องพี่
ยังเหลือเวลาที่แสงสีสินชัยเพิ่มและเริ่มจะต้องทำงานอีก สองหรือสามวันนะ น้องเองก็อยากจะ
รู้เรื่องเกี่ยวกับนรกภูมิ พี่ช่วยเล่าให้ฟังเพียงคร่าวๆก่อนได้ไหมจ๊ะพี่????....
แม่นางทั้งสองเอ่ยแก่ชายหนุ่ม ซึ่งหล่อนทราบว่าชายหนุ่มนี้ได้เคยไปยังดินแดนนี้มาแล้วด้วย
ไปพบท่านท้าวพระยายมราชจ้าวแห่งดินแดนนี้มา คงจะทราบเรื่องราวได้ดี ด้วยความอยากรู้ว่าอัน
ดินแดนแห่งนี้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยตนเองก็ยังไม่ทราบเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนเพียงแค่รู้เท่านั้น
ส่วนเจ้าแสงสี สินชัย พ่วง และเริ่ม ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากใดๆนั้น ก็ขะยั้นขยออีกทางหนึ่งด้วย
จริงซินาย พวกเราก็อยากจะรู้ในดินแดนนี้จะมีความสุขหรือทุกข์อย่างไรบ้างเพราะพวกเรา
ต่างก็เป็นวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่และถูกบังคับให้ทำงานในสิ่งไม่ดีงามมามากมายนัก ดีที่ได้มาอยู่
กับนายที่เพียบร้อมด้วยคุณธรรมจึงเปลี่ยนนิสัยจิตใจพวกข้าเสียหมด ได้รู้จักผลดีผลชั่วไว้
จึงได้เกิดความกลัวเหลือเกินที่หากต้องเข้าไปสู่ยังดินแดนนี้บ้างเหมือนกันครับนาย
ชายหนุ่มก็หันไปมองหน้าพลางหัวร่อเบาๆ ที่เห็นนัยน์ตาทั้งสี่สับสนไปๆมาๆอยู่อดเวทนา
เสียไม่ได้และ เมื่อได้ยินทั้งแม่นางทั้งสองและลูกน้องตนเองเอ่ยเช่นนี้
พลันชายหนุ่มก็หลับตาลงชั่วอึดใจเดียวเขาก็พลันเอ่ยขึ้นว่า
ใช่แล้วพวกมันกำลังคิดวางแผนการจะขนย้ายของเพื่อจัดส่งไปยังกรุงเทพฯ
ในเวลาอีกสองหรือสามวันนี้ยังมีเวลาเหลือเฟือนัก เอาล่ะแม่นางและพวกเจ้าทั้งหลาย
ตอนนี้เอาแค่รู้แค่เพียงคร่าวๆก่อนก็แล้วกันนะหากพวกเจ้าสามารถฝึกสมาธิ
ได้สำเร็จแล้ว งานทุกอย่างลงตัวกันแล้วก็จะนำพวกเราไปยังดินแดนนี้อีกเพื่อชมดินแดนนี้
อันดินแดนนรกภูมินี้หาได้มีความสุขใดๆทั้งสิ้นอย่างที่เจ้าทั้งสี่คิดก็หาไม่
ล้วนแต่ทุกขเวทนา ยกเว้นก็เพียงแต่ท่านท้าวพระยายมราชและพวกอินทกะ
ซึ่งเป็นบุตรจำนวนหนึ่งพันของท่านท้าวพระยายมราชตลอดจนผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ
ผลกรรมดีและชั่วเท่านั้น
ที่มีวิมานส่วนตัวอยู่ของตนเองพร้อมบริวารหญิงชายซึ่งเป็นเทวดาซึ่งอยู่แต่ในวิมานเท่านั้น
แต่พวกอินทกะนั้นต่างก็มีดินแดนที่ต้องรับภาระปกครองควบคุมดูแลและก็มีบริเวรเช่นเดียวกัน
การปกครองนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นดินแดนต่างๆไปของแต่ละขุมใหญ่ทั้งสี่ด้านทั้งสิ้น
ซึ่งขุมนรกที่ใหญ่ๆนั้นมีทั้งหมดแปดขุมใหญ่แต่ละขุมนั้นโทษหนักเบาไม่เหมือนกัน
ยังแยกออกเป็นอีกหลายๆดินแดนกัน เหล่าพวกอินทกะก็ต่างมีนายนิรบาลที่ทำหน้าที่
คอยชำระลงโทษควบคุมเหล่าสัตว์นรกทั้งสิ้นตามแต่ผลแห่งกรรมนั้นๆเป็นบริวารของตน
อันการเป็นมนุษย์ภูมินี้ก็ยังมีนรกอยู่เหมือนกัน ดังองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา
ได้ทรงตรัสให้แก่บรรดาภิกขุทั้งหลายฟังไว้ด้วยล่ะแม่น้องนางและเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า
ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้
เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือบุคคลที่มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
และเป็นมิจฉาทิฎฐิ ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก
ธรรมดาของชีวิตมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ชีวิตหลังความตายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจ ไม่ได้สั่งสมบุญไว้
แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีบุญ ที่ได้สั่งสมไว้อย่างดีแล้ว
เพราะการตายเป็นเพียงการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิใหม่เท่านั้นเอง
ผู้เป็นบัณฑิตเห็นว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คนส่วนใหญ่มักจะทุกข์อกทุกข์ใจ
เมื่อมีญาติอันเป็นที่รักจากไป การปฎิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายใน เป็นการเพิ่มเติมความมั่นใจในการเดินทางไปสู่สัมปรายภพ
เพราะพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันอบอุ่นและปลอดภัยที่จะนำไปสู่สุคติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทิฎฐิสูตร ว่า
" จตูหิ ภิกฺขเว ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต
เอวํ นิรเย กตเมหิ จตูหิ กายทุจฺจริเตน วจีทุจฺจริเตน
มโนทุจฺจริเตน มิจฺฉาทิฎฐิยา อิเมหิ โข ภิกฺขเว จตูหิ
ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเย
ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ประการนี้
เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือ บุคคลผู้มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
และเป็นมิจฉาทิฎฐิ ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก
นรกเป็นอบายภูมิที่รองรับผู้มีบาป ในตัวมาก เป็นดินแดนสำหรับคนบาป
เมื่อละโลกไปแล้วจะต้องไปทนทุกข์ทรมานเสวยวิบากกรรมที่ตัวเองทำไว้
นรกที่อยู่ลึกที่สุด คือ อเวจีมหานรก ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ มหาตาปนรก ตาปนนรก
มหาโรรุวนรก โรรุวนรก สังฆาฎนรก กาฬสุตตนรก สัญชีวนรก แต่ละขุมนี่ใหญ่มาก
เป็นภพๆ หนึ่งที่กักขังสัตว์นรกไว้เหมือนเป็นเมืองนรก แต่เขาเรียกว่า ขุมนรก
แล้วยังมีนรกขุมย่อยๆ อีกมากมาย ขุมเล็กเรียกว่า อุสสทนรก จะอยู่ล้อมรอบขุมใหญ่ๆ
ทั้ง ๘ ล้อมรอบขุมละ ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมแล้วก็เป็น ๑๒๘ ขุม
ขุมเล็กเป็นบริวารของขุมใหญ่ เหมือนดาวล้อมเดือน จะมีดาวดวงเล็กๆ
เป็นบริวารของดาวดวงใหญ่อย่างนั้นแหละ
นรก ขุมย่อยๆ ที่เรียกว่ายมโลกนั้น เป็นที่รองรับผู้ทำบาปในระดับบาปไม่มากพอ
ที่จะไปตกในอุสสทนรกหรือมหานรกทั้ง ๘ ขุม ยมโลกนรกนี้จะล้อมรอบมหานรกทั้ง ๘
เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง อยู่ห่างออกไปทั้ง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ทิศละ ๑๐ ขุม รวมแล้ว
เป็น ๓๒๐ ขุม เมื่อรวมมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม และยมโลกนรก
อีก ๓๒๐ ขุม ก็เป็น ๔๕๖ ขุม
นรก ๔๕๖ ขุมนี้ เรียกว่า นิรยภูมิ เป็นหนึ่งในอบายภูมิ ทั้ง ๔ เป็นกามภพชั้นต่ำ
คือภูมิที่ปราศจากความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีแต่ไฟลุกท่วมตัว การตกไปในอบายภูมิ
จึงเป็นดินแดนที่หาความเจริญไม่ได้ ถ้าหากเราประมาทพลาดพลั้ง
แล้วพลัดไปเกิดในนิรยภูมิ ก็ต้องรับกรรมและทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานาน
ตามแต่กรรมที่ทำเอาไว้ ท่านถึงกล่าวว่า อปาเยสฺ หิ กมฺมเมว ปมาณํ อกุศลกรรมที่ทำเอาไว้
เป็นเครื่องวัดอายุของสัตว์ในอบายภูมิ
ลักษณะการถูกทรมานของนรกแต่ละขุม ก็มีลักษณะแตกต่างกันไป
ตามแต่กรรมชั่วที่เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์
ซึ่งนายนิรบาลเหล่านี้ก็มีกรรมเหมือนกันแต่ด้วยการสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว
นั้นแทบจะเสมอภาคกัน แต่ก่อนดับจิตนั้นคิดถึงกลัวแต่พวกยมฑูตนั่นเอง จิตจึงน้อมนำไปสู่
ดินแดนแต่ละแห่งไม่เหมือนกันแล้วแต่ผลของกรรมเป็นตัวชี้เหตุในการที่จะนำไปสู่ภูมินั้นๆ
จึงได้มาผุดในดินแดนต่างๆนี้บังเกิดเป็นนายนิรบาลไปทำความดีลบล้างชั่วคละเคล้ากันไป
จึงไม่มีเวลาพักผ่อนต้องทำงานตลอดเวลาเป็นการชดใช้หนี้กรรมชั่วของตนเอง
อีกทางหนึ่งด้วย แต่อาศัยอำนาจของผลบุญนี้เองที่ไม่ต้องถูกลงโทษ
แต่ก็เหมือนถูกลงโทษเยี่ยงสัตว์นรกทั่วๆไป เป็นบริวารของพวกอินทกะ
บุตรของท่านท้าวพระยายมราช
จนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมหมดถึงจะได้ไปบังเกิดใหม่อีกในดินแดนมนุษย์ภูมิ
เพื่อสร้างกรรมดีด้วยอุปนิสัยที่ผ่านเรื่องนี้ทำให้จิตใจอันแข็งกร้าวอ่อนไหวลง
พวกนี้จึงไม่เกิดการสร้างกรรมชั่วอีกต่อไป หากทางสร้างผลบุญกุศล
เพื่อหวังในแนวทางสุขคติภพต่อไป
ส่วนพวกยมฑูตนั้นต่างกับพวกนายนิรบาล เพราะเป็นคนของท่านท้าวพระยายมราชที่
ปกครองดินแดนนรกภูมินี้ มีหน้าที่คอยไปนำดวงวิญญาณทั้งหลายมาสู่ยังสถานที่นี้ หาก
วิญญาณใดที่ประกอบด้วยผลบุญกุศลมากๆก็จะมีเสลี่ยงคอยมารับนั่งเสลี่ยงไปโดยพวก
ยมฑูตจะอัญเชิญให้นั่งเสลี่ยงแบกไปยังสถานที่ท้องพระโรงอันกว้างใหญ่จึงเป็นที่สังเกตุ
ของบรรดาสัตว์นรกทั้งปวง ด้วยรับบัญชามาจากท่านท้าวพระยายมราชด้วยกุศลกรรมนั้น
จึงได้รับการปรนนิบัติเป็นอย่างดี บนเสลี่ยงก็ประกอบดั่งปุยนุ่นอ่อนนุ่มพลิ้วไหวสม่ำเสมอ
ส่วนพวกที่สร้างกรรมหนักบ้างน้อยบ้างแต่น้อยกว่ากรรมดีนั้นก็จะถูกมัดพันธนาการ
ด้วยเชือกลากจูงมาเข้าสู่นรกภูมิ อันเป็นดินแดนที่มืดสลัว มีหมอกควันพิษกระจายไปทั่ว
ไม่มีกลางวันและกลางคืนอากาศเหม็นอับทึบ เมื่อมาถึงทางเข้าดินแดนแห่งนี้ต้อง
เข้าสู่ประตูเหล็กกว้างยาวใหญ่ พวกนี้จะถูกลากอย่างไม่ปราณีปราศัย
ขัดขืนก็จะถูกทุบตีด้วยกระบองเหล็กอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส ถูกกระชากลากไป
เชือกที่มัดมือหรือก็จะรัดข้อมือยิ่งดิ้นมากเชือกก็จะรัดมากจนเลือดไหลซึมไปทั่ว
เป็นที่ทรมานก่อนจะมาถูกพิจารณาโทษของตนเองตามผลกรรมของตนที่ได้สร้างไว้
อันเป็นมีผู้ตรวจสอบบัญชีทั้งสองของท่านท้าวพระยมราชนั้นชื่อสุวรรณและสุวาน
ในการทำหน้าที่เปิดบัญชีชำระโทษนั้นๆของแต่ละดวงวิญญาณนั้น
พวกยมฑูตนั้นเป็นบริวารของผู้ตรวจสอบบัญชีอีกทีหนึ่งที่คอยรับบัญชา
มีหน้าที่คอยไปรับดวงวิญญาณที่ถึงกาลแห่งเวลาอายุขัยที่ถูกกำหนดจากเบื้องบนมา
ผู้ตรวจสอบบัญชีกำกับดูแลผลกรรมของมวลมนุษย์โลกไว้ฝ่ายกรรมดีก็จะจารึกในแผ่น
ทองคำ ส่วนผู้ประกอบกรรมชั่วก็จะจารึกไว้ในแผ่นหนังสุนักข์ กรรมดีและกรรมชั่วนั้นก็
จะผุดขึ้นมาโดยอาศัยจิตส่งผลให้เจตสิก และใจก็รายงานให้สัญญาไว้ เมื่อถึงสัญญาแล้ว
ผลแห่งการกระทบที่ถูกสังขารปรุงแต่งแล้วนอกจากจะส่งให้แก่วิญญาณแล้วยังส่งผลไป
ยังบัญชีในที่นี้อีกชั้นหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้จะผุดขึ้นเองตามแต่ผลกรรมนั้นๆ
ครั้นผู้ตรวจสอบบัญชีที่สัญญาส่งให้สังขารแล้วมาผุดขึ้น เมื่อวิญญาณนั้นถูกนำมายัง
สถานที่นี้ บัญชีก็จะเปิดขึ้นเองตามรูปนามนั้นๆแต่ละบุคคลที่หมดอายุขัย ถ้าหากวิญญาณ
ใดยังไม่ถึงอายุขัย บัญชีนั้นก็จะไม่เปิดให้พิจารณาโทษแก่ดวงวิญญาณนั้นๆ
ครั้นผู้ตรวจสอบพบถึงการกระทำความดีหรือชั่วต่างๆนั้นต่างก็จึงค่อยรายงานให้
ท่านท้าวพระยายมราชพิจารณาโทษเหล่าที่จะมารับผลกรรมนั้นๆต่อไป
แล้วชายหนุ่มก็หยุดเล่า พลางหันไปถามเจ้าแสงสีสินชัยพ่วงและเริ่มว่า
ก็ด้วยเหตุดังนี้จึงสามารถรู้ถึงการกระทำไม่คนตั้งเป็นหลายๆล้านคนทั้งโลกนี้
สามารถทราบได้จากการผุดขึ้นของกรรมดีกรรมชั่วโดยแยกแต่ละบัญชีไปทั้งหมดนี้
ล้วนแล้วจะถูกบันทึกไว้ในบัญชี่เล่มเล็กนี้ได้หมดสิ้นไม่ขาดตกบกพร่อง
ในกรรมของแต่ละดวงวิญญาณ ไม่ว่าผู้นั้นจะนับถือ ศาสนาใดๆก็ตาม
ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดทั้งสิ้น ไม่แยกชั้นวรรณะใดๆ ยากดีมีจนสูงต่ำก็มีผลกรรมเหมือนกัน
เขาจะถือผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วเป็นที่ตั้งในการพิจารณาโทษวิญญาณเหล่านั้น
แล้วหันไปหัวร่อกับแม่นางทั้งสองว่า น้องหญิงพอจะทราบไหมว่าเป็นเพราะเหตุใดหรือ???...
นั่นซิพี่ น้องเองไม่ทราบว่าอันจำนวนคนมากมายในโลกนี้ การสร้างกรรมดี หรือกรรมชั่ว
นั้นทางนรกภูมิจะทราบได้อย่างใดกันเล่า จะผิดพลาดได้หรืออย่างใดกัน เคยได้ยินได้ฟังมาว่า
บางครั้งมีการนำตัวผิดไปก็มีด้วยสาเหตุใดหรือพี่ช่วยอธิบายให้น้องฟังหน่อยซิ
เรื่องการนำตัวผิดไปสืบเนื่องจากนามธรรมที่กำหนดไว้แล้วยังมีอุปนิสัยคล้ายๆกันตลอด
จนผลบุญกรรมที่ท่านยมฑูต นำมาผิดตัวนั้นเป็นปัจจัยเหตุจ๊ะ แต่มีก็เป็นส่วนน้อยแต่ก็ได้กลับ
คืนมาทุกๆครั้งๆไป สืบเนื่องจากสร้างกรรมคล้ายๆคลึงกันบันทึกไว้จึงคล้ายๆกันมากแต่วัน
เวลาอายุขัยนั้นต่างกัน ด้วยกาลเวลาแห่งนรกภูมิกับมนุษย์ภูมินั้นห่างกันแต่ถูกบันทึกไว้ในนรกภูมิ
ใกล้เคียงกันจ้า จึงเป็นเหตุเกิดขึ้นดังนี้ แต่ท่านสุวรรณสุวานท่านก็ทราบว่าดวงวิญญาณนั้นยังไม่
ถึงวาระอายุขัยก็ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้ว คือบัญชีกรรมดีและกรรมชั่วจะไม่เปิดออกมาเอง ย่อม
หมายถึงว่าดวงวิญญาณนั้นยังไม่ถึงวาระแห่งอายุขัยนั่นเอง จึงต้องรีบให้นำดวงวิญญาณคืนกลับ
ไปยังร่างหากทันยมฑูตก็มีความผิดน้อย หากร่างนั้นถูกทำลายไปแล้วยมฑูตก็ต้องรับกรรมหนัก
ท่านยมฑูตที่นำมาผิดก็ต้องถูกลงโทษตามกฏแห่งนรกภูมิด้วย
ขณะที่ชายหนุ่มจะเล่าเหตุการณ์ต่อนั้น ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวชบาถือแก้วใส่น้ำเย็นมาส่ง
มอบให้แก่ชายหนุ่ม ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ส่งยิ้มให้แล้วก็รับมาดื่มกินทันที พลางเอ่ยว่า
น้องชบาคงจะได้ยินสิ่งต่างๆที่พี่เล่าให้แก่พี่นางของเธอและพวกพี่ทั้งหลายแล้วซินะ???...
จ๊ะพี่ ไม่ใช่แต่น้องซึ่งฟังอยู่หน้าห้องคนเดียวเท่านั้น พ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัยก็นั่งฟังอยู่
ด้วยล่ะจ๊ะ
หญิงสาวเอ่ยให้ชายหนุ่มฟังทันที
ถ้าเป็นอย่างนั้น น้องช่วยไปเชิญพ่อแม่และเจ้าชัยให้เข้ามาฟังไม่ต้องแอบฟังก็ได้นะ
ชายหนุ่มยังกล่าวต่อไม่จบ ร่างพ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัยก็เดินเข้ามาในห้องทันที
ครั้นร่างพ่อเชียรแม่เข็มเข้ามาแล้ว แม่นางอัปสรทั้งสองพร้อมด้วยเจ้าแสงสีสินชัยพ่วงและเริ่ม
ต่างกระพากันยกมือขึ้นไหว้ประมุขแห่งบ้านนี้ทันที ทำเอาพ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัย
ถึงกับตลึงไปในความสวยสดงดงามของแม่นางอัปสรทั้งสองที่มีรัศมีแพรวพราวส่องไสว
ออกมาจากเรือนร่าง นางอัปสรทั้งสอง
ภายในห้องก็ล้วนแล้วแต่กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วด้วยดอกไม้ที่พ่อเชียร
และแม่เข็มเจ้าชัยไม่ได้เคยดมดอมมาก่อนเลยในชีวิต
ถึงกับตัวสั่นรีบก้มลงกราบแม่นางทั้งสองทันที ด้วยทั้งสามรู้แล้วว่า
นี่คือเทพอัปสรหาใช่เป็นมนุษย์เยี่ยงพวกตนไม่ ยากนักที่จะได้แลเห็นนอกจากที่นี้เท่านั้น
แม่นางอัปสรทั้งสองก็พลันกล่าวว่า
พ่อเชียรแม่เข็มเจ้าชัยไม่ต้องทำเช่นนี้อีก จะเป็นบาปกรรมแก่ข้าทั้งสองเสียเปล่าๆ เชิญนั่ง
ตามสบายเลย นี่พี่โชติกำลังเล่าสาเหตุของนรกภูมิอยู่ด้วยได้เล่าถึงสรวงสวรรค์ที่พวกข้าอยู่
แล้วจ้า
เสียงอันเย็นหวานช่างชื่นฉ่ำไพเราะเสนาะโสตถ์ยิ่งนัก พ่อเชียรแม่เข็มต่างนึกในใจว่า
นับว่าเป็นบุญตาบุญใจนักที่ได้แลเป็นแม่เทพอัปสรสวรรค์เช่นนี้ ส่วนเจ้าชัยถึงกับปากอ้า
ตาค้างไปเลยเมื่อเห็นสรีระร่างของแม่นางอัปสรทั้งสองทั้งงดงามสวยยิ่งกว่าหญิงใดๆเลย
ในถิ่นที่เขาอาศัย เทียบกันแทบไม่ได้เลย ก็พลันนึกถึงพี่ชายว่าช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก...........
* กิ่งโศก * ผู้นำมาลงจ้า
21 มกราคม 2554 20:34 น.
กิ่งโศก
ชายหนุ่มหัวร่อ หันไปพบว่าบัดนี้ คนที่เขาใช้ไปทำงานได้กลับ
มาแล้ว ในห้องจึงมีร่างทั้งสี่เพิ่มขึ้นอีก แต่เขาไม่ได้กล่าวอันใด
ด้วยกำลังเล่าเหตุการณ์ต่างๆอยู่ ซึ่งร่างของเจ้าแสงสีและสินชัย
เจ้าพ่วง เจ้าเริ่ม ซึ่งปรากฏร่างมาเพื่อจะได้รายงานให้ชายหนุ่มทราบ
ครั้นเห็นนายกำลังคุยอยู่และเรื่องราวน่าสนใจยิ่งด้วยพวกมันไม่
เคยได้รับรู้จึงนั่งลงฟังที่นายมันเล่าเรื่องสวรรค์ให้ฟัง
เพียงคอยจังหวะเวลาที่ชายหนุ่มกำลังเล่าเหตุการณ์
ต่างๆให้แก่แม่นางอัปสรทั้งสองฟังให้จบเสียก่อน อีกประการหนึ่ง
พวกมันก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมด้วย หลังจากนั้นมันก็จะเล่า
ถึงเหตุการณ์ที่ได้ใช้ไปปฏิบัติงานของเขา ให้นายของพวกมันฟัง
แล้วพลางร่างทั้งสี่ก็หันไปไหว้แม่นางอัปสรทั้งสองซึ่งหันหน้ามายิ้มให้
แล้วหันมาทางนายมันเพื่อรับฟังนายมันเล่าเรื่องสวรรค์ให้แม่นางฟัง
จนเมื่อชายหนุ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์จบ แต่แม่นางทั้งสองยังสงสัย
อยู่ก็หยุด พลางนึกขึ้นได้จึงหันมาทางคนทั้งสี่ แล้วชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
เป็นอย่างไรบ้างล่ะ???.....เจ้าแสงสี เจ้าสินชัย เจ้าพ่วงเจ้าเริ่ม
ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับนาย เพียงแต่คอยเวลาที่นายจะสั่งเท่านั้น
ว่าจะให้ตั้งเวลาระเบิดเมื่อไหร่???.... เจ้าแสงสีกล่าวตอบ
ถ้าอย่างนั้นคอยเวลาให้พวกมันเข้ามาเพื่อจะขนของก่อนก็แล้วกันนะ
แต่ต้องทำก่อนที่มันจะได้เข้าไปเอาของ ครั้นเมื่อเกิดระเบิดหลังจากนั้น
พวกมันทั้งหมดก็ต้องตกใจ และรีบเข้าไปดูว่าถูกทำลายหมดหรือไม่
อีกอย่างหนึ่ง ให้ไปแจ้งแก่สารวัตรชัชวาลย์ด้วยว่า
ให้เพียงรอคอยฟังคำสั่งจากข้าก่อน และให้จัดหุ่นคอยเฝ้าดูแลไว้ด้วย
ตลอดจนให้พวกผีป่าทั้งหลายคอยหลอกหลอนพวกเฝ้าของไว้
ให้พวกมันตื่นตระหนกตกใจไม่เป็นอันทำงาน เพื่อที่คนของเราจะได้เข้า
ไปตั้งเวลาระเบิดได้สะดวกขึ้น นี่ข้ากำลังอธิบายเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์
ให้แม่นางทั้งสองฟังอยู่ พวกเจ้าคงจะได้ทราบสิ่งต่างๆบนสรวงสวรรค์
จะได้เกิดความมานะพยายามฝึกฝนสมาธิให้มากเพื่อ ต่อไปจะได้ไปสู่
ยังดินแดนนั้นตามวิสัยแห่งสมาธิของเจ้านะ???......
ครับนาย ดีเหมือนกันผมจะได้รับความรู้ไว้บ้าง ฟังแล้วก็ให้บังเกิดปิติ
จะได้มุ่งมั่นต่อการสร้างกุศลผลบุญและฝึกสมาธิให้สำเร็จครับนาย พร้อมทั้ง
จะกลับไปเล่าเรื่องที่นายบอกนี้เกี่ยวกับหมั่นฝึกสมาธิเพื่อสู่สรวงสวรรค์
ให้แก่พวกมันไว้ด้วย เพื่อที่จะทำให้มันเปิดความปิติยินดีถึงการทำสมาธิ
เมื่อทั้งสี่ตอบชายหนุ่มแล้วแบ่งแยกกันไปนั่งคอยฟังชายหนุ่มครั้นทราบ
ก็เกิดความปิติยินดีที่ได้รับรู้เหตุการณ์ในอนาคตทั้งหลายไว้
พวกมันคิดว่ามาคราวนี้โชคดีที่เข้ามาได้จังหวะดียิ่งนักจึงได้รับฟังเรื่องราว
ต่างๆที่พวกมันไม่เคยรู้เคยรับฟังจากที่ใดมาก่อนเลย มาได้นายมันนี่แหละถึงรู้
ก็มองเห็นชายหนุ่มหันไปทางแม่นางอัปสรทั้งสองพร้อมกล่าวในสิ่งที่
แม่นางทั้งสองสงสัยให้ได้ทราบ เห็นนายมันหัวร่อเบาๆ แล้วเอ่ยกล่าว
ให้แม่นางทั้งสองฟังขึ้นว่า
อันวิญญาณทั้งหลายที่จะรำลึกนึกเหตุการณ์ย้อนหลังได้นั้นก็สืบเนื่องมาจาก
สังขารที่จะต้องแนบสนิทมากับวิญญาณอันประกอบด้วย จิต เจตสิก และใจ
สัญญาที่จำได้หมายรู้ยามเมื่อส่งมายังสังขารเพื่อปรุงแต่งแล้วยังไม่เรียบร้อยก็จะ
ติดค้างสัญญาไว้
ดังนั้นสัญญาก่อนจะดับจึงเข้าแนบผสมกับสังขารตามมาด้วยกัน จึงเป็นเหตุให้
วิญญาณนั้นๆเมื่อรูปนามดับไปก็จะบังเกิดใหม่ขึ้นทันทีแล้วก็ดับๆเกิดๆจนถึงภพภูมิ
ที่กรรมปรุงแต่งขึ้นพร้อมมีสัญญาตามมาด้วย
แต่การสืบต่อเนื่องนั้นจะเกิดได้แค่ไม่นานเท่าใดนัก ครั้นปรุงแต่งแล้วสัญญาก็จะหาย
ไปไม่เกิดการจำได้หมายรู้อะไรอีกต่อไป การนี้ใช้ระยะเวลาอันสั้นๆ แต่หากบังเกิดแล้ว
ก็ต้องแล้วแต่สัญญาจะมากน้อยเท่าใดที่สังขารรับติดพันกันมา
สังขารนั้นก็จะรีบปรุงแต่งแล้วสัญญาก็จะหายไป
คงเหลือไว้กับสังขารกับวิญญาณเท่านั้นที่จะดำรงในสภาพภพภูมินั้นๆ
เหตุที่ทำไมสังขารถึงจะแนบติดไปกับวิญญาณก็ด้วยกรรมดีกรรมชั่วคอยให้สังขาร
ได้ปรุงแต่งไปตามสภาวะจิตของกรรมทั้งหลายนั่นเอง
การเกิดขึ้นนี้จะมีต่อเนื่องได้ก็เฉพาะสวรรค์ภูมิทุกๆชั้นเท่านั้นที่จะรำลึกนึกถึงอดีต
ผ่านมาได้ แต่ก็เป็นแค่ชั้นอทิสมานกายที่ยังจำได้แม่นยำ ด้วยเพราะอยู่ติดกับมนุษย์ภูมิ
บางครั้งต้องมาอาศัยในมนุษย์ภูมิอยู่ เช่น รุกขเทวา รุกขเทวี ตามศาลต่างๆเป็นต้น
และถ้าหากยิ่งขึ้นสูงๆไปสัญญานั้นก็ค่อยๆจะลบเลือนไป
นอกจากพวกที่ได้ฌานสมาบัติเท่านั้นที่ยามต้องการก็ต้องถึง ซึ่งฌานสมาบัติก่อน
ถึงจะล่วงรู้ได้ ยกเว้นแต่ชนชั้นผู้ปกครองดินแดนแห่งสรวงสวรรค์หรือชั้นพรหม
แต่ล่ะชั้นที่ดำรงไว้ตลอดเวลาเพียงแค่นึกเท่านั้นอดีตก็จะพลันบังเกิดขึ้นให้เห็นเอง
ด้วยอำนาจแห่งผลบุญบารมีแห่งกุศลกรรมที่สร้างไว้มากจึงมีนัยน์ตาทิพย์ขึ้นเอง
ยิ่งในชั้นดาวดึงส์นั้นยิ่งยากใหญ่เพราะเป็นชั้นแห่งโลกียะกามารมณ์ทั้งปวง
การเสพสุขกามารมณ์ดินแดนนี้แค่เพียงต้องตาต้องใจกันแค่สบตากันก็บรรลุแล้วเอง
ซึ่งผิดกับมนุษย์ภูมิในการจะเสพย์สังวาสกัน ตลอดจนพวกสัตว์นรกร่วมชั้นและจำพวก
อทิศมานกายเบื้องต้นที่อยู่ใกล้ดินแดนมนุษย์ภูมิ ยิ่งใกล้เท่าใดยิ่งคล้ายมนุษย์ภูมิมาก
บรมสุขกว่าสวรรค์ทุกๆชั้น ไม่มีกลางวันและกลางคืนสนุกสนานรื่นเริงจนลืมอดีตไป
นอกนั้นจะสำเริงสำราญจนลืมอดีตชาติไปหมด ด้วยโลกียะเข้าครอบงำไว้สิ้นแล้ว
ซึ่งทวยเทพอัปสรเหล่านั้นจะหลงในกลิ่นหอมจากบุปผานาๆพันธุ์
เย้ายวนยั่วเสน่หาทั้งหลายจะจะสำเริงสำราญกันในหมู่วิมานนั้นๆ หาได้ก้าว
ข้ามแดนแห่งวิมานนั้น หากมีก็จะถูกลงโทษให้ลงมาชดใช้เวรในดินแดนมนุษย์
หรือสัตว์ต่อไปตามผลแห่งกรรมอีกทอดหนึ่ง และบรรดาแห่งความสนุกสนานไป
อันเป็นบ่อเกิดแห่งความหลงใหลจนไม่ได้คิดจะนึกถึงอดีตชาติเก่าๆของตนเอง
สวรรค์ทุกๆชั้นจะมีก็แค่ชั้นดุสิตาอีกชั้นหนึ่งที่สามารถจะรำลึกได้ในเหตุการณ์ต่างๆ
แต่ด้วยความเบื่อหน่ายเข้ามามาก ซึ่งจะมองเห็นมนุษย์ภูมิ หรือ นรกภูมิดังพวกอาจม
ที่เหม็นคละคลุ้งไปทั่ว จึงไม่สนใจมากนักเสวยสุข ในดินแดนร่มรื่นเยือกเย็นสงบเท่านั้น
หาได้พึงปรารถนาใดๆไม่ในการรำลึกชาติในอดีตเก่าๆต่อไป เพียงแค่หวังในพุทธภูมิเท่านั้น
อันที่จริงทุกๆภพภูมินั้นจะรำลึกอดีตเก่าๆได้มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ ตัวสัญญาที่ยังต่อเนื่อง
มิได้ถูกปรุงแต่งขึ้น มนุษย์ภูมินั้นก็เป็นบางคนเท่านั้นที่สัญญายังบังเกิดเมื่อถูกสังขาร
มาปรุงแต่งแล้วสัญญาก็จะเลือนหายไป เมื่อสัญญาเลือนหายไปก็จะรำลึกอดีตเก่าๆอีก
ไม่ได้ จะมีก็แต่บางจำพวกเท่านั้นซึ่งมีน้อยมากเรียกว่าแทบจะหาไม่ได้เลยที่จะรำลึกอดีตเก่าๆ
ส่วนนรกภูมิก็ประดุจเดียวกับมนุษย์ภูมิแต่ดินแดนนี้ยากนักจะเกิด ด้วยสัญญาให้สังขาร
ปรุงแต่งได้นั้น ต้องอาศัยแห่งกรรมที่ปรุงแต่งมากกว่าด้วยเต็มไปด้วยกรรมชั่วนั้น
จะปิดบังกั้นทางขวางไว้จะถูกปรุงแต่งจากสังขารด้วยเวลาอันรวดเร็วนัก
หรือจะเกิดได้อีกก็ตอนได้รับส่วนผลบุญที่ญาติอุทิศส่งไปให้เท่านั้น
เมื่อได้รับก็นึกคิดได้ชั่วแวบเดียวก็หายไปยามที่ได้รับการเสวยผลแห่งบุญที่เขาอุทิศไป
ดังนั้นการจะรำลึกอดีตเก่าๆก็ด้วยสัญญาที่ตกค้างยังไม่ได้รับการปรุงแต่งจากสังขาร
ไปอยู่ในสังขารแนบติดไปกับวิญญาณทั้งหลายยามดับสิ้นไป มักจะเกิดกับวิญญาณที่
ยังไม่ครบอายุขัยและมาตายด้วยเหตุฉับพลันนั่นแหละจ้าน้องรักทั้งสอง
แม่นางรัตนาวดีเทพอัปสรก็พลันเอ่ยว่า
ทำไมน้องถึงย้อนอดีตเก่าๆได้อย่างต่อเนื่องด้วยเหตุใดเล่าพี่ท่าน????....
เหตุที่น้องสามารถรำลึกนึกถึงอดีตที่ผ่านล่วงมามากได้นั้นก็สืบเนื่องมาจากการสร้าง
ผลบุญอันยิ่งใหญ่ไว้แล้วจะอธิษฐานจิตด้วยใจแน่วแน่มั่นคงไว้นั่นแหละเป็นสาเหตุหนึ่ง
อีกสาเหตุหนึ่งคือน้องยังอยู่ในชั้นจาตุมอันเป็นชั้นที่ติดต่อใกล้เคียงมนุษย์ภูมิมากที่สุดเป็น
เหตุและปัจจัย ที่สำคัญ คือน้องมีแรงอธิษฐานอันแรงกล้าและยังไม่ได้ประสบผลอันที่
น้องพึงปรารถนาในคำอธิษฐานนั้นๆเองแหละน้อง หากน้องจะถามแม่นางอ้อยวิลาวัลย์
ซิว่าสามารถรำลึกย้อนอดีตเก่าๆได้ดั่งน้องได้หรือไม่ หากจะจำก็เพียงแค่อดีตชาติเดียว
เท่านั้นเอง แต่ถ้าหากต้องการมากจะรู้ต้องร่ำเรียนฌานสมาบัติกสิณให้ครบถ้วนก่อน
แล้วลงมายังอุปาจารสมาธิอธิษฐานในสมาธินี้ก็จะเกิดพลังงานสร้างภาพย้อนหลังได้จ้า
แต่ต้องเป็นพลังงานจิตที่แรงกล้ามากมายนักถึงจะเกิดภาพแท้จริง มิฉะนั้นจะล้วนแล้ว
แต่ภาพแห่งมายาภาพทั้งสิ้นต้องมาคอยกำจัดภาพที่หลอกหลอนต่างๆไปให้หมดสิ้น
จริงจ๊ะพี่นาง อ้อยเองนั้นรำลึกชาติย้อนได้ชาติเดียวแต่ก็ไม่แจ่มชัดแค่เพียงเลือนลาง
แล้วก็วูบๆวาบๆหายไปจ๊ะ จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ผิดกับพี่โชติที่ยังติดตาติดใจทำให้ไม่
ลืมเลือนจางไปจ๊ะพี่นาง
คราวนี้แม่นางรัตนาวดีพลันหัวร่อคิกๆๆๆ แล้วเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า
ก็ด้วยเหตุที่น้องเราตอนเป็นดวงวิญญาณในวัดและได้รับการอบรมจากหลวงพ่อทอง
ไว้ในสิ่งที่ดีๆ ครั้นพบกับพี่โชติด้วยเคยร่วมทำบุญกันมาในอดีตชาตินั่นเองจึงผูกพันเป็น
พิเศษจ้าน้องหญิง
นั่นซินะพี่หญิง ครั้งแรกที่พบพี่เขาก็ให้รู้สึกว่าเหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อนจ้า เกิด
ความรักใคร่ขึ้นอย่างฝังใจ ก็คงจะเป็นด้วยเหตุที่พี่นางกล่าวแน่นอนจ้าพี่นาง
เธอก็เหมือนๆพี่นั่นแหละด้วยก่อนนั้นปักใจแก่เขาถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรกันแต่ความผูก
พันห่วงใย จึงทำให้ตรอมตรมใจจนถึงแก่ความตายแต่พี่ก่อนนั้นได้มุมานะสร้างแต่ผลบุญ
กุศลมากมายทุกๆครั้งก็อธิษฐานจิตไว้จะขอพบเขาและได้กินอยู่กับเขาครั้งหนึ่งจ้า
แม่นางรัตนาวดีเทพอัปสร ครั้นกล่าวแล้วก็ให้บังเกิดความเอียงอาย
ตามวิสัยอิสตรีทั้งหลาย จนไม่สามารถจะสบตากับชายหนุ่มได้อีก
เพียงหันไปหยิกน้องอ้อยวิลาวัลย์เล่นแก้เขิดเขินเท่านั้น จนแม่นางอ้อยถึงกับสะดุ้งร้อยอุ๊ยๆ
ออกมา ทำให้ทั้งสามต่างก็หัวร่อต่อกระซิกกันและกัน ส่วนเจ้าแสงสีสินชัยพวงและเริ่มนั้น
ได้แต่นั่งตาปริบๆไม่กล้าที่จะส่งเสียงหัวร่อออกมาได้ เพียงแค่ยิ้มมองหน้ากันไปๆมาๆเท่านั้น
นั่นซินะพี่และน้องเองก็ยังไม่เคยล่วงเข้าสู่นรกภูมิได้ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะลำบากยากเข็ญ
อย่างไรบ้าง จะถามพี่โชติเองหรือ ซึ่งเคยลงไปมาแล้วก็ให้เกรงใจเขาจ๊ะ
อีกอย่างหนึ่งก็ไม่อยากจะทราบด้วยสงสารพวกในนั้นจ้าพี่
* กิ่งโศก *
19 มกราคม 2554 10:32 น.
กิ่งโศก
แล้วชายหนุ่มก็หันไปถามนางอัปสรทั้งสองว่า
น้องพี่ทั้งสองรู้ไหมว่า ดินแดนทั้งสามภพภูมินี้ การได้มากำเนิดนั้น
ดินแดนใดที่ง่ายที่สุดและยากที่สุด?????...
แม่นางอัปสรทั้งสอง พลันหันมามองหน้ากันไปๆมาๆ ด้วยเมื่อพบคำถาม
ของชายหนุ่มเช่นนั้น ต่างครุ่นคิดแต่หาข้อสรุปใดๆไม่ได้เลย หากนับอายุ
ของกาลเวลาแห่งมิตินั้น ตามที่ชายหนุ่มกล่าวไว้เช่นนี้ สวรรค์แม้จะมีอายุยืน
ยาวนานก็ไม่เท่าชั้นพระพรหมนั้นจัดได้ว่าเป็นดินแดนที่มี
อายุยาวนานมากที่สุด รองอายุยืนนานมากที่สุดคือ นรกภูมิ อายุสั้นที่สุดคือ
มนุษย์ภูมิ ยิ่งคิดไปยิ่งสับสนเกิดขึ้นภายในใจจึงหาข้อสรุปไม่ได้
สุขสบายที่สุดก็ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะดินแดนแห่งดาวดึงส์
ลำบากที่สุดก็ดินแดน นรกภูมิ รองลงมาก็มนุษย์ภูมิ รองความสุขสบายก็ชั้นจาตุม
ส่วนชั้นดุสิตหรือแม้จะสุขสบายด้วยบังเกิดตามใจนึกก็ตามแต่ไม่มีสิ่งสนุกสนาน
พรหมหรือก็มีแต่ความชิงดีชิงเด่นกันและกัน ต้องการสิ่งใดก็ต้องอำนาจแห่งฌาน
สมาบัติเนรมิตขึ้นมาเอง
ยิ่งคิดไปก็ยิ่งสับสนต่างไม่รู้จะตัดสินใจตอบชายหนุ่มอย่างไรดี
แม่นางอ้อยวิลาวัลย์อัปสร จึงเอ่ยถามชายหนุ่มทันทีว่า
อันชั้นพรหมหรือก็อายุยืนนานที่สุด การใช้สอยก็ล้วนแล้วแต่เนรมิตทั้งสิ้น
ชั้นสรวงสวรรค์นับว่าสบายที่สุดอายุหรือก็นานรองลงมาได้แก่ชั้นจาตุรมหาราช
มนุษย์ภูมิหรือก็มีแต่ความลำบากสบายปะปนกันอายุหรือก็สั้นที่สุด
นรกภูมิหรือก็ลำบากแสนสาหัสอายุหรือก็ยืนยาวเกือบจะเท่าชั้นพรหม
เหตุดังนี้ทำให้น้องและพี่นางคิดไม่ออกจริงๆจ้า เห็นทีต้องอาศัยพี่ซึ่งผ่าน
เข้าออกมาทุกๆชั้นแล้ว ช่วยอรรถาธิบายให้ด้วย เพื่อจะได้ประดับความรู้ไว้จ้า
ส่วนกาลเวลาบนสรวงสวรรค์น้องและพี่เขาก็พอจะล่วงรู้ได้ คิดไม่ออกจึงไม่
สามารถตอบคำถามพี่ได้จ้า
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า
ตามที่ได้ไปสนทนาธรรมกับพรหมเทพมาถึงได้รู้เหตุดังกล่าวจ้า
แม่น้องนางทั้งสอง การเกิดง่ายที่สุดก็คือ นรกภูมิจ้า ด้วยต้องไปใช้หนี้เวรกรรม
ที่ตนเองก่อไว้จะมากหรือน้อยด้วยกรรมเป็นผู้ปรุงแต่งทั้งสิ้น อันชั้นสรวงสวรรค์
นั้นก็เกิดง่าย เพียงก่อนจะสิ้นลมหายใยมีจิตใจที่แน่วแน่นึกถึงแต่ความดีที่สร้างไว้
ไม่สร้างเวรกรรมชั่วให้มากกว่ากรรมดี กรรมชั่วก็จะไม่บังเกิดในนิมิตก่อนตายลง
อาศัยบุญแห่งทานที่กระทำไว้เท่านั้นก็ได้ไปเกิดในชั้นสรวงสวรรค์แล้ว
ตั้งแต่ชั้นอทิสมานกายไปจนถึงชั้นสูงต่างๆ ด้วยในขณะที่ตายตามอายุขัยนั้น
จะเป็นในรูปร่างของ โอปาติกกะซึ่งมีรูปร่างสวยงาม โปร่งใส
มีเครื่องทิพย์เกิดขึ้นเองรองรับ จะมากน้อยก็ล้วนแล้วแต่ผลแห่งกรรมนั้นๆ
แล้วค่อยเกิดดับๆๆ ไปจนสิ้นสุดแห่งกรรมดีที่สร้างไว้
หากไม่ถึงวาระอายุขัยก็จะอยู่ในสภาพของสัมภเวสีที่มีรูปร่างปกติคล้ายๆมนุษย์แต่
กรรมจะปรุงแต่งให้บังเกิด บ้างรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บางก็สวย บ้างก็ขี้เหร่ตาม
สภาพของการปรุงแต่งแห่งกรรมที่สร้างไว้ หากครบอายุขัยจะเกิดดับเกิดเป็น โอปาติกกะ
อีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งหมดต้องไปรับการพิจารณาโทษ
จากท่านพระยายมราชก่อนไม่ว่ามนุษย์ทุกรูปนามที่ทิ้งร่างขันธ์ห้าไปแล้ว
ครั้นเสวยกรรมดีถึงจะมาเป็นโอปาติกกะได้ ส่วนที่ได้สร้างกรรมชั่วก็จะดับ
จากร่างโอปาติกกะ แล้วค่อยไปเสวยผลแห่งกรรมนั้นๆ นี่พี่กล่าวเริ่มต้นของ
การจะไปสู่ภพภูมิต่างไว้ เผื่อน้องจะสงสัยจ้า
เมื่อผลแห่งกรรมทั้งหลายที่กระทำหากกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วก็จะต้องไปเสวยผลแห่ง
กรรมนั้นตามแต่ผลแห่งกรรม ที่ว่านรกภูมิมีอายุยืนยาวมากรองจากชั้นสรวงสวรรค์ที่มีอายุ
ยืนยาวมากกว่าเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุแห่งกรรมชั่วเองเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้น
ส่วนชั้นสรวงสวรรค์นั้นเกิดง่ายด้วยผลบุญแห่งกรรมดีที่สร้างไว้มากน้อยก็เรียงกันไปตาม
ผลแห่งการปรุงแต่ง ตั้งแต่อทิสมานกายไปจนถึงชั้นยามาในชั้นสรวงสวรรค์ทั้งห้าชั้นนี้
ก็แตกต่างกันด้วย คือพวกมีวิมานเป็นของตัวเองที่ล่องลอยไปในอากาศ
เรียกว่าพวกอากาสานัญจตนะหรือพี่อาจจะเรียกไม่ถูกก็ได้แต่ทว่ามีวิมานล่องลอยไปในอากาศ
แห่งชั้นสรวงสวรรค์ มีบริวารเป็นของเทพยดาเทพอัปสรนั้นๆ
เช่นน้องพี่นั่นแหละ คืออีกจำพวกหนึ่งไปผุดขึ้นในที่ต่างๆกันไม่เหมือนกันตามแต่กรรมดีที่ทำไว้
บ้างก็ผุดที่ตักของเทพอันเป็นเจ้าปกครองสรวงสวรรค์แห่งวิมานนั้นๆ ก็จะเป็นบุตรีบุตรชาย
หากไปผุดที่แท่นบรรทมก็จะข้าบาทบริจา คอยสนองรับใช้ในด้านกามารมณ์มากบ้าง
น้อยบ้างแล้วแต่ผลแห่งการสร้างไว้หรืออธิษฐานจิตเอาไว้
หากไปผุดในบริเวณวิมานก็จะเป็นพวกรับใช้ของเทพยาดาฤทธิ์เดชต่างๆกันไป
หากไปผุดในระหว่างกลางของดินแดนวิมานใดวิมานหนึ่งนั้นเขาจะถือเอารูปร่างลักษณะ
ใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญ คือผุดแล้วหันหน้าไปทางวิมานใดก็ตกเป็นบริวารของวิมานนั้นๆ
หากไม่หันหน้าไปทางวิมานใดก้มหน้าอยู่ก็ต้องตกเป็นบริวารของมหาราชที่ปกครอง
ชั้นต่างๆไป นี่คือข้อแตกต่างการการผุดในดินแดนสวรรค์
การบังเกิดในสรวงสวรรค์นั้นไม่ยากเพียงรักษาศีลห้าไว้ให้ได้ ด้วยต้องมีสัจจะวาจาและ
จากการอธิษฐานในทานที่กระทำนั้นๆเท่านั้นด้วย ผลแห่งการอธิษฐาน หรือการถือศีลนั้น
ไม่ต้องมีมรรคผลแต่อย่างใดหรือเพียงแค่สร้างกรรมดีคือการให้ทาน สร้างวิหาร โบสถ์หรือ
สิ่งต่างๆในที่สาธารณะให้เป็นที่พักอาศัยเช่นศาลาให้คนพักผ่อนอาศัยหลบร้อน หรือสระ บ่อ
น้ำให้เป็นที่กินใช้ก็เป็นเหตุนั้น ผลก็จะได้ไปบังเกิดในสรวงสวรรค์ตามชั้นต่างๆ
แต่เมื่อหมดผลบุญที่สร้างไว้ จะไปบังเกิดได้สองสถานคือ มนุษย์ภูมิกับสวรรค์ภูมิ
ส่วนชั้นพรหมนั้นต้องเป็นผู้ทีมีฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานไปเรื่อยๆแต่ต้องตายในขณะ
ที่กำลังเจริญสมาธิเท่านั้นถึงจะไปสู่ชั้นพรหมได้ หรือจะมาอยู่ชั้นต่ำกว่าก็ได้ด้วยแรงแห่งการ
อธิษฐานในขณะจะไปบังเกิดหรือดับจิตมนุษย์
จึงถือว่ายากพอสมควร อันชั้นพรหมนี้เมื่อหมดผลการเสวยบุญแล้ว
มีทางเดียวที่จะไปบังเกิดได้คือ มนุษย์ภูมิ จึงถือว่าไม่ยากมากนัก
ส่วนชั้นที่ยากที่สุดคือ มนุษย์ภูมิ ซึ่งเป็นดินแดนที่อายุน้อยที่สุดล้วนแล้วแต่ปะปนทั้ง
ผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว เป็นที่สร้างแห่งผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว แล้วเป็นมิติที่เชื่อม
ต่อระหว่างนรกภูมิกับสวรรค์ภูมิไว้ มีมิติรอยต่อที่น้อยนิด บุคคลใดเมื่อหมดผลกรรมดีหรือ
หมดผลกรรมชั่วแล้วย่อมจะต้องมาบังเกิดในดินแดนแห่งนี้คือ
มนุษย์ภูมิทั้งสิ้นไม่มีข้อยกเว้นใดๆ จึงเปรียบเสมือนเป็นดั่งทางสามแพ่ง คือ
นรกภูมิ มนุษย์ภูมิ และสวรรค์ภูมิอันนี้รวมถึงพรหมโลกด้วย ทั้งหมดนี้อยู่ที่การปรุงแต่ง
ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ดินแดนแห่งนี้กำหนดใช้เป็นดินแดนแห่งการสร้างผลบุญกรรม
ดีทั้งหลาย เพื่อจะได้จุติแล้วไปบังเกิดในภูมิทั้งสาม หากกรรมดีและกรรมชั่วเสมอกันก็
กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อเริ่มต้นสร้างใหม่ผลแห่งกรรมต่อไป
หากทำดีมากกว่ากรรมชั่วก็ไปเสวยบนดินแดนแห่งความสุข คือดินแดนสวรรค์จนถึง
ชั้นพรหม แต่การสร้างกรรมนั้นใช่ว่าจะได้มาบังเกิดในมนุษย์เพื่อสืบสานต่อก็ไม่ได้ต้อง
ไปเสวยกรรมหนักอีกด้วย แต่หากกรรมนั้นเบาบางก็จะได้บังเกิดในมนุษย์แต่ต้องอยู่ที่ว่า
ในดินแดนสรวงสวรรค์นั้นจะหมกหมุ่นในกามารมณ์มากน้อยเท่าใด จึงได้มาเกิดในดิน
แดนแห่งนี้ ยกเว้นผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ถึงเวลาจะได้ตรัสรู้
ธรรมอันวิเศษสั่งสอนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ก่อกรรมทำชั่วไว้
หากกรรมนั้นหนักเมื่อเสวยบุญที่มีมากกว่าหมดแล้ว
อาศัยกรรมนั้นปรุงแต่งก็จะเลยมนุษย์โลก อันเป็นรอยต่อมิติตรงกลางอันน้อยนิดนี้
ลงไปยังดินแดนนรกภูมิชดใช้กรรมก่อน ถึงจะมาเกิดในมนุษย์ภูมิได้ ด้วยเหตุที่อาณาเขต
มนุษย์ภูมินั้นมีน้อยมากอยู่กึ่งกลางภพทั้งสองจึงต้องเลยลงไปตามผลแห่งกรรมนั่นเอง
ฉนั้นดินแดนแห่งมนุษย์ภูมิจึงเป็นดินแดนที่ยากที่สุดในการมาบังเกิด มักจะเป็นทาง
ซึ่งผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ชั้นสวรรค์จุติแล้วผลกรรมชั่วมากก็จะเลยไปเสีย ส่วนนรกภูมิ
เมื่อสร้างกรรมดีไว้รองจากกรรมชั่วก็ต้องไปเสวยกรรมดีก็จะเลยไปอีกเช่นเดียวกัน
คนที่จะมาเกิดในดินแดนนี้ต้องพอดิบพอดีเท่านั้นจ๊ะ แม่น้องนางทั้งสอง
ชายหนุ่มสาธายายให้แม่นางอัปสรฟัง
อ้อๆๆอย่างนี้นี่เองเสด็จพ่อถึงมักจะกล่าวให้ฟังเสมอๆว่า จงพยายามสร้างกรรมดีไว้
ให้มากๆอย่าไปหลงใหลในสิ่งอันเป็นมายาทั้งสิ้น คงจะด้วยเหตุนี้นี่เองแหละ
แม่นางรัตนาวดีอัปสรเอ่ยขึ้น
พระองค์ท่านตรัสไว้ไม่ผิดหรอกแม่น้องหญิง เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็คิดใคร่จะเอ่ยอีก
หน่อยนะน้อง
อะไรยังมีเพิ่มอีกหรือพี่ น้องทั้งสองกำลังจะคอยรับฟังอยู่
น้องรู้ไหมว่าอันการเป็นมนุษย์นี้นั้นประกอบด้วยธาตุที่สร้างพลังงานขึ้นทั้งสิ้นการจุติ
ก็ดีการบังเกิดก็ดีนั้น น้องพี่รู้อยู่แล้วว่าเป็นกรรมเป็นตัวเกิดขึ้น
แต่การเกิดนั้นและการดับนั้นก็มีปัจจัยเหมือนกันนะ คือว่า น้องคงทราบว่า ขันธ์ห้า
อยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่เป็นพลังงานทั้งสิ้น
แต่ทำไมพระพุทธองค์ท่านจึงมักจะตรัสกล่าวถึงการปรุงแต่งของกรรมมาก ด้วยอันใด
ไม่ทราบหรอกจ้าพี่ พี่ลองอธิบายให้ฟังหน่อยซิจ๊ะ
อันมนุษย์นี้ประกอบด้วยขันธ์ห้าเป็นประกายกำเนิด คือรูปนาม รูปนั้นประกอบด้วยธาตุ
ต่างๆ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณและอากาสเป็นตัวคอยช่วยเหลือไว้
จึงเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา แต่การจะเกิดเป็นรูปร่างสวยงาม ขี่เหร่ ยากจนหรือร่ำรวยนั้น
ก็ด้วยการปรุงแต่งผลกรรมทั้งหลายทั้งสิ้น
ฉะนั้นการปรุงแต่งจึงสำคัญมากไม่ว่าจะไปบังเกิดในภพใดๆก็ตามทั้งสามภพนี้
ก็อาศัยการปรุงแต่งนี้แหละเป็นปัจจัยในการสร้างถิ่นกำเนิดของวิญญาณทั้งหลาย
ส่วนนามนั้นเป็นสิ่งสมมุติที่เรียกกันมิให้ผิดตัวกันเป็นนามธรรมหารูปร่างใดไม่
แล้วก็มีถึงเวทนาคือการเสวยอารมณ์ต่างๆของมนุษย์เรา คือ รัก เกลียด โกรธ อาฆาต
พยาบาทสู่การจองเวรต่อกัน และในทางตรงกันข้ามหรือการวางเฉย
ไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น คล้ายๆกับ อุเบกขานั่นแหละน้อง
แล้วหากเป็นมนุษย์นั้นไม่มีความจำก็เปรียบประดุจดังท่อนไม้ เขาเรียกว่า สัญญา
คือการจำได้ หมายรู้สิ่งต่างๆไว้ แล้วมาถึงการปรุงแต่งสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามกรรม
ที่ปรุงแต่งอารมณ์จิตที่ไปประสบพบเห็นมาไว้ เรียกว่า สังขาร ไม่ใช่สังขารทั้งหมด
ของรูปร่างนั้น ที่คนเรามักเรียกหากันจ้า มีหน้าที่สำหรับปรุงแต่งกรรมต่างๆนั้น
แล้วจึงจะมาถึงวิญญาณเป็นที่อาศัยของจิต เจตสิกและใจที่เราเรียกกันว่าวิญญาณ
เข้ารวมตัวกันซึ่งก็เป็นธาตุพลังงานชนิดหนึ่งเหมือนกัน
จิตนั้นจะมีหน้าที่เสาะแสวงหาสิ่งต่างๆแต่ไม่จำ ต้องอาศัยเจตสิกที่จะคอยเป็น
สิ่งช่วยความจำของจิตไว้แล้วส่งไปที่ใจ อันใจเรานี้เปรียบเสมือน
ดังคลังที่จะคอยเก็บรวบรวมสิ่งที่จิตได้เสาะแสวงหามานั่นเองหรือ
ที่เราเรียกกันว่า สมอง ของมวลมนุษย์เรา
ทั้งจิต เจตสิก และใจนั่นก็คือวิญญาณนั่นเอง เวลาดับไปแล้วสิ่งที่จะตามไปนั้นมี
แค่สองอย่างคือ วิญญาณและสังขาร เท่านั้นจ้า สองสิ่งนี้จะแนบคู่กันไปเพื่อไปปรุง
แต่งกรรมนั้นๆนั่นเอง เพื่อไปสู่ยังภพภูมิต่างๆไม่ว่าในภพภูมินั้นๆ
อ้าวแล้วทำไมคนเราบางคนเห็นกล่าวไว้ว่า ทำไมระลึกชาติก่อนมาเกิดได้ล่ะพี่
หมายถึงอย่างไรจ๊ะพี่????.....................
* กิ่งโศก *
17 มกราคม 2554 09:10 น.
กิ่งโศก
ภายหลังที่ชายหนุ่มสั่งงานแก่เจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยเรียบร้อยแล้ว
ก็มานั่งสนทนากับแม่นางอัปสารรัตนาวดีและอ้อยวิลาวัย์เอ่ย
ถึงเรื่องของสาวชบาในขณะนั้นอยู่อย่างเพลิดเพลิน
แม่นางรัตนาวดีพลันเอ่ยขึ้นว่า
พี่โชติ...รัตน์ว่าเดี๋ยวนี้น้องได้พาสาวชบาไปท่องเที่ยว
ยังดินแดนสวรรค์ชั้นต่างๆมานอกจากชั้นจาตุม
ไปถึงชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นสถานที่บรรดาเหล่าเทพเทวัญและเหล่า
นางอัปสรต่างสนุกสนานกัน อันเป็นบรมแดนสถานของความสุขทั้งมวล
มากกว่าดินแดนอื่นๆในสวรรค์ทุกๆชั้นมาจ๊ะ และปล่อยให้ไปเอง
แต่น้องทั้งสองก็คอยเฝ้าติดตามดูห่างๆไว้ เกรงว่าจะบังเกิดความลุ่มหลง
จนลืมกาลแห่งเวลาของมิติไปจ้า และสิ่งคิดไว้ก็จริงด้วย
ทำให้แม่สาวชบาถึงกลับหลงใหลเกือบจะลืมกลับร่างจ๊ะ
เพลิดเพลินไปกับเหล่าสาวสวรรค์ด้วย รัตน์เองนั้นต้องการทดลองจิต
ของนางว่าหากเจอสวรรค์ชั้นนี้แล้ว ภายในจิตของชบา
จะเป็นประการใด จนเห็นไม่ได้การจึงต้องให้น้องอ้อยรีบไป
ดึงร่างกายทิพย์กลับมานั่นแหละ
นางถึงจะคลายความลุ่มหลงไปได้ ซึ่งพี่เองก็รู้ด้วยเคยไปมาแล้วว่า
อันสถานที่นี้เป็นสวรรค์ที่ล้วนแล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์สนุกสนาน
ใครแม้นได้ไปมักจะติดในดินแดนนี้
ด้วยในสวรรค์ทุกๆชั้นนั้นหามีสวรรค์ชั้นใดจะมาเทียบไม่ได้หรอก
จึงได้กำชับแม่นางชบาว่าอย่าไปให้มากนัก พี่จะเห็นเป็นประการใดหรือไม่จ๊ะ???...
จริงซิพี่ อ้อยเองครั้งแรกที่พี่รัตน์พาไปนั้นก็เหมือนกับน้องชบานั่นแหละจ้า
ด้วยยังอยู่ในขั้น สกทาคามีอยู่ ครั้นเจริญผ่านขั้นนี้ไปได้ด้วยการฝึกฝนต่อจนพอมา
ฝึกปรือสมาธิจนถึงขั้นอนาคามีได้นั่นแหละถึงจะทำใจได้ไม่ติดในสิ่งนี้จ้า
ใช่แล้วน้องทั้งสองอันดินแดนแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นดินแดน
แห่งโลกียะทั้งสิ้นเป็นดินแดนแห่งบรมสุขของสวรรค์ทุกๆชั้น
หากใครก็ตามหลงเข้าไปยากที่จะกลับออกมาได้จ๊ะ
ด้วยเป็นที่สำราญทั้งสิ้นยกเว้นแต่สองสถานที่คือศาลาสุธรรมา
อันเป็นที่ใช้ในการประชุมของเหล่าทวยเทพยดาและสูงถึงชั้นพรหม
ทุกวันพระนั้นท่านองค์ท้าวสนังกุมารพรหม
ท่านจะลงมาเทสก์สั่งสอนให้แก่บรรดาทวยเทพยดาและเหล่านางอัปสร
ถึงธรรมะต่างๆให้ฟังด้วยท่านท้าวสนังกุมารพรหมนี้
ท่านสำเร็จบรรลุถึงขั้นทางแห่งพระอรหัตผลแล้วแต่ท่านยัง
เกิดความเมตตาสงสารต่อเหล่าเทพยดาที่มัวแต่เสวยสุขในโลกียะอยู่
จึงไม่ไปสู่ยังพระอรหัตผล
อีกสถานที่หนึ่งคือพระเจดีย์จุฬามณีเกตุแก้วอันเป็นที่
บรรจุพระเขี้ยวแก้วขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับ
อีกเจดีย์หนึ่งที่บรรจุพระโมลีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปราศจาก
ความสุขเป็นที่สักการะของเหล่าทวยเทพยดาซึ่งเป็นดินแดนหวงห้ามไว้จ๊ะ
จึงปราศจากการละเล่นต่างๆ
ส่วนใหญ่ชาวดาวดึงส์มักจะไปหาความสำเริงสำราญในที่สระสุนันทา
และสวนสุชาดากันทั้งสิ้นสระนั้นรายล้อมไปด้วยหินอันวิจิตรพิศดาร
ปูรอบสระลงไปในสระด้วย ส่วนสวนนั้นก็ล้วนด้วย
บุปผานานาพันธุ์อันส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วบริเวณ
ทั้งผลไม้ทิพย์นาๆประการ เหตุใดจะไม่ให้น้องชบาลุ่มหลง
จนลืมกาลเวลาไปได้เล่าน้อง
นั่นซิซึ่งน้องเองก็ยังแค่ไปได้ด้วยอำนาจของฌานสมาธิเท่านั้น
อีกประการหนึ่งนั้นน้องยังอยู่แค่ในชั้นจาตุมเท่านั้นเอง
ที่ไปได้ก็ด้วย อาศัยเป็นบุตรีของท้าวมหาราชนั่นเองจ๊ะ หากไม่ได้
ไปผุดในหน้าตักของเสด็จพ่อแล้วก็คงจะไม่มีโอกาสได้ไปชมหรอก
นอกจากบุตรของเสด็จพ่อ
คืออินทกะเท่านั้นส่วนบรรดาบริวารทั้งหลายไม่มีโอกาสไปเห็น
แต่น้องดีกว่าพวกพี่ๆคืออินทกะ
ก็ด้วยอำนาจฌานที่พี่ได้อบรมเพิ่มเติมจนไปถึงขั้นอนาคามี
จึงสามาระไปได้ทุกๆชั้นฟ้าจ๊ะ
แต่ก็ไม่ได้ไปเลย ด้วยกลัวกาลแห่งมิติเวลานั่นเอง
แม่นางอัปสารเอ่ยกล่าวแก่ชายหนุ่มให้ฟัง
อันชั้นยามาก็ดี ชั้น ดุสิตก็ดี อันชั้นดุสิตนี้มีแต่ความร่มเย็น
สงบสุขเท่านั้นถึงมาดแม้นจะเป็นแดนแห่งโลกียะด้วยก็ตาม
ด้วยบุญญาธิการในผลแห่งบารมีของท่านทั้งหลายจึงระงับเสีย
เป็นดินแดนแห่งเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงมีความสุข
แค่พอเพียงแล้วก็ล้วนด้วยสร้างสมาธิเพื่อเลื่อนชั้นขึ้นไปสู่ยังพรหมโลก
และบางองค์ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตัดซึ่งกิเลสเข้าสู่แดนนิพพานไป
บางองค์ก็ต้องลงมายังแดนมนุษย์เพื่อสร้างผลบุญต่อเพิ่มผลบารมีทานให้มากๆ
ยกเว้นผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ที่จะต้องเสด็จลงมายังดินแดนมนุษย์เพื่อจะได้เผยแผ่พระธรรมปลด
เปลื้องมวลมนุษย์ให้พ้นจากกิเลสน้อยใหญ่จ๊ะ แดนนี้จึงปราศจากกิเสลกามา
ส่วนชั้นนิมมานวดีก็ดีชั้นปรนิมมิตวสวัสดีก็ตาม
ยังหมกหมุ่นกับโลกียะกามาอยู่แต่หากมีความต้องการก็จะเนรมิตขึ้นมา
แล้วเสวยความสุขกามา ครั้นสมปราถนาแล้วร่างนั้นก็จะอันตรธานหายไป
อันชั้นนี้เป็นชั้นจำพวกพรหมเหมือนกันอันมี
ท่านท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช หรืออีกชื่อหนึงว่าวสวัตดี
เป็นหัวหน้าชั้นนี้ ส่วนชั้นพรหม
นั้นก็ยังแบ่งออกเป็นสองดินแดนชั้นพรหม
ไม่มีรูปกับชั้นพรหมมีรูป ชั้นพรหมมีรูปคือแดนของเทพบุตรมาร
เป็นเทพบุตรที่คอยรบกวนกีดกั้นผู้ที่จะทำความดีได้แก่
ตัวการที่ขัดขวางไม่ได้บรรลุความดี มี ๕ อย่างคือ
๑. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๒. ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขารที่ปรุงแต่งกรรม
๔. เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร
๕. มัจจุมาร มารคือความตายกับเทพบุตรพรหม เทพบุตรมารนั้นเป็นที่
อยู่ของภายใต้การปกครองของท่านพญามารวสวัตตีมาร
ส่วนอีกดินแดนหนึ่งติดกับดินแดนมาร
เป็นชั้นพรหมที่สร้างสมแต่ความดีที่สร้างสะสมมาคอยช่วยเหลือ
ผู้ที่ประกอบความดี มีท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นหัวหน้า
ในชั้นนี้มีท่านท้าวสนังกุมารพรหม ปรเมศพรหม
ท่านท้าวมหาพรหมธาดา ชินะปัญชะระพรหมฯลฯล้วนแล้ว
แต่มีหน้าที่คอยช่วยเหลือมนุษย์ เทวดา
ให้ประกอบความดีแต่มีอิทธิฤทธิ์น้อยกว่าพวกมารพรหม
ด้วยอำนาจของความพยาบาทอาฆาตในสิ่งที่คนหรือเทวบุตรเทพอัปสร
จะประกอบซึ่งความดีทั้งหลาย เข้าครอบงำจิตใจให้หลงผิดเป็นชอบ
แล้วแบ่งแยกปกครองแบ่งแยกดินแดนกัน มิกล้าล้ำแดนกันฤทธานุภาพ
ก็แตกต่างกันไม่ได้ จึงส่งผลให้ความชั่วมีฤทธานุภาพ
มากกว่าความดีที่สร้างได้ยาก หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเทวบุตรพรหมนั่นเอง
ทั้งหมดของพรหมเหล่านี้จัดอยู่ในจำพวก พรหมมีรูปทั้งสิ้น
อันพรหมไม่มีรูปก่อนจะดับจิตเจริญสมาธิจนถึงแก่ความตายแล้ว
อธิษฐานไม่ให้มีรูปเกิดขึ้น ด้วยเกิดอาการเบื่อหน่ายในเบญจขันธ์ห้า
ที่ประกอบด้วยอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน
จึงได้มาอยู่ในดินแดนนี้มีลักษณะเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า
วูบๆวาบๆหายไปแต่ไม่ปรากฏรูปดังเทวบุตรพรหมทั้ง
หลาย แต่มีฤทธานุภาพมากกว่าพรหมมีรูปมากมายนัก
และมีอายุยืนนานที่สุดของพรหมทั้งหมดด้วย
จนพรหมเหล่านี้ถึงกับลืมอายุขัยของตนเองไป
ลืมวันเวลาแห่งมิติสืบเนื่องจากไม่รู้กำหนดอายุขัยของตน
อันสวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ก็ถือเป็นชั้นพรหมด้วยเหมือนกันต้องการ
สิ่งใดก็จะเนรมิตสิ่งนั้นมาใช้สอยเองต่างๆกับชั้นที่ต่ำลงมาเพียงแค่นึกเท่านั้น
สิ่งทิพย์ก็จะเกิดขึ้นทันทีด้วยผลแห่งการให้ทานมากๆนั่นเอง
ส่วนพรหมนั้นการให้ทานนั้นน้อยลงแต่มากด้วยฌานสมาบัติ
จึงต้องเนรมิตของใช้ที่ต้องการขึ้นเอง
แต่ก็จัดอยู่ในชั้นที่เหนือกว่าชั้นทั้งห้าได้ อันชั้นเทวบุตรพรหมนั้น
สามารถจะบรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหัตผลได้เข้าสู่นิพพานได้
ส่วนเทวบุตรมารนั้นไม่สามารถจะบรรลุธรรมวิเศษได้จึงจำเป็น
ต้องลงมาเกิดในดินแดนมนุษย์เริ่มต้นสร้างกรรมดีต่อไป
ชายหนุ่มเล่าให้แก่แม่นางอัปสรทั้งสองฟังถึงแต่ละชั้น
ของสรวงสวรรค์ ทั้งยังเอ่ยบอกว่า
ได้เคยไปท่องเที่ยวมาแล้วเกือบๆทุกๆชั้นแล้ว
พลางหันไปยิ้มให้แม่นางทั้งสองซึ่งนั่งคอยฟังด้วย
อาการอันสงบ เขาคิดว่านางคงจะสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงสามารถ
รู้ในสิ่งที่เหนือกว่านางไปได้ด้วย
เขามีเพียงแค่ร่างกายมนุษย์เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะสามารถถอดกายทิพย์ได้
แต่อำนาจของมิติกาลนั้นย่อมจะต้องกำหนดไว้ แต่ที่เขาเล่ามานั้นทำไม
ถึงได้ข้ามมิติกาลและสามารถไปท่องเที่ยวในสิ่งที่ไม่หล่อนเอง
ยังไม่สามารถไปได้เลยกระมัง ชายหนุ่มคิดรำพึง
ทำให้แม่นางอัปสรครั้นได้รับฟังชายหนุ่มอธิบายให้ฟัง
ก็เกิดความปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก
พลางเอ่ยขึ้นว่า
แล้วพี่ในโลกนี้ทำงานด้านนี้จะไม่มีบาปติดตัวไปด้วยเลยหรือ
ทำให้เกิดความสงสัย
อันหน้าที่การงานของพี่นั้นจะเกี่ยวข้องกับทางบาปก็จริง
อยู่การที่คนเราจะทำบาปนั้นให้
เกิดเป็นรูปธรรมนามธรรมได้นั้นต้องพร้อมซึ้งเหตุสามประการคือ
หนึ่งต้องพร้อมด้วยใจหรือ
เจตนาของผู้นั้น สองด้วยกายที่จะลงมือทำ สามวาจาที่ เมื่อทั้งสามอย่างนี้
รวมกันด้วยความโทสะ โมหะ โลภะ พยาบาทแล้วอันก่อด้วยตัณหา
เป็นตัวบัญชา นั่นแหละถึงจะครบถ้วนแห่งการทำบาป
สำเร็จลงครบถ้วนบริบูรณ์
ส่วนพี่เองนั้นแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ในทางนี้ก็จริงแต่ใจพี่มิได้เกิด
ความพยาบาทอาฆาตมาดร้ายอัน
ประกอบไปด้วยตัณหา ทำไปเพื่อปกป้องคนดีต้องหลงผิดทาง
มิให้คนชั่วต้องประสบผลสำเร็จจึงอยู่เหนือกฏแห่งกรรมไปจ้า................
* กิ่งโศก *