27 มกราคม 2554 11:45 น.

๐ เทศนา...แฝงปริศนา ๐

กิ่งโศก

135425_QblcuDijQJ_large.jpg

 .......ด้วยความเป็นชาวพุทธ จึงได้มีโอกาสไปฟังธรรม บ้างตามวัด ศาสนสถานต่างๆ อยู่บ่อย ๆ ยิ่งช่วงออกพรรษา  หรือก่อนเข้าพรรษา ตลอดจน วันสำคัญทางศานาต่างๆ 

 ........ เพื่อนๆ ได้ไปฟังพระเทศน์แล้ว มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง กับการที่เรานั่งฟังพระเทศที่เป็นภาษาบาลี  ส่วนมากกิ่งโศก จะจำได้แบบท่องจำ ส่วนเนื้อหา ยอมรับว่า ไม่รู้เรื่อง เพียงแต่ศรัทธา ในศาสนา แต่ไม่ได้เข้าใจที่พระเทศนา  ให้ฟังแต่อย่างใด  ยกเว้นมีพระดังๆ ที่ออกทีวี ท่านอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ฟังดูก้เข้าใจ 
.....
41487-attachment.jpg

                 หลายครั้งๆ ที่มือพนม หูฟังรับรู้ทำนองที่ท่านเทศน์ แล้วผ่านไป ...ซึ่งเหมือนเป็นการกระทำโดยอัตโนมัติ 

                ครั้งหนึ่งได้มีโอกาส ไปทำบุญ มีกัณฑ์เทศ ที่มีไม้เสียบ แบ้งค์ปัก (หลายคนคงเคยเห็นนะครับ) เวลาพระท่านนั่งธรรมาส แล้วจะเทศนา เป็นเรื่องราว ทั้งพุทธประวัติหรือ คติธรรมต่าง เป็นภาษาง่ายๆ กิ่งโศกชอบฟัง เพราะมีความเข้าใจ

 41489-attachment.jpg

                 ในครั้งนั้นได้ตั้งใจฟัง  จับใจความถึง วิธีการเทศน์ของพระสงฆ์ โดยยกย้อนไปในพุทธกาล  (กิ่งโศกจำชื่อเมืองไม่ได้ )  มีพระราชา องค์หนึ่ง (จำไม่ได้เช่นกัน) ได้นิมนต์ พระสงฆ์ มาเทศน์ ให้ฟัง ทุกๆ 7 วัน เพื่อให้เหล่าเสนาอำมาตย์ ข้าทาสบริวาร ได้รับพระธรรม  การเทศก์ ในแต่บทแต่ละกัณฑ์ ใช้เวลา นานมาก ทำให้พระราชา เบื่อหน่าย (ขี้เกียจฟังว่างั้นเถอะ) 

                 41484-attachment.jpg

 จึงได้ ปุจฉา กับ อรหันต์ ที่ได้มาเทศนาให้ฟัง  ดูก่อน ศิษย์แห่งพระตถาคต การเทศนาธรรม ให้แก่ไพร่ฟ้าประชาของเรานั้น ดูว่าจักใช้เวลาในการท่องสวดมนต์ นานเกินควร ทำให้หลายคน นั่งหลับนั่งหาว กัน ขอพระคุณเจ้า คราวหน้า  ขอให้เทศน์สั้น ๆ และเข้าใจง่ายได้ไหม? ..

           พระองค์นั้น คงได้แต่ยิ้ม แล้วกลับวัดไป

41488-attachment.jpg

                 พอครบรอบนิมนต์ อีกครั้ง ขบวนพระสงฆ์ ชุดเดิม ก็ได้มาทำการเทศน์ กล่าวธรรมะแก่ พระราชา และข้าบริพาร อีก ก่อนจะเริ่มพิธี พระราชา ก็ ทวงบอกสิ่งที่ ต้องการว่า ขอสั้นๆ และได้ ใจความ..

                แล้วแล้ว พระสงฆ์ ก็เริ่มพนมมือ พร้อมกับเทศน์..



 อดทน    เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้  



พร้อมกับจบพิธีการ

41486-attachment.jpg
........................................................................................................................

พระราชา นั่ง งง...งวย...แล....ทึ่ง..ตลึง  จนได้คิด แล.เกิดความเลื่อมใสอย่างเป็นที่สุด

 โอ...คำว่าอดทน....คือให้รู้จักระงับ ความอยาก  อดทนต่ออุปสรรค  อดทนต่อ กิเลสทั้งปวง  อดทนต่อการปลดปล่อยอารมณ์ร้าย  อดทนต่อคำว่ากล่าวเสียดสี....และ....และ....ฯลฯ
 
แค่เรามีความอดทน....เราก็พบทางสว่างแล้ว...

 นำประสบการณ์ เสี้ยวหนึ่งที่ตั้งใจฟังพระเทศน์

41485-attachment.jpg

ขอบคุณภาพ จากอินเทอเนต				
26 มกราคม 2554 15:18 น.

อทิสมานกาย ๘๑

กิ่งโศก

เมื่อชายหนุ่มโชติ เข้ามานั่งร่วมวงสนทนาเรียบร้อยแล้ว

เขาคิดว่า ในเมื่อทั้งสองครอบครัว   เมื่อจะเป็นครอบครัวเดียวกัน

ดังนั้นสิ่งต่างๆจึงไม่อยากจะคิดปิดบัง ด้วยระยะเวลาเหลืออีกไม่

เท่าไหร่นัก  เขาจำต้องเปิดเผยตัวแล้วว่าเขาคือใคร ครั้นหากมาปิด

บังตอนนี้จะคงจะไม่ดีนัก  ครั้นจะเอ่ยบอก ก็พอดีได้ยินพ่อเชียร

หันมาทางแม่เข็มเอ่ยก่อนขึ้นว่า

   ในเมื่อหนูบงกชไม่มีปัญหาแล้ว ฉะนั้นเพื่อจะได้จับจองไว้ก่อน

เพียงอย่าคิดว่าเป็นของหมั้นหมายอะไรเลยนะ  ถือว่าเป็นสินน้ำใจ

เล็กๆน้อยๆของพวกข้าก็แล้วกัน    พี่หวนแม่เย็นและหนูบงกช หาก

วันแต่งที่จะเกิดขึ้นเห็นจะต้องให้เจ้าโชติลูกข้าดูตำราโหรไว้ให้ไม่ต้อง

ไปหาที่อื่นหรอก

   อะไร???...พ่อโชติหรือดูหมอเป็นกับเขาด้วยหรือ???....

     เสียงพ่อหวนแม่เย็น อุทานขึ้นพร้อมๆกัน แล้วหันไปมองหน้ากันและกัน

ด้วยความสงสัยรวมทั้งเจ้าชวนด้วย

 

   เขาร่ำเรียนวิชานี้มาด้วยล่ะจากหลวงพ่อทองและอาจารย์เลื่อมไว้แต่

ว่าอาจารย์เลื่อมนั้นพ่อหวนแม่เย็นคงจะไม่รู้จักหรอก แต่ช่างเถอะให้

เขาช่วยดูฤกษ์ยามงามดีก็แล้วกันนะ

   ถ้าอย่างงั้นก็ได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอดูหรือหลวงพ่อท่านให้

ทำนายหรอก  ดีเหมือนกันคนกันเองนี่แหละข้าเชื่อพ่อโชติ  ตั้งแต่เวลา

ที่เอาสร้อยพระมาให้แล้วล่ะ

        พ่อหวนแม่เย็นเอ่ยขึ้น

   จริงซิพ่อแม่ ผมเองก็เชื่อมั่นพี่โชติมาก ตั้งแต่วันนั้นมานะ  พี่โชติผม

คิดว่าเก่งกว่าอาจารย์อื่นๆที่ผมพบมาเสียอีกล่ะ

     เจ้าชวนลูกชายเอ่ย       แล้วสาวบงกชก็เอ่ยขึ้นสนับสนุนเช่นกัน

   ให้พี่โชติดูฤกษ์ยามดีเหมือนกันพ่อแม่  หนูเชื่อมั่นเขามากเสียด้วย

   ถ้าอย่างนั้นหากลูกโชติหาฤกษ์ได้แล้วก็เป็นอันตกลง  แม่เข็มไปหยิบ

สร้อยเพชรมาให้เป็นของขวัญแก่หนูบงกชได้แล้วล่ะ

       พ่อเชียรหันไปเอ่ยกับเมีย  แม่เข็มได้ยินเช่นนั้นก็ขอตัวทุกๆคนแล้วรีบ

เดินเข้าไปยังห้องทันที   สักครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อมกล่องกำมะหยีสีแดง

พลางยื่นให้แก่พ่อเชียรทันที

     ครั้นพ่อเชียรรับมาแล้วก็เปิดกล่อง หยิบสายสร้อยเพชรที่อุบะมีเพชรเม็ด

เขื่องๆล้อมรอบด้วยพลอยหลากสี ตามสายสร้อยก็ถูกประดับด้วยเพชรเม็ด

เล็กๆเรียงรายไปทั่ว

 

    พ่อหวนแม่เย็นเจ้าชวนสาวบงกชเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตลึงไปทันที  ไม่คิด

ว่านี่เพียงแค่ของขวัญสร้อยเส้นนี้ราคาคงจะหลายกะตังค์เชียว  พ่อหวนจึง

ถามทันทีว่า

   น้องเชียรอะไรๆๆจะต้องมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ  ราคาคงจะแพงมากนะ

   ไม่ต้องคิดมากหรอกพี่หวนในเมื่อจะมีลูกสะไภ้ทั้งคนเรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่อง

ใหญ่โตอะไรหรอก  ราคาหรือก็คงจะไม่เท่าไหร่ ตอนนั้นซื้อมาก็ในยราคาประมาณ

เจ็ดแปดแสนบาทเท่านั้นเองล่ะ  แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้เหมือนกันราคาเท่าไหร่ เพราะ

ไปซื้อมาจากกรุงเทพฯโดยลูกโชติเขาพาไปซื้อมา  

    ไหนๆแม่บงกชเข้ามาใกล้ๆอาซิเพื่ออาจะได้สวมคอให้เป็นของขวัญแก่หนูน๊ะ

     เมื่อฝ่ายพ่อหวนได้ยินราคาถึงกับสะดุ้งกันทุกๆคน ต่างอุทานขึ้นพร้อมๆกัน

   โอ้โห...ราคาเกือบล้านเชียวนะน้องเชียร ยังบอกว่าไม่เท่าไหร่อีก  โอ้ยๆๆๆข้าจะ

เป็นลมให้ได้  จริงไหมแม่เย็น

   นั่นซิพี่หวนข้าได้ยินราคาก็ตกใจแล้ว ไม่คิดว่าอีหนูเราจะมีบุญวาสนาได้

สวมสร้อยราคาเช่นนี้  

 

ตั้งแต่ข้าอยู่มาก็ไม่เคยได้มีสร้อยราคาเท่านี้เลย แค่ทองคำธรรมดาเท่านั้น

เอง  ข้าก็เกือบจะเป็นลมไปเหมือนกันล่ะ

     ชายหนุ่มโชติที่นั่งฟังอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า 

    นี่ยังน้อยไปนะลุงป้าที่จริงยังมีอีกมากมายนัก   ที่ไม่ได้เอาออกมาทั้งหมด

พ่อแม่ผมซื้อเก็บเอาไว้ แต่ไม่เคยได้ใส่กับเขาถึงจะมีงานก็ไม่เคยใส่ของอะไรเลยล่ะ

     เมื่อทั้งหมดได้ยินต่างก็มองหน้ากันไปๆมาๆ   

พลางนึกในใจว่านี่แหละน๊าที่เขาเรียกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองล่ะ 

  ทำตัวแบบธรรมดาไม่โอ้อวดความร่ำรวย    แต่ที่ไหนได้มั่งคั่งยังกับเศรษฐี

ก็ว่าได้   จึงรีบผลักร่างสาวบงกชให้รีบเข้าไปหาพ่อเชียรทันที

ซึ่งหยิบสายสร้อยออกมา  สีมันวูบวาบด้วยอัญมณีอันงดงามยิ่งนัก

 ยิ่งอุบะด้วยแล้วสะท้อนแสงวูบวาบหลากสีสรรประกายแวววาวสะท้อนแสง

หลายหลากสี   สาวบงกชถึงกับตัวสั่นงันงกไปทันที ค่อยๆคลานคืบ

เข้าไปหาว่าที่พ่อผัวทันที

     เมื่อสาวบงกชเข้ามาใกล้แล้ว  พ่อเชียรก็บรรจงสวมสร้อยคอลงบนคออันขาวผ่อง

ของสาวเจ้าทันที    พลางกล่าวว่า

   จำเริญๆเถอะลูกพ่อ  ต่อไปนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว 

ไปไป๊ไปกราบแม่เข็มเขาด้วย

   จ๊ะพ่อ หนูไม่คิดว่าจะมีวาสนาเช่นนี้กับเขาเลย  หนูคิดไม่ถึงจริงๆจ๊ะพ่อ

สาวบงกชเอ่ย   แล้วก็ค่อยๆคลานไปกราบบนหน้าตักแม่เข็ม

  

 แม่เข็มก็ยกมือลูบหัวพลางกล่าวคำอวยพรต่างๆนานานัปการ 

 แล้วดึงสาวเจ้าเข้ามาสวมกอดด้วยความรัก  ทำให้พ่อหวนแม่เย็นเจ้าชวน

ต่างหน้าบานไปตามๆกัน  พ่อหวนนั้นคิดว่าบัดนี้ภาระในอกหมด

ไปแล้วล่ะที่ลูกเราจะได้คนดีและมั่งคั่งอีกด้วยนับเป็นบุญวาสนามันจริงๆ

   พลางเขยิบเข้าไปหาพ่อเชียรพลางสวมกอดแล้วด้วยร่างอันสั่นเทา

น้ำตาลูกผู้ชายก็รินไหล กล่าวด้วยเสียงสะอื้นปนว่า

   ชีวิตพี่คงจะหมดห่วงเรื่องลูกสาวก็คราวนี้ล่ะน้อง  คง เหลือลูกชวนอีกคน

ก็คงไม่เป็นปัญหาด้วยมันเป็นผู้ชายย่อมจะต้องเอาตัวรอดได้แหละ 

 พี่ขอขอบใจน้องพี่มากนะที่เอ็นดูรักใคร่ต่อครอบครัวพี่  

พี่นึกไม่ถึงจริงๆว่าถึงเราทั้งสองครอบครัวจะพึ่งรู้จักกันไม่นานแต่ปลดภาระพี่ได้

  ขอบใจๆจริงๆนะน้อง

   อย่าคิดมากเลยพี่หวน    ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วทุกๆอย่างมันเป็น

ของนอกกายทั้งสิ้น เวลาตายหรือก็เอาไปไม่ได้ สู้ให้คนที่เรารักไว้รักษามิดีหรือ

  บอกตรงๆนะพี่หวนข้าและแม่เย็นไม่เคยคิดว่ามันคือของมีค่าวิเศษอะไรเลย 

 ฉะนั้นพี่สบายใจได้แล้วล่ะ

   พ่อเชียรกล่าวเสร็จก็หันไปเรียกเจ้าชัยให้เข้ามา  พลางถอดแหวนพลอยแดง

ที่เขาสวมใส่ประจำออกจากนิ้วมือ  เมื่อเจ้าชัยมาแล้วก็ส่งให้เจ้าชัยเอ่ยขึ้นว่า

   เอ็งเอาของพ่อที่สวมประจำไปสวมนิ้วมือให้เจ้าสาวเจ้าในอนาคตเสียนะ

     เจ้าชัยก้มลงกราบบนตักพ่อเชียรด้วยคราบน้ำตาไหลริน

ในความซึ้งแก่หัวใจของมัน  แล้วค่อยๆเข้าไปหาแม่สาวบงกชที่หันมายิ้มให้มัน

   มันค่อยๆสวมแหวนใส่ลงไปในนิ้วนาง     แต่ทว่าแหวนนั้นมันใหญ่

จึงจำเป็นต้องสวมยังนิ้วกลางแทนแต่ก็ยังหลวมๆอยู่เป็นพิธีเท่านั้น  

 

 ทั้งสองยิ้มให้แก่กันแต่ใบหน้าล้วนโชลมไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ

  แล้วก็ทั้งสองก็คลานเข้ามากราบพ่อเชียรและแม่เข็มที่เอ็นดูแก่มันทั้งสอง

 ตลอดจนพี่ชายมันด้วยซึ่ง ชายหนุ่มก็อวยพรให้น้องทั้งสองทันที

   พี่ขอให้น้องทั้งสองจงสามัคคีปรองดองกันหนักนิดเบาหน่อย

ก็อภัยให้กันและกันนะ ใครโกรธหรือก็ให้หนีไปก่อน   แล้วค่อยเข้าหา

อย่าดื้อรั้นถือทิษฐิต่อก่อน  ขอให้รักเดียวใจเดียวอย่าคิดในสิ่งที่

ผิดๆเสียนะ จงจำคำพี่ต่างช่วยกันทำมาหากินไม่นานหรอกเจ้าก็

จะเหมือนพ่อแม่เราที่แก่ตัวก็สบายกายและเใจ

ยึดตัวอย่างพ่อแม่เราไว้เป็นอุทาหรณ์ไว้  ซึ่งเจ้าชัยก็เห็นมามากแล้ว  

ขอให้ทั้งสองมีความสุขตลอดชีวิตของเจ้าทั้งสองด้วย

     พลางหันไปทางพ่อหวนแม่เย็นเจ้าชวนพลางเอ่ยว่า  

   งานแต่งงานให้เป็นวันศุกร์ที่จะถึงนี้เวลาประมาณ เก้าโมงเช้าเป็นฤกษ์มงคล 

 จะมีอุปสรรคบ้างแต่ทำอะไรไม่ได้หรอก   หากพ้นวันนี้ไปแล้วจะมีเหตุการณ์ไม่ดี

เรื่องก็จะไม่จบสิ้น   ตลอดจนทั้งสองจะอยู่ไปจนแก่เฒ่าได้ยากด้วยนะ  

     แล้วชายหนุ่มก็หันหน้าไปทางทุกๆคน  ที่ต่างมองมายังเขาเป็นจุดๆเดียวกัน

     ในเมื่อเราทั้งสองเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็จะบอกเกี่ยวกับเรื่องของผมให้

ทุกๆคนรู้ แต่ว่าอย่าไปแพร่งพรายอะไรให้ใครๆฟังนะ  ด้วยผมเชื่อลุงป้าและน้อง

จึงได้เอ่ยเช่นนี้  เพราะนี่เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้วอย่างไรก็ต้องเปิดเผยตัวเอง

 

     ชายหนุ่มเอ่ยให้ครอบครัวพ่อหวนแม่เย็นฟัง  ทำให้พ่อหวนแม่เย็นเจ้าชวนสงสัย

   ลูกโชติจะต้องเปิดเผยอะไรอีกหรือ บอกได้เลยว่าทุกๆอย่างเป็นความลับไม่ทำ

ให้ครอบครัวเราเสียหายหรอก  เชื่อพ่อเถอะลูก  พ่อแม่ให้สัญญาไว้

     พ่อหวนแม่เย็นเอ่ยให้ฟังรวมทั้งทุกๆคนอีกด้วย

   ลูกโชติ บอกไปเถอะนะไหนๆก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วปิดบังไว้  ถึงอย่างไร

เขาก็รู้จนได้ ให้รู้ไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องตอบปัญหามากนัก

     พ่อเชียรกล่าวกับลูก

   จริงซิลูกบอกไปเถอะ เจ้าชัยมันจะได้รู้สักทีว่าพี่ชายมันทำงานอะไรกันนะ

     แม่เข็มเอ่ยสนับสนุนทันที   ดังนั้นเขาหันไปยิ้มกับพ่อแม่  ส่วนเจ้าชัยและสาวบงกช

พ่อหวนแม่เย็นเจ้าชวนก็ให้นึกฉงนใจเหมือนกัน เพราะตั้งแต่มาอยู่ก็ไม่เห็นพ่อโชติ

ไปไหนมาไหนเสียเลย   ยิ่งสาวบงกชแล้วยิ่งอยากรู้ใหญ่ด้วยหล่อนเคยสอบถาม

ชาวบ้านเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้แต่ไม่ได้รับเรื่องราวอะไรเลย  ต่างก็หันมามองทาง

ชายหนุ่มทันที

   ด้วยอีกเวลาไม่นานนักผมก็ต้องไปรับหน้าที่การงานแล้วล่ะครับ เพื่อไม่ให้

ทุกๆคนสงสัยประพฤติกรรมของผม  จึงขอบอกเสียบัดนี้เลย แต่อย่าลืมที่ผม

บอกเอาไว้นะครับ  ผมคือ พล.ต.ต. วีระโชติ เชียรเข็มสกุล  หัวหน้าสถานีตำรวจ

ภายในจังหวัดนี้และควบคุมอาณาเขตรอบด้านของจังหวัดนี้ด้วยครับ 

 ผมต้องขอโทษด้วยที่จำเป็นต้องปิดบังตัวเองไว้ก่อนด้วยเป็นความลับของทางราชการ

   ฉะนั้นงานแต่งน้องนี้ผมถึงได้กล้ายืนยันรับรองความปลอดภัยทั้งหมดด้วยตัวเอง

หากผมไม่มั่นใจแล้ว    ผมจะไม่กล่าวอะไรเช่นนี้หรอกครับ 

 

    นายพลตำรวจหรือๆๆๆๆ!!!!!!?????

    เสียงทุกๆคนอุทานกันเสียงดังระงมไปหมด  ไหนเลยจะคิดว่าหัวหน้าสถานีตำรวจ

ที่ทุกๆคน ทั้งเสี่ยเม้ง กำนันมั่นหรือใครๆนั้นอยากจะรู้    ที่แท้มาอยู่ที่นี่เองแหละ

เล่นเอา ครอบครัวพ่อหวนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน

   คิดไม่ถึงจริงๆๆ?????.....ว่าลูกพ่อเชียรแม่เข็มจะเป็นถึงนายพลตำรวจใหญ่อยู่ที่นี่

ซึ่งทุกๆคนทั้งคนไม่ดีและคนดีต่างคอยชะเง้อรับฟัง และอยากจะเห็นหน้าไว้  ทุกๆคน

ที่ประกอบสิ่งดีต่างพากันชื่นชมกันไปทั่ว  

โอ้ยๆๆๆไม่เย็นข้าจะเป็นลมขอยาดมหน่อย

   ร่างของพ่อหวนถึงกลับหงายหลังพิงเมียทันทีด้วยเหตุการณ์ผ่านมา

เข้าสู่สมองอีกครั้งหนึ่ง  ในการกระทำความผิดเอาไว้ รีบคว้ายาดมจากเมียมาสูดเอาๆ

   พี่โชติเป็นนายพลตำรวจใหญ่จริงๆหรือ???........

สาวบงกชร้องอุทานลั่น  ภายในใจนึกเสียดายสิ่งที่หล่อนคิดปรารถนากลับไม่ได้

ดังใจคิด ด้วยความลังเลเลือกไปเลือกมาของหล่อนนั่นเอง  มารู้อีกทีก็สายไปเสียแล้ว

ใจหล่อนสั่นสะท้านพาลจะเป็นลมหน้ามึดให้ได้  แต่ก็ต้องบังคับไว้ไม่แสดงอาการ

ออกมา   พลางหล่อนหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง ด้วยอาการน้อยอกน้อยใจยิ่งนัก

  คิดไม่ถึงๆจริงๆ เราคงจะไม่มีวาสนาต่อกัน  หล่อนพยายามปลอบใจตัวเอง

 มือไม้สั่นเทาไปหมด   จนเจ้าชัยก็ตกตลึงแต่มีสติได้รีบเข้ามาจับมือสาวเจ้าไว้นั่นแหละ

อาการสั่นเทาจึงค่อยทุกเลาลง   หยาดน้ำตาพลันรินหลั่งอีกครั้งหนึ่ง ปากพรึมพรำๆว่า

   นึกไม่ถึงจริงๆ   

อยู่ตลอดเวลาหล่อนเองก็สงสัยถึงความมีสง่าราศรีผิดคนธรรมดา

    ยิ่งโดยเฉพาะพ่อหวนนั้นที่เอนหลังพิงร่างเมียไว้ถึงกับปากอ้าตาค้าง

 สะดุ้งตกใจไปทั้งตัว

  ร่างชราสั่นเทาไปในสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง  รีบคว้ายาดมเมียมาดมอีกก่อนจะเป็นลมไป

      เขาไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มคนนี้นี่แหละที่บงการในการจับกุมไม้เถื่อนที่ผ่านมา

 ตนเองแทบจะเอาชีวิตไม่รอดจนมากลับใจได้ จวบทุกวันนี้จนมาเป็นทองแผ่นเดียว

กันนั่นแหละถึงจะได้รู้ความจริงทั้งหมด ใบหน้าขาวซีดเผือดไปกลัวในสิ่งที่ผิดของตน

แต่ก็ยังถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

   พ่อโชติไม่ได้ปดพ่อนะ   เป็นความจริงหรือหูพ่อฝาดไปหรือเปล่า????.....

เสียงพ่อหวนสั่นตะกุกตะกักไปทันที  ด้วยใบหน้าที่ขาวปราศจากสีเลือด

      ชายหนุ่มหันมายิ้มพลาง  เข้าไปเขย่าร่างพ่อหวนไว้มิให้ตกใจมากแล้วเอ่ยขึ้นว่า 

   จริงครับพ่อหวน  ในการจับไม้เถื่อนคราวที่แล้วผมรู้ว่าพ่อหวนร่วมมือด้วยกันแต่

ว่าถึงอย่างไรพ่อหวนก็ต้องมาเป็นทองแผ่นเดียวกับครอบครัวผม

    จึงสั่งให้ลูกน้องผมเว้นทางหนีของพ่อหวนไว้ให้  พ่อหวนไม่สังเกตุหรือว่า

เหตุใดพวกมันต่างตกตายไปตามๆกันมีรอดก็พ่อหวนคนเดียวเท่านั้น จับกุมได้ก็เฉพาะ

คนขับรถเท่านั้นที่ยินยอม  เพื่อจะนำไปเป็นหลักฐานประกอบการให้คำสารภาพนี้   

     แล้วก็ไม่มีใครไล่ติดตามพ่อหวนอีกด้วย   ตลอดจนการสืบสาวเรื่องราวผู้ที่

เกี่ยวข้องงานนี้ทั้งหมด  ทั้งๆที่ผมและลูกน้องรู้ดีว่าพ่อหวนเป็นหนึ่งในหัวหน้านั้น 

    หากผมไม่สั่งไว้ก่อนจะเข้าจับกุม  ป่านนี้คงจะมีชื่อพ่อหวนเท่านั้นแล้วล่ะครับ   

อ้อๆๆน้องชวนก็เหมือนกัน คราวไปถล่มบ้านกำนันมั่นนั้นในคืนนั้นกับเพื่อน พี่เอง

รู้เรื่องราวหมดแล้ว  ยังสั่งให้ลูกน้องไม่ต้องติดตามสืบสวนสอบสวน

ในเรื่องนี้เหมือนกัน  ให้ดำเนินการเพียงด้านกำนันเท่านั้นด้วยพบหลักฐานแล้วว่า

ไม่ใช่คนต่างประเทศ เป็นคนกันเองที่มาแก้แค้นกำนันมั่นด้วยอาวุธสงครามต่างประเทศ

   เพราะน้องพี่เป็นคนดีมากๆ สมควรแล้วล่ะที่พวกมันจะโดนเสียมั่ง

ที่จริงพี่จะใช้คนไปทำลายมันด้วยก่อนแล้วล่ะ  

แต่น้องพี่มาชิงลงมือทำงานเสียก่อน    สบายใจได้แล้วน้อง บอกเพื่อนๆน้อง

ด้วยไม่ต้องห่วง  แต่หากมีอะไรควรมาถามพี่ก่อนก็จะดีนะหรือว่าจะให้เพื่อนๆน้องมา

ร่วมกิจกรรมกับพี่ก็ได้   เพื่อจะได้มีสิ่งป้องกันตัวจากตำรวจทั้งหลาย พี่จะออกหนังสือ

รับรองว่าเป็นคนของทางราชการสืบราชการลับ     มีคนๆหนึ่งสมองเฉียบแหลมมาก

คนนี้พี่ต้องการนัก  ด้วยหนักแหน่นสมองแหลมคมวางแผนงานได้รัดกุม หากมาทำงาน

ให้ทางราชการจะเป็นประโยชน์มาก  หากเพื่อนน้องที่มีความรู้นั้นมาทำงานกับพี่จะได้

รับการบรรจุเป็นตำรวจทันทีเพียงแต่ทำหน้าที่สายสืบ  ไม่ต้องแสดงตัวเท่านั้นพอ

    ทั้งยังสามารถจับกุมผู้กระทำผิดกฏหมายในอาณาเขตที่พี่ควบคุมดูแลได้อีกด้วยจะได้

เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ดีกว่าไปตะลอนๆไม่มีหลักแหล่ง หากเป็นตำรวจสายสืบก็ให้

ทำตัวแบบปกติธรรมดาเท่านั้น  มีอะไรก็รายงานลับๆมาเพราะงานพี่จะใช้โค๊ตลับเป็น

การสั่งงานกันตลอดเวลา   น้องพี่ด้วยก็ควรจะมาร่วมมือกับพี่อีกคนด้วยนะ

   อีกอย่างหนึ่งพี่สั่งเด็กพี่ทุกๆคนว่า  เพื่อนน้องนั้นให้คอยช่วยเหลือไว้อีกทางหนึ่งด้วย

เจ้าชวนถึงกับคลานเข้าไปกราบพี่โชติมันทันที  น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน ชายหนุ่ม

ต้องพยุงตัวขึ้น บอกว่า

   ขอให้ดูแลแม่ไว้ให้ดีๆนะ  อ้อๆๆให้เพื่อนเจ้าหากใครต้องการไม่มีที่อยู่

เป็นหลักแหล่ง  ให้เขามาพักกับเจ้าด้วยจะได้ช่วยกันทำมาหากินต่อไปบังหน้าไว้

แล้วบอกให้ทุกๆคนไม่ต้องให้ใครรู้   ให้มาทำงานกับพี่ ตอนนี้ทางนี้ที่นี่ก็ได้ พี่จะได้ทำ

รายงานส่งไปทางกรุงเทพฯ   สั่งบรรจุเป็นตำรวจลับต่อไป  ทุกๆคนให้ขึ้นตรงต่อพี่เท่านั้น

ให้รีบๆหน่อยนะชวนพรุ่งนี้ก็ได้   เพื่อนน้องเท่านั้นนะการสมัครให้น้องเดินทางเข้า

ไปหาสารวัตรชัชวาลย์โดยมาเอาหนังสือจากพี่ไป  

จะได้รับใบสมัครไปให้เพื่อนทำไว้แล้วส่งให้สารวัตรชัชวาลย์

หรือผู้กองจรัสผู้กองจำลองก็ได้   เอาอย่างนี้ดีกว่าให้มาเอาหลักฐานสมัครจากพี่ดีกว่า

จะได้ไม่ต้องกระโตกกระตากให้ตำรวจนอกรีดรู้ได้  อาจจะเป็นภัยในภายหน้าได้

       พรุ่งนี้ให้มาเอาหลักฐานจากที่ในตอนเย็นๆก็แล้วกัน  ให้มาหาพี่เอาหลักฐาน

ไป   แต่ว่าควรให้น้องมาเอาหลักฐานทางพี่จะดีกว่า  พี่จะให้คนไปเอาหลักฐานมาเก็บไว้

 เลือกคนที่ไว้ใจได้อีกด้วย   พี่เชื่อใจน้องชวนเสมอจะได้ช่วยปราบปราม

พวกนี้ให้ราบคาบหมดไปในบริเวณถิ่นแถบนี้เสียที จะได้ร่มเย็นเป็นสุขสักที

 ส่วนอาวุธนั้นก็ใช้ของน้องนั่นแหละดี  จะได้อำพรางตัวได้อีกทางหนึ่งด้วย

     ส่วนทางพวกไอ้แม้นมันคงไม่ยอมแน่ๆ  แต่ว่าพี่ได้แจ้งให้เด็กพี่ทราบล่วงหน้า

ไว้ก่อนแล้ว คงอีกไม่ช้าหรอกมันจะต้องถูกจับกุมอีกครั้งหนึ่งด้วยมียาเสพย์ติดมากมาย

 และสั่งพวกเพื่อนๆน้องด้วยล่ะให้คอยดูเพียงห่างๆไว้   แล้วมารายงานกับพี่โดยตรง 

 ส่วนงานมงคลนี้พวกน้องไม่ต้องลงมือหรอก  เด็กของพี่จะไปดักหน้าจัดการ

จนเกลี้ยงไม่เหลือถึงเหลือก็แทบปางตายแหละน้อง

     ชายหนุ่มสั่งหนุ่มชวนทันที  แล้วหันไปทางพ่อหวนพลางบอกว่า

   งานบวชคราวนี้พ่อเองก็ไม่ต้องห่วงอะไรหรอก  ทุกๆอย่างจะเรียบร้อยไม่มีปัญหา

เพียงอย่าสึกออกมาเท่านั้นเอง   หากพ่อสึกเมื่อไหร่ไม่เกินสิบห้าวันพ่อต้องตายทันที

 หมั่นร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อให้มากๆด้วย บางที     ผมอาจจะเอาตำราต่างๆ

ที่ผมมีไว้ให้พ่อไปศึกษาร่ำเรียนอีกทางหนึ่งด้วย    อีกต่อไปพ่อหวนเองจะต้อง

ได้ครอบครองวัดโคกอีแร้งต่อไปด้วยครับ..................

 

                      *  กิ่งโศก  * ผู้สานงาน				
26 มกราคม 2554 10:37 น.

อทิสมานกาย ๘๐

กิ่งโศก

ร่างหญิงสาวสะดุ้ง  ขณะที่ก้มหน้าด้วยความเขินอายอยู่นั้น การสนทนาของพ่อ

และพ่อเชียรหล่อนได้ยินทุกคำพูด ภายในใจหรือก็เกิดความลังเลใจ  กำลังว้าวุ่นนัก

รักพี่หรือให้เสียดายน้อง ครั้นจะตอบตกลงหรือก็ยังคิดถึงรูปร่างอันสง่าผ่าเผยของพี่

อยู่ก็ให้กระอึกกะอักกะอวนใจชอบกล

   ว่าไง่ละแม่หนู่บงกช  เห็นมัวแต่ขมวดชายเสื้ออยู่อาเองนั้นตามใจหนูหากไม่ชอบ

ก็ตอบได้เลยนะหนู  ไม่ต้องเกรงใจอาหรอกจ๊ะ????....

     พ่อเชียรเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นร่างหญิงสาวสะท้านไปทั้งตัว

   นั่นซิลูก อาเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอกหากหนูไม่ชอบหรือว่าคนอื่นที่หนูเลือกไว้ก่อน

แล้วก็บอกพ่อและอาเขาได้เลยนะ จะได้จบๆกันไปอาเขาคงจะไม่ว่าอะไรหนูหรอกจ้า

ถึงอย่างไรเราสองครอบครัวก็รักกันเหมือนญาติกันอยู่แล้วล่ะ???...

       เหมือนหล่อนจะตัดสินใจได้ก็เงยหน้าขึ้น แล้วไปถามพี่ชายแก้เขินว่า

   พี่ชวนล่ะจะเห็นชอบกับพ่อหรืออาหรือเปล่าล่ะ???...

   เฮ้ยๆๆ!!!!!....ข้าไม่เกี่ยวนะโว้ยกช  มันเรื่องของน้องล่ะ

ที่จะตัดสินใจเอาเองพี่ไม่ได้ไปแต่งงานกับเขานี่หว่า  จะมาถามพี่ทำไม

  ถามหัวใจของน้องซิว่าชอบคนไหนกันแน่

      ฮ่าๆๆๆ  ทั้งพี่โชติและน้องชัยเขาก็ดีทั้งคู่แหละ  

แต่นี่พ่อเชียรเขาถามว่าจะขอเจ้าให้กับเจ้าชัยมันนะ  ไม่ได้ขอข้าให้ชัย

มันเสียเมื่อไหร่ล่ะ   เขาขอให้กับเอ็งนี่หว่า???...

       เจ้าชวนเอ่อขึ้นก็หัวร่อลั่นเสียงดัง   ฝ่ายเจ้าชัยซึ่งนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน

ก็ถึงกับอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า

   หากไม่เลือกข้าหรือจะเลือกพี่โชติก็ได้นา กช  ไม่นั้นข้าไม่ว่าอะไรหรอก

 การมีครอบครัวนั้นมันต้องแล้วแต่ใจผู้อยู่ จะไปบังคับใจกัน

ไม่ได้หรอก จริงไหมพ่อ???....

 

        เจ้าชัยหันไปถามพ่อเชียรทันที  แม่เข็มได้เห็นอาการเช่นนี้ก็เอ่ยกับแม่เย็นว่า

   แม่เย็นทางข้านั้นไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก  หากอีหนูมันไม่สมัครพร้อมใจ

ก็อย่าไปบังคับมันก็แล้วกันนะ

   เรื่องนี้แม่เข็มข้าเองก็ตามใจพี่หวนเขาอยู่แล้ว เขาเป็นพ่อ 

 ถึงแม้ว่าข้าเป็นแม่ก็จริงอยู่หรอกแต่เรื่องพรรค์นี้ การสร้างบ้านเรือนก็ต้อง

ตามใจผู้อยู่แหละ แม่เข็มคงคิดเหมือนข้านะ

   ก็เพราะข้าคิดเหมือนแม่เย็นนะซิ  เห็นอาการหลานมันยังไงๆชอบกล

ก็เลยมาถามแม่เย็นนี่แหละ

   อ้าวว่าไงลูกบอกมาได้เลยไม่ต้องห่วงหรอกนะ  หากมีคนอื่นอยู่แล้ว 

ข้าเองก็ขอถอนคำพูดก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องสร้างความลำบากให้กับหลานเรา

     พ่อเชียรเอ่ยขึ้นแล้วก็หัวร่อ  พลางหันไปทางพ่อหวนทันที

   หากเด็กมันไม่พร้อมไม่เต็มใจ ก็ไม่เป็นไรหรอกพี่     ที่ข้าขอนั้นเพื่อให้เจ้าชัย

 ส่วนเจ้าโชตินั้นข้าเองได้วางแผนในใจอยู่แล้วล่ะพี่หวน   

แต่บอกพี่หวนไม่ได้เท่านั้นเองแหละ  เห็นเจ้าชัยมันเป็นหนุ่ม

สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้   ข้าก็ไม่เห็นใครหากอีหนูไม่เต็มใจ

ก็ไม่เป็นไรพี่หวนไม่ต้องคิดมากนะ  ถึงอย่างไรเราสองครอบครัวก็คงจะ

รักกันเหมือนเดิมแหละ หากงานอีหนูแต่งเมื่อไหร่ก็มา

บอกกันด้วยก็แล้วนะพี่

     พ่อหวนก็หันไปทางลูกสาวที่มัวแต่ขมวดผ้าก้มหน้าอยู่ไม่เอ่ยประการใด

 เมื่อเจ้าไม่ต้องการก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้วล่ะ  ข้าจะได้ไปพูดเรื่องอื่นต่อนะ

   ที่ข้ามาวันนี้ก็จะบอกน้องเชียรว่าข้าได้ลาออกจากกำนันแล้วและทางหลวงพ่อท่าน

ก็ดูฤกษ์ยามให้แก่ข้าไว้ด้วยว่า  หากได้บวชเดือนหน้าตรงกับวันอาทิตย์ต้นเดือน

ก็จะดีอุปสรรคต่างๆที่เคยทำไว้ก็จะได้หายหมดไป  ข้ากลุ้มใจไม่รู้จะปรึกษาใคร

ก็เห็นน้องนี่แหละที่ควรมาปรึกษาด้วยน้องสนิทสนมกับหลวงพ่ออยู่นะ

 

   เรื่องงานบวชพี่นี้อย่าหาข้าละลาบละล้วงเลยนะพี่  ข้าขอเป็นเจ้าภาพเอง

แหละจะได้ไหมพี่???...

   อืมมๆๆๆก็ดีเหมือนกันจะได้สร้างกุศลแก่น้องด้วย บอกตรงๆนะ

ถึงแม้ว่าข้าจะรู้จักคนมากอยู่ก็ตาม

แต่ข้าเองก็หาได้ไว้ใจใครไม่  มาคบกับน้องนี่แหละรู้สึกว่าช่างถูกชะตากัน

เสียเหลือเกิน งานนี้เรามาช่วยกันคนละครึ่งก็แล้วกันนะจะได้บุญทั้งสองฝ่าย

  คนอุ้มบาตรให้น้องพี่เป็นคนอุ้มบาตรก็แล้วกันด้วยข้าถือว่าน้องเหมือน

น้องแท้ๆของข้าแหละเชียรเอ๋ยพ่อแม่ก็ตายไปตั้งนานแล้ว  ส่วนญาติต่างๆก็หนีหาย

กันไปหมด  ไปอยู่ทางกรุงเทพฯโน้นแนะผิดใจกันที่จะให้ข้าขายที่พ่อแม่สร้างไว้

        ข้าไม่ยอม พ่อแม่ยกให้แก่ข้าคนเดียว   ข้าไม่เอาจะเอาแค่นิดเดียวพอเพื่อทำกิน

เท่านั้น   ด้วยท่านดูออกว่าหาให้แก่พี่ๆน้องมันต้องนำไปขายแน่นอน

จึงแบ่งให้เท่าๆกันหมด  ก็จริงอย่างที่พ่อแม่ข้าคิดไว้ พวกมันขายที่เสียหมดแล้ว

มาขอทางข้าเพื่อทำทุน พวกเขาเอาแต่กินเล่นจะไปเหลืออะไรเล่า  พอนานๆเข้าก็

       มาหาข้าให้ช่วยขายที่ของข้า  ข้ากับแม่เย็นไม่ยอมจึงถึงขนาดตัดพี่ตัดน้องกันไป

ตั้งนานแล้ว หนีไปกรุงเทพหมดไม่รู้เป็นตายร้ายดีอะไร ข่าวก็ไม่เคยส่งมาอีกเลยล่ะ

   ข้าเองก็เหมือนพี่นั่นแหละ  เห็นพี่ครั้งแรกที่กุฎีหลวงพ่อก็ให้เกิดนึกรักใคร่

ชอบพอกันเหมือนดังว่าเราเคยทำบุญมาด้วยกันแหละ

     อ้าวๆๆๆอีหนูร้องไห้ทำไมหรือว่าอาทำให้เจ้าเสียใจหรือเปล่าน๊ะ

  พ่อเชียรหันไปทางสาวบงกชถามทันที  พ่อหวนทั้งแม่เย็นแม่เข็มก็หันไปมอง

รวมทั้งเจ้าชัยและเจ้าชวนด้วย

 

   เป็นอะไรไปหรือน้อง  แล้วร้องไห้ทำไมกันล่ะ 

 ขัดข้องหมองใจอะไรหรือเปล่า   

เจ้าชวนเอ่ยถามน้องสาวทันที

   พี่ชวนก็ฉันทำให้พ่อต้องเป็นกังวลใจเรื่องฉันอีกเวลาไปบวช

จิตใจก็จะคอยแต่กังวล  ส่วนชายอื่นๆนั้นฉันไม่มีหรอก

ด้วยไม่ได้สนใจอะไรกับใครเลยทั้งสิ้นจ๊ะพี่

และยิ่งมาได้ยินเรื่องของพ่อแม่อีกก็เลยสงสารพ่อแม่ที่ต้องทนลำบากเพื่อลูก

ก็เลยคิดจะทดแทนพระคุณท่านจ้าพี่

     หญิงสาวกล่าวแล้วก็ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากชายพกออกมาซับน้ำตา

   เรื่องนี้พ่อคงจะไม่คิดอะไรหรอก  เมื่อไม่มีคนอื่นก็ไม่เป็นไร

 หรือจะยังไม่คิดจะออกเรือนก็ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อแม่เราเป็นคนอย่างไร เอ็งก็รู้นี่นา

     เจ้าชวนพี่ชายปลอบน้อง พลางยกมือขึ้นลูบหลังน้องสาวมันเบาๆเหมือนให้กำลังใจ   

แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าหันไปทางพ่อทันที

   เรื่องแต่งงานนั้นเพื่อไม่ให้พ่อต้องกังวลจะให้แต่งกับใครก็ได้พ่อ  ที่หนูร้องไห้

มาคิดๆดูหนูเองคงเป็นบาปหากทำให้พ่อต้องกังวลต่อไปอีกจ๊ะ

     คราวนี้เล่นเอาพ่อเชียรพ่อหวนแม่เย็นแม่เข็มต่างหันไปมองหน้ากัน 

ส่วนเจ้าชัยก็สะดุ้งสุดตัวว่าเรื่องนั้นคงจะจบสิ้นไปแล้ว ซึ่งเจ้าชัยเองก็ทำใจได้

ด้วยมันเป็นคนที่รักพ่อแม่มากทุกๆอย่างปล่อยให้พ่อแม่จัดการทั้งสิ้น

เหมือนฟ้าผ่ากลางวงเมื่อได้ยินสาวเจ้ากล่าวเช่นนี้

 

   อ้าวๆๆๆๆ.....????........

พ่อเชียรกล่างได้แค่นั้นก็ชะงักไม่เอ่ยอะไรอีกเลย   ส่วนพ่อหวนก็หันไป

ทางลูกสาวทันทีเอ่ยว่า

   ก็ไม่เป็นไรหรอกลูกข้าเองทำใจได้แล้ว เพราะถึงอย่างไร

เจ้าชวนมันก็ปกปักรักษาได้ ทุกๆวันนี้มันอายุถึงปูนนี้ยังไม่สนใจสาวๆใดเลยล่ะ

  นอกจากมันจะคุยเล่นสนุกๆเท่านั้นเอง  ไม่ต้องห่วงพ่อหรอกลูก

   แต่ฉันรู้นะพ่อที่พ่อกล่าวปากกับใจไม่ตรงกันด้วยเป็นห่วงฉัน

 อีกอย่างหนึ่งหากฉันไม่แต่งงานพี่ชวน

ก็คงจะไม่ได้มีเมียกับเขา ด้วยนิสัยพี่ชวนข้ารู้ดีเขารักพ่อแม่และน้องมากๆ

กว่าเรื่องส่วนตัวเสียอีก

   ถ้าอย่างนั้น แล้วเอ็งจะว่าอย่างไร???.ล่ะลูก

   จ๊ะฉันยินยอมแต่งงานไม่ว่าจะเป็นพี่ชัยหรือพี่โชติใครก็ได้จ๊ะพ่อ

 ฉันมาไตร่ตรองแล้วทั้งสองเป็นคนดี

และดีกว่าคนอื่นๆในละแวกนี้เสียอีก  อีกอย่างหนึ่งพ่อเองจะได้ไม่ต้องกังวลใจ

ในการบวช พี่ชวนหรือก็สามารถดูแลแม่ได้ 

จะได้มีเมียสักทีและมาช่วยแม่อีกทางหนึ่งด้วย   หากมาห่วงแต่ฉันคนเดียว

   เอาล่ะพี่หวน เรื่องบวชไว้ก่อนก็แล้วกันเพราะตั้งเดือนหน้าแน๊ะ 

 เอาเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน ตกลงข้าขออีหนูให้แต่งกับเจ้าชัย พี่จะว่าอย่างไรล่ะ???...

 เรื่องจัดงานใหญ่โตเกรงว่าจะไม่ทันการณ์นะพี่ ด้วยเดือนหน้า

     หลวงพ่อท่านทำนายไว้ไม่ค่อยจะผิดพลาดมากนักอีกด้วยล่ะ

 

   เรื่องจัดงานแต่งพี่เองก็ไม่ชอบให้ใหญ่โตเหมือนกัน เห็นมามากแล้ว

แต่งเสียใหญ่โตอยู่กันได้ไม่นานก็ต้องเลิกร้างกันไป  คนที่แต่งงานไม่ใหญ่โตนัก

อยู่กันจนแก่เฒ่าเหมือนข้ากับแม่เย็น  จริงไหมล่ะแม่เย็น

       เล่นเอาแม่เย็นถึงกับสะดุ้งสุดตัว เพราะไม่คิดว่าพี่หวนจะเอาความจริงมาพูดในที่นี้

 ก็อ้อมแอ้มตอบว่า

   จริงจ๊ะพ่อเชียรเราสองก็แต่งงานตามประเพณีเท่านั้นหาได้ใหญ่โต

 มีผู้ใหญ่มาสู่ขอแล้วแค่ทำบุญเลี้ยงพระ  ชาวบ้านไม่ได้ออกการ์ดอะไรหรอก

เพียงแค่บอกคนสนิทๆเท่านั้นเองแหละจ้า

   ตามที่พี่หวนแม่เย็นกล่าวก็ตรงกับข้าเหมือนกัน ข้าเองกับแม่เข็ม

ก็ไม่ได้แต่งงานกันใหญ่โตตอนนั้น

ข้ามันยากจนทางแม่เข็มเขามีฐานะกว่าข้ามากนัก  แต่อาศัยข้าเองเป็นคนมุมานะ

เหมือนเจ้าชัยนี่แหละถึงได้มีวันนี้มา  และยังอยู่กันมาจนแก่เฒ่า

ถึงทุกวันนี้แหละแม่เย็น

       พ่อเชียรและแม่เข็มเอ่ยพร้อมๆกันเหมือนจะแย่งกันพูด

   คนเราไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรอก ความร่ำรวยมาสร้างที่หลังก็ได้ 

หากชายนั้นไม่กินเหล้าเมายาติดการพนัน มุ่งแต่ทำงานบุกเบิกคิดหาของใหม่ๆมาเสริม

 ทำตามพระบาทสมเด็จพ่อหลวงท่านที่ทรงวางรากฐานไว้ให้แล้ว

 ทำแบบอย่างที่พระองค์ทรงวางไว้  เช่นไร่สวนข้าเองก็ปลูกแบบท่านหมด  

 

      งานการบุกเบิกไร่นาสวนอาศัยพี่เชียรเขาหมั่นติดตามข่าวคราวเสมอๆๆ 

หาพันธุ์ต่างๆมาเพราะทดลองปลูกและชำไว้เพื่อจะได้ขายต่ออีกทางหนึ่ง

 ผลผลิตก็ดกลูกหรือก็ออกใหญ่จ้า

     จึงเก็บขายได้ทั้งปีอีกทั้งยังมีคนมาขอซื้อพันธุ์ไม้  ที่พี่เชียรแยกพันธุ์ผสมเองเพาะไว้

ล้วต่างมาซื่อไปในไร่ตนเองไปอีก   ก็ขายได้เป็นล่ำเป็นสัน ของในไร่สวนไม่เคยขาด 

ไม่ช้าเราสองก็มีฐานะกระเตื้องขึ้นมาเองจนถึงบัดนี้แหละจ้าแม่เย็น

   แม่เข็มเอ่ยให้ฟังแก่ทุกๆคน

   ใช่แล้วล่ะพี่หวนแม่เย็น  ข้าสองช่วยกันบุกเบิกส่วนไร่นาสวนนั้นข้าลงมือทำเอง

 แม่เข็มคอยให้กำลังใจแก่ข้า ช่วยเล็กๆน้อยๆแค่นี้  ข้าเองก็ชื่นใจแล้วล่ะ

          กล่าวจบก็หันไปหลิ่วตากับแม่เข็มทันที  เล่นเอาแม่เข็มขว้างชานหมาก

ใส่หน้าพ่อเชียรจนเลอะไปหมด แต่พ่อเชียรกับนิ่งเฉยพลางหัวร่อลั่นบ้านไปเสียอีก

      ทำเอาทุกๆคนหัวร่อกันลั่น  แม้แต่สาวบงกชเองก็หัวร่อขึ้นมาได้

 เมื่อได้ยินผู้ที่จะมาเป็นพ่อผัวแม่ผัวเอ่ยขึ้นเช่นนี้  ทำให้หล่อนคิดว่าอันความร่ำรวย

หากเราไม่ช่วยกันและกันก็ยากจะเอาตัวรอด  ยิ่งคิดถึงเจ้าชัย

มันก็เป็นคนมุมานะงานนัก ทุกวันนี้งานในไร่นาสวนมันก็ทำคนเดียว

 อาศัยพ่อก็เป็นบางครั้งอีกอย่างหนึ่งฐานะของพ่อเชียรและแม่เข็มตอนนี้ก็มั่งคั่งนัก

  ยิ่งคิดยิ่งเห็นความดีของครอบครัวนี้ด้วยถือเป็นกันเอง

ไม่ได้วางตัวหยิ่งยโสโอหังสักนิดว่าข้ามีเงินมากมายกายกอง

 ถึงมีเงินมีทองมากมายใครๆก็ดูไม่ออก  จนสะดุ้งเมื่อได้ยินพ่อเอ่ยขึ้น

   ถ้าอย่างนั้นลูกตกลงแต่งกับเจ้าชัยก็แล้วกันนะลูก

พ่อหวนเอ่ยขึ้นทันที  กลัวลูกสาวจะเปลี่ยนใจขึ้นมา

 

   ตามใจพ่อก็แล้วกันจะให้แต่งฉันก็แต่งตามพ่อต้องการก็แล้วกันจ๊ะพ่อ

หญิงสาวเอ่ยขึ้น

   งั้นแม่เข็มเข้าไปหยิบสร้องเพชรเส้นใหญ่มาหมั้นหนูบงกชก่อนก็แล้วกัน

 หากไม่เป็นปัญหาอาทิตย์หน้าก็แต่งงานกันเราจะได้แห่ขันหมากไปบ้านพี่หวน

   อ้อๆๆๆแล้วพี่หวนจะเรียกสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่ล่ะ

ข้าจะได้จัดการให้เรียบร้อยไม่อายใครๆเขา

   เรื่องสินสอดทองหมั้นนั้นข้าและแม่เย็นไม่เรียกร้องอะไรหรอกน้องเชียร

 เพียงแค่ขอให้รักเอ็นดูอีหนูเท่านั้นก็พอเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ

พ่อหวนเอ่ยตัดบท  ดีเหมือนกันอาทิตย์หน้าแต่งงานกันเสีย 

ส่วนขันหมากไม่ต้องใหญ่นะจะเอิกเกริกเกินไปนักนะ

เพียงเอาแค่เป็นขบวนแห่ก็แล้วกันไม่ต้องมีกลองยงกลองยาวดนตรี

อะไรหรอกเท่านั้นพอ  ทางข้าก็จะงานรับไว้ แต่ว่าต้องให้เจ้าชัยมาอยู่กับข้า

สักเดือนหนึ่งนะตามประเพณีตามปกติต้องปีหนึ่งแต่ไม่ล่ะ

ข้าขอเพียงเดือนเดียวก็พอ  แม่เย็นจะว่าอย่างไรไหมล่ะ????....

   ข้าเองก็ตามใจพี่หวนก็แล้วกัน  แต่งเสร็จครบกำหนดหนึ่งเดือน

ถึงให้ลูกเราไปอยู่บ้านเขาก็แล้วกันเรือนหงเรือนหอไม่ต้องก็ได้อยู่ที่บ้านนี้แหละ

บ้านหรือก็ใหญ่โตกว้างขวางอยู่แล้วล่ะ  ส่วนทางโน้นข้าไม่ต้องห่วงหรอกด้วย

มีเจ้าชวนคอยดูแลอยู่   พี่ไปบวชให้สบายใจได้แล้วล่ะนะแล้วข้าจะตามไปทีหลัง

 

   เรื่องนี้ข้าหมดห่วงแล้วล่ะ  แต่งานนี้เป็นห่วงแต่ พวกกำนันมั่นเท่านั้นเอง

ด้วยมันเคยมาขอลูกสาวเราไว้ก่อน แต่อีหนูไม่ยอมข้าก็เลยปฏิเสธไป ตอนนี้ข้า

ไม่มีตำแหน่งกำนันอีกแล้ว  เกรงว่ามันจะมารังควาญเท่านั้นเอง

     ด้วยตอนนี้ได้ข่าวว่ามันได้ประกันตัวออกมาด้วยแล้ว และทำให้พวกมันกำเริบ

เสิบสานกันใหญ่อีกด้วยล่ะ

   เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อหวนแม่เย็น  ข้ารับผิดชอบเองจ้าหากมีเรื่องก็

คงจะสนุกๆกันละคราวนี้ แต่งน้องทั้งทีให้รู้ไปว่า ระหว่างข้ากับกำนันมั่นไอ้แม้น

ใครจะเหนือกว่าใคร

    เสียงนั้นลอดเข้ามาทุกๆคนสะดุ้งหันไปมอง  ก็เห็นลูกชายคนโตของพ่อเชียร

แม่เย็นก้าวออกมาจากห้องพูดขึ้น แล้วเข้ามาร่วมนั่งสนทนาด้วย

พร้อมทั้งยกมือไหว้พ่อหวนอดีตกำนัน กับแม่เย็นทันที

   หากได้ยินพี่โชติกล่าวเช่นนี้ข้าเองก็หมดห่วง ถึงอย่างไรข้าเองก็ยังมีพวกอยู่

บ้าง   หากมันรังแกมาข้าก็ไม่ปล่อยมันหรอก พ่อแม่น้องสบายใจได้จ๊ะ

      เจ้าชวนก็เอ่ยขึ้นบ้าง พลางหันไปยกมือไหว้พี่โชติทันที  ชายหนุ่มรับไหว้ก็เอ่ยขึ้น

   นั่นซิน้องชวนก็ใช่เล่น ข้าเองก็รู้ทั้งหมดแล้วล่ะ  แต่ข้าเองทำเฉยๆไว้เท่านั้น

และยังสั่งเขาไม่ให้ติดตามผลงานเรื่องนี้      เพียงแต่ด้านกำนันมั่นเท่านั้นเอง

     คราวนี้เล่นเอาพ่อหวนแม่เย็นสาวบงกชถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆกัน  ทำไม

ชายหนุ่มถึงได้รู้เหตุการณ์ไปหมดทั้งๆที่  รู้เพียงว่าอยู่แค่ในบ้านเท่านั้นเองตามที่

หล่อนเคยสอบถามชาวบ้านที่ผ่านมาทางนี้เท่านั้น ว่าเคยเห็นลูกพ่อเชียรแม่เย็น

ที่ชื่อโชติบ้างไหมก็ไม่มีคนรู้จักเสียด้วย

     แต่นี่เขาถึงออกมารับผิดชอบเพียงผู้เดียวหากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกๆคนยิ่งสงสัยนัก

เพียงแต่ไม่กล้าสอบถามเท่านั้น

 

    ทั้งหมดนี้มีแต่พ่อเชียรแม่เข็มสองคนเท่านั้นที่รู้และเจ้าชัยพอระแคะระคายบ้างด้วย

ชายหนุ่มได้ฝึกปรือวิชาการต่อสู้ให้ทั้งปืนผาหน้าไม้ต่างๆจนมันชำนาญ เขาถึงได้หยุด

สอน...................

 

                   *  กิ่งโศก  * ผู้สานงาน				
25 มกราคม 2554 20:34 น.

อทิสมานกาย ๗๙

กิ่งโศก

พอชายหนุ่มเล่าเรื่องนรกภูมิจบแล้ว จึงหันไปถามพ่อเชียรแม่เข็มว่า

   คุณพ่อ???...คิดอย่างไรบ้าง??..ครับเรื่องสรวงสวรรค์ และนรกภูมิ

   พ่อเองก็เคยรับรู้มาจากหลวงพ่อทองเหมือนกันแต่ไม่ละเอียดเท่าไร

นักหรอกลูก เมื่อฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้ทำให้พ่อยิ่งสะพรึงกลัวในการทำบาป

เวรกรรมยิ่งขึ้น

   นั่นซิพี่เชียร  ฉันฟังลูกโชติพูดขึ้นเช่นนี้ยิ่งน่ากลัวใหญ่ ดีน๊ะที่พวกเรา

ยังไม่ได้ทำบาปเวรมากนัก  อ้อๆๆ..พี่   ในความเห็นของฉันว่าเรื่องหมูนั้น

เราเลี้ยงไว้ก็จริง ถึงจะไม่เคยฆ่ามันสักตัวเดียว แต่มันก็ต้องไปตาย เราเลิก

เลี้ยงมันจะดีไหมพี่???... เราหรือก็มีอันจะกินอยู่แล้วเฉพาะเรื่องไร่สวนก็

เหลือที่จะพอแล้วล่ะ

      แม่เข็มเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองหน้าผู้เป็นผัว

 

   นั่นซิพ่อ....ผมยิ่งฟังพี่โชติกล่าวเช่นนี้ชักจะกลัวๆขึ้นมาแล้วซิการรับฟัง

เกี่ยวกับนรกนั้นยิ่งน่ากลัวใหญ่อายุใช้เวรกรรมก็นานเสียด้วยซิน๊ะพ่อ

     เจ้าชัยเอ่ยขึ้นบ้างพลางหันไปทางแม่เข็ม

   ใช่ไหมแม่???... ที่แม่กล่าวผมก็เห็นดีด้วย เอาเนื้อที่มาปลูกผักครัวเรือน

ยังจะดีกว่านะ ผมคิดเช่นนั้น  ยังมีอีกเรื่องหนึ่งผมไปฟังว่าเวลาบวชพระนั้น

สงสัยเหมือนกันว่าทำไมบวชพระแล้วยังต้องไปตกนรกอีกด้วย

     แล้วเจ้าชัยก็หันหน้าไปมองทางพี่ชายมัน คล้ายจะสอบถามเรื่องพระนี้

   ข้าว่างวดนี้คงเป็นงวดสุดท้ายแล้วล่ะสำหรับเลี้ยงหมูจ๊ะแม่เข็ม  ข้านั้นคิด

ก่อนแม่เข็มเสียอีก ไปมองๆมันก็ให้เกิดสงสารแม้เราจะเลี้ยงมันอย่างดีก็ตาม

แต่ผลสุดท้ายเขาก็เอามันไปฆ่า รักนะข้ารักมันหรอกเลี้ยงมันรายได้ก็ดีเสียด้วย

เมื่อมารับฟังลูกโชติมันกล่าวเช่นนี้  เลิกนะข้าเลิกแน่นอนจ้าแม่เข็ม

   ดีแล้วจ๊ะพี่ ขายมันให้หมดเลยทั้งคอกนะ ถึงลูกเล็กๆก็ขายคนอื่นไปให้ราคา

ถูกๆก็แล้วกันเขาจะได้มาซื้อไปเลี้ยงอีกทีหนึ่ง ตอนที่ข้าไปงานเลี้ยงเขามาเขาเอา

หมูมาหัน มันทำให้กินไม่ลงมันเป็นลูกหมูเสียด้วยซิ พวกกินก็เลือกกินแต่หนัง

เท่านั้น  ข้าเคยถามว่าอ้าวแล้วทำไมเนื้อที่เขาสับมาให้มาไม่กินหรือ เขาบอกว่าไม่

กินหรอกมันเหม็นเขียวจ๊ะพี่

 

   คนเรานี่ก็แปลกนะแม่เข็ม ถึงแม้จะเป็นอาหารก็ควรจะให้มันโตๆก่อนแต่นี้มัน

ยังเล็กๆอยู่ก็ต้องมาตาย เวลาตายหรือก็แสนจะทรมานมันอีกด้วย เฮ่ออ???...เลิกนะ

ข้าเลิกแน่อาทิตย์หน้าคนเขาจะมาจับมันอีกแล้ว ข้าว่าจะยกลูกให้มันไปเลยไม่ต้อง

ไปตะเวณขายชาวบ้าน ได้เท่าไหร่ไม่ว่าหรอกดีไหมล่ะแม่เข็ม

   ดีเหมือนกันพี่ยกให้เขาไปเลย เขาจะเอาไปทำอะไรเรารู้ก็ทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกันบาป

คงจะมีไม่มากนักหรอกจ้า

       แล้วแม่เข็มก็หันไปทางลูกชายคนโตพลางเอ่ยว่า

   ที่เจ้าชัยมันพูดนั้น  ลูกพอจะรู้ไหมจ๊ะ???....

     ชายหนุ่มหันมาตอบในขณะที่กำลังกล่าวกับเจ้าแสงสีสินชัยเจ้าพ่วงเจ้าเริ่มอยู่

  เขาจึงตอบว่า

   พอจะรู้จ้าเพราะไปเห็นมาว่า พระก็ตกนรกเป็นล้วนเป็นขุมใหญ่เสียด้วยซิจ๊ะแม่

   ไหนๆลองเล่าให้พ่อฟังบ้างซิลูก????.......

     พ่อเชียรเอ่ยถามลูกชายทันที

 

     นั่นซิโชติ เจ้าเชัยเอ่ยเรื่องนี้พ่อเองก็สงสัยเหมือนกัน ทางวัดโคกอีแร้งนั้นก็เห็นพระ

ทุกๆองค์อยู่ในธรรมวินัยทั้งสิ้น  คงจะเป็นหลวงพ่อท่านเคี่ยวเข็นกระมังเลยไม่เห็นพระ

ที่ท่านปกครองผิดธรรมวินัย แม้แต่การเดินเหินไปไหนก็จะสำรวมกันทั้งนั้นนะ

    ชายหนุ่มก็หันมากกล่าวกับพ่อแม่เขาและเจ้าชัย พลางเอ่ยว่า

   การบวชเป็นพระนั้นดีนะดีครับคุณพ่อคุณแม่และน้องชัย หากทำถูกต้องธรรมวินัย

แล้วล้วนแต่ทางไปสุคติแน่นอน  แต่สมัยนี้พระที่บวชนั้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ด้วยไม่

ค่อยมีศรัทธานัก เรียกกันว่าบวชตามประเพณีเกือบทั้งสิ้น หรือไม่ก็หนีบวชด้วยกลัว

ความผิดที่ตัวเองทำลงไปเสียมาก

       น้อยคนนักจะบวชด้วยศรัทธาจึงถูกขนานนามว่าเป็นสมมุติสงฆ์ไป

 สมัยก่อนเขาเรียกพระว่าภิกขุ  อันคำนี้หมายถึงการขอหรือภิขาจาร

ต่อมาเขามาทำสังคายนาปาฏิโมกจึงเปลี่ยนเป็นพระภิกษุ 

หมายถึงการมองเห็นธรรมไป และพระที่ขาดทางธรรมวินัยจึงมักจะต้องอาบัติ

น้อยบ้างใหญ่บ้างก็ไม่ปลงอาบัตินั้นๆด้วยเห็นเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ 

 

   การปลงอาบัติหมายถึงการแจ้งให้ภิกษุที่แก่พรรษากว่าได้รับรู้ความผิดของตัวเอง

และปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำต่อไปที่พร้อมด้วย กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมด้วยครับ

  และยิ่งมาสมัยนี้วิชาอาคมเขามีไว้ก็เพื่อจะป้องกันพวกคุณไสย์ดำที่เรียนเพื่อ

จะได้แก้ไขช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ถูกคนไสย์อันพระรัตนตรัย

นั้นแม้จะสูงกว่าก็จริง พวกนี้จะไม่กลัวเกรง ก็เหมือนพวกอสูรร้ายกับยักษ์ ยักษ์นั้น

พวกยักษ์มักจะมีความนอบน้อมในพระรัตนตรัย ส่วนพวกอสูรนั้น

จะไม่ยอมรับความดีทั้งหลายด้วยเป็นพวกมิจฉาทิฐฐิครอบงำไว้มาก  ก็เหมือนคนเรานี่แหละ

ที่มีของดีของงามคือพระธรรมไว้ก็ไม่เอาไม่สนใจ ซ้ำบางทีก็จะทำลายเสียอีกเช่นกันจ้า

      พระที่บวชซึ่งคนเขาจะเคารพบูชาว่าเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยธรรมวินัยหาทาง

เพื่อหลุดพ้นทุกข์ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่มาร่ำเรียน

ทางนี้กลับหวังประโยชน์ส่วนตัวเพื่อความโลภ หากนำวิชานี้มาใช้เพื่อสร้างสาสนูปโภค

ทางพุทธศาสนาเช่นสร้าง โบสถ์  วิหาร  ศาลาและที่สลักหักพังซ่อมแซมไว้แล้วไม่เก็บเงินไว้

เป็นของตัวเองก็จะไม่ผิด  พระสมัยนี้จึงสร้างวัตถุมงคลขึ้นหวังแต่ความร่ำรวยเกิดความ

โลภะด้วยตัณหากิเลสครอบงำจึงเป็นเหตุให้ต้องลงไปสู่อบายภูมิ

     ผมไปพบมาพวกนี้จะนุ่งแต่ผ้าขี้ริ้วที่เหม็นสาง แต่ศีรษะโล้นแบบพระสงฆ์ครับ

 ผ้าที่นุ่งก็เหม็นสาบสางด้วยเป็นผ้าที่เขาใช้ห่อศพที่เน่าเปื่อยแต่ไม่ได้ซัก

 อันผ้านี้สมัยเป็นพระนั้นเขาเรียกว่าผ้ากาสาวพัตร หมายถึงผ้าที่มาจากการห่อศพ

ผ้านี้เขาใช้ห่อศพและผูกศพ  ที่เรียกว่าผ้ากาสังหรือผ้าตราสังนั่นแหละ

 

     พระพวกนี้ที่อยู่ในอบายมีมากเสียด้วย  และต้องโทษมากอีกด้วยเพราะเป็นผู้รู้เรื่อง

บาปบุญคุณโทษมาก  จึงมีการเปรียบเทียบกับทางมนุษย์โลกว่า พวกข้าราชการทั้งหมด

ถือว่าเป็นผู้รู้กฏหมายกว่าพวกที่ไม่ได้เป็นข้าราชการโทษจึงมากกว่าเป็นหลายเท่าครับ

และเมื่อมีการอุทรธ์หรือฎีกามักจะเจอโทษยืนตามชั้นต้น ส่วนพวกที่ไม่ใช่ข้าราชการ

นั้นก็ดำเนินไปตามกฏหมาย  ก็จะคล้ายๆกันนั่นแหละครับพ่อ

   อันพวกที่บวชเป็นพระนี้เขาเปรียบไว้ว่าเหมือนยืนบนปากเหวลึก  เท้าข้างหนึ่งอยู่บน

สวรรค์อีกข้างหนึ่งริมเหวตกไปยังนรกภูมิ 

 หากคนจะบวชถ้าไม่ศรัทธามั่นคงจริงไม่ควรจะบวช   ด้วยจิตใจไม่พร้อมย่อมไปอบายภูมิ

 เพราะจะต้องหมายถึงไปนรกครึ่งหนึ่งสวรรค์ครึ่งหนึ่งครับ

    ด้วยธรรมวินัยมีข้อปฏิบัติมากมายนักมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อเป็นวัตรในการปฏิบัติ 

ส่วนเณรนั้นมีแค่ ๑๐ ข้อ   อุปาสกอุบาสิกานั้นมีเพียงแค่ ๘ ข้อ 

ส่วนคนธรรมดาจะมีเพียงแค่ ๕ ข้อเท่านั้น

 

      อันพระธรรมวินัยของพระนั้นจะมีถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ให้ต้องเรียนรู้

ให้มากที่สุดจะมากได้จะล่วงเกินไม่ได้สักน้อยนิด   หากล่วงเกินนั้นก็จะจมลงไปอีก

 คล้ายๆดังพระเทวทัตนั่นเองที่จะสร้างกฏเกณฑ์เพื่อให้เขาเกิดนับถือตนเองเป็นใหญ่

มากกว่าพระพุทธเจ้าเป็นต้นครับพ่อ   ฉะนั้นพระที่ทุศีลเหล่านี้จึงต้องลงไปในอบายภูมิ

มากน้อยองค์นักที่จะเอาตัวรอดไปได้     หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว

     ร้อยละ ๗๐  ๘๐ มักจะลงไปสู่อบายภูมิเสียเป็นส่วนมากตามแต่กรรมที่ก่อสร้างไว้ 

หากอาบัติเล็กๆน้อยๆนี้เก็บสะสมมากเข้า  ก็จะไปทำลายสภาพแห่งจิตใจจนเกิด

เป็นความชินชาตอนแรกจะรู้สึกอับอายที่ตนเองผิดพอนานๆเข้าก็จะชินชาไม่เกรงกลัว

แล้วเกิดเป็นนิสัยสันดานขึ้นหาเกรงกลัวต่อบาปกรรม

จึงต้องลงไปสู่อบายภูมิเป็นส่วนมากครับพ่อ

       แล้วชายหนุ่มก็หันไปทางเจ้าชัย  พลางถามว่า

   ตอนนี้น้องเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าเหตุใดพระถึงได้ตกนรกได้ก็ด้วยเหตุนี้เองแหละน้อง

   ผมได้ฟังพี่อธิบายทำให้ผมยิ่งเกรงกลัวเวรกรรมมากครับพี่  หากผมจะบวชเห็นทีต้อง

ศึกษาพระธรรมให้แจ่มแจ้งก่อนแล้วจนบังเกิดจิตศรัทธามากๆครับพี่

   สำหรับเจ้าไม่ต้องถึงเพียงนั้นหรอกชัยเอ๋ย ด้วยพี่เองก็สอนเรื่องสมาธิให้แก่เจ้าด้วยแล้ว

อันการเจริญสมาธินี้     ผลคือให้จิตใจเกิดความมั่นคงแข็งแรงขึ้น เพื่อจะได้มีสติในการ

พิจารณาความดีความชั่วนั่นเอง ด้วยสมาธินี่ก็คือการรวมพลังงานแห่งจิตใจเราให้เข้มแข็ง

จนเกิดพลานุภาพในการจะทำงานใดๆ    หากใช้ในทางที่ถูกที่ควรก็จะเป็นประโยชน์แก่เรา

หากใช้ในทางที่ผิดก็เกิดโทษแก่เรา    ดังมีดที่มีคมทั้งสองด้านนั่นแหละน้องรัก

 

     ครับพี่ .....  ผมจะได้หมั่นเจริญสมาธิตั้งแต่พี่สอนผมมาทำให้ผมรู้สึกว่าร่างกาย

ไม่ค่อยจะอ่อนล้าเท่าไหร่นัก กลับทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกมากด้วย 

สงสัยจะเหมือนดังที่พี่กล่าวไว้นั่นเองครับ

 เวลาผมขุดดินผมจะตั้งมั่นไว้ที่จอบและดินก็คล้ายๆจะเกิดพลังงานส่งผลให้งาน

นั้นเสร็จเร็วและไม่ค่อยเหนื่อยครับ

   นั่นแหละคือพลังงานจากจิตใจที่จดจ่อกับสติรวมตัวกันขึ้น จึงเกิดการลืมความอ่อนล้า

ไปเพราะจิตใจน้องมุ่งอยู่กับดินและจอบนั่นเองล่ะ

   ครับขอบคุณพี่มากครับ ที่ทำให้ตาและใจผมกระจ่างขึ้นอีกมากที่พี่แก้ความสงสัยให้

แก่ผมครับพี่

   ไม่เป็นไรหรอกน้อง ด้วยมันเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติที่สรรค์ให้แก่ทุกๆคน ว่าจะเอา

มาใช้ได้ถูกหนทางหรือไม่เท่านั้น    แต่น้องพี่ใช้ในทางที่ถูกหนทางจึงเป็นดังนี้แหละ

   ครับผมจะต้องฝึกสมาธิให้มากๆด้วยครับ บอกพี่ตรงๆได้ยินพี่เล่ามานี้

ทำให้ผมเมื่อก่อนนี้จะทำอะไรก็มักจะไม่เคยคิดเกรงกลัวอะไร

 ทั้งบาปบุญคุณโทษ     แต่ฟังแล้วก็ให้มีสติเกิด

แยกแยะออกขึ้นมาเองครับ

       เจ้าชัยเอ่ยให้พี่ชายมันพัง  ส่วนพ่อเชียรแม่เข็มก็อดที่

จะยิ้มและหัวร่อเสียไม่ได้เมื่อได้ยินเจ้าชัยกล่าวเช่นนี้ 

ทำให้ทั้งสองต่างคนต่างคิดแต่ก็มาในทางเดียวกันคือพี่ชายมันสั่งสนอน้อง

มันให้ทำแต่ความดี   หากคิดดีทำดีอนาคตของมันย่อมจะมั่นคง  ไม่คิดในสิ่งเลวร้ายไป    

 

     ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกจากหน้าบ้านขึ้น เรียกพ่อเชียรดังขึ้น  ดังนั้นทั้งสามคนจึงบอก

ลูกชายทันทีว่ามีคนมาเรียกพ่อไม่รู้เป็นใครกัน ด้วยพ่อเองก็ไม่ค่อยจะได้วิสาสะอะไรกับ

ชาวบ้านมากนัก    แม่นางอัปสรรัตนาวดีก็พลันเอ่ยขึ้นว่า

   กำนันหวนแม่เย็นและลูกมาเรียกจ้า

   หรือ งั้นขอบใจแม่นางด้วยนะ  ขอตัวไปก่อนล่ะ

        พลางหันหน้าไปทางเมียและลูกพยักหน้าให้รู้ ว่าสมควรออกไปได้แล้ว

เมื่อออกจากห้องแล้วทั้งสามคน  เจ้าชัยก็รีบลงจากบ้านไปเปิดประตูรับ

กำนันหวนและพวกทันที 

 ครั้นเมื่อทั้งหมดมานั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วและต่างทักทายกันดุจเครือญาติกัน

  สาวชบาก็รีบไปนำน้ำมาให้แก่คนทั้งหลายแล้ว   ก็รีบถอยหลังกลับไป

   พี่หวนมีอะไรหรือ ถึงได้มาถึงบ้านน้องล่ะ  

พ่อเชียรเอ่ยทักขึ้นทันที

   อ้อ....พี่มาบอกน้องว่าพี่ได้ไปลาออกจากกำนันเรียบร้อยแล้วล่ะ  และวางกำหนดเวลาบวช

ไว้  เพื่อจะชวนน้องไปร่วมงานบวชพี่ด้วย  จึงต้องมาด้วยตนเองเสียดายๆๆอย่างหนึ่ง

พ่อกำนันหวนเอ่ยขึ้น

   อ้าวมีเรื่องอะไรบอกน้องได้นา  หากน้องช่วยได้ก็จะรีบช่วยไม่อยากให้พี่เวลาไปบวชจะได้

ไม่ต้องกังวลใจ จะได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมพี่  ข้าเองหรือระยะนี้

ก็ไม่ค่อยมีอะไรจะทำอยู่ด้วยล่ะ  พี่พูดมาได้เลยว่าจะให้น้องช่วยอะไรได้บ้าง

พ่อเชียรเอ่ยกับกำนันหวนและพวกให้ฟัง

 

   ก็เรื่องแม่บงกชลูกสาวพี่เองแหละ ที่ทำใจไม่ได้สักที    

ก็ด้วยเหตุนี้แหละที่พี่กังวลมาก ถึงจะมีเจ้าชวนอยู่ดูแลก็เหมือนกัน

 ส่วนแม่เย็นหรือเขาก็คิดจะออกบวชไปอีกแล้ว   แต่ข้อนั้นไม่มีปัญหาหรอก

เพียงบวชชีแล้วก็กลับมาอยู่ที่บ้านดังเดิม  ที่ห่วงก็เรื่องอีหนูเท่านั้นแหละน้อง

    พ่อกำนันหวนซึ่งบัดนี้เป็นอดีตกำนันไปแล้วกล่าวขึ้นให้ฟัง

  ทันใดนั้นพ่อเชียรได้ยินคำพูดของพี่กำนันก็คิดได้  หรืออาจจะมีสิ่งที่แฝงในใจ

ก็คิดที่จะช่วยเหลือทันที  จึงเอ่ยปากว่า

    อ้อๆๆเรื่องนี้เองหรือ  ข้าเองบอกพี่ตรงๆนะว่าไอ้ชัยลูกข้านั้นมันยังเป็นโสด

 ว่าจะหาผู้หญิงให้มันสักคน    ตัวข้าเองหรือก็แก่แล้วก็อยากจะมีหลาน

อุ้มสักคนสองสามคนไว้แก้เหงา      ข้ามองสาวๆไปทุกแห่งที่แล้ว 

 พบแต่หนูบงกชนี่แหละแต่ไม่กล้าเอ่ยปากกับพี่  ด้วยพึ่งจะมักคุ้นไม่เท่าไหร่หากเป็น

เรื่องนี้ที่พี่กังวล หากไม่รังเกียจครอบครัวน้องล่ะ

  ก็จะใคร่กล่าวเสียวันนี้เลยว่าอยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกับพี่เหมือนกัน

 

     แต่เกรงใจพี่เท่านั้นเอง  ครั้นได้ยินพี่กล่าวเช่นนี้ อีกอย่างหนึ่งข้าก็คิดเหมือนกัน

ว่าจะให้แม่เข็มเขาไปพูดจาเรื่องนี้สักที แต่ยังหาโอกาสไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งกลัวพี่

จะรังเกียจครอบครัวข้าเอง ด้วยพึงคบกันมา

  วันนี้พี่มาครบก็ดีแล้ว ข้าจะขอเอ่ยปากสู่ขอแม่หนูบงกชเสียเลย แล้ว

พี่จะเป็นเป็นประการใด  บอกตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อมหรอกว่าจะได้หรือไม่เท่านั้นเอง

เพราะเป็นเรื่องใหญ่มากๆ จะบังคับเคี่ยวเข็นหรือก็ไม่ดีนักอยากให้พี่สอบถาม

แม่หนูบงกชให้เรียบร้อยเสียก่อน   ส่วนทางข้างนั้นหากหนูบงกชยินยอมไม่รังเกียจ

ก็ถือว่าวันนี้เป็นวันดี  ก็จะขอหมั้นเป็นทางการเสียก่อนถึงแม้จะไม่มีคนมาเป็น

พยานก็ตามเถอะ  ถือว่าเป็นการจองไว้จะเปลี่ยนใจอย่างไรตามใจพี่ก็แล้วกันนะ

     พ่อเชียรอันที่จริงก็ไม่จำเป็นนักแต่ด้วยคิดจะสร้างกุศลช่วยเหลือกำนันอีกทางหนึ่ง

เด็กบงกชนี้ก็ไม่เลวนักสวยก็ถือว่างามที่สุดในถิ่นละแวกนี้   อุปนิสัยสืบมาแล้วล้วนแต่

เป็นกุลสตรีงานเหย้างานเรือนหรือก็เพียบพร้อมทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

      สังเกตุเห็นเจ้าชัยก็มักจะชะม้อยตามองด้วย คงจะเกิดความชอบตามวิสัยชายหนุ่ม

  และอีกอย่างหนึ่งนั้นสาวชบานั้นตัวเองคิดจะมอบให้แก่เจ้าโชติในอนาคตแก่

มันด้วย      ครั้งนี้เหมือนยิงนกทีเดียวได้สองตัวเลยก็อาจจะว่าได้ จึงได้เอ่ยเช่นนี้

   จริงซิพ่อหวนแม่เย็น ข้าเองก็คิดที่จะสู่ขอแม่หนูมาเป็นสะไภ้ของข้าเหมือนกัน

ปรึกษากับพี่เชียรแล้ว  พี่เขาบอกว่าอาจจะเร็วไปจึงคอยจังหวะว่าจะไปหาแม่เย็นนะ

     แม่เข็มเอ่ยสนับสนุนผัวตัวเองทันทีด้วยความคิดเช่นเดียวกับผัวตัวเองเหมือนกัน

 

     ครั้นพ่อหวนแม่เย็นได้รับฟังเช่นนี้ก็ให้ลิงโลดในใจ    แต่เป็นฝ่ายหญิง

ครั้นจะเอ่ยหรือก็ไม่งามนัก    จึงเอ่ยขึ้นว่า

   น้องเชียรไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก เราก็เคยเอ่ยกันแล้วว่าจะรักใคร่ปรองดองกัน

เสมือนเป็นญาติพี่น้อง     หากเป็นความประสงค์ของน้อง 

 พี่มีหรือจะไม่ยอมยกให้แต่พี่เป็นฝ่ายหญิง     น้องก็คงจะรู้ๆนะ

   ในเมื่อพี่กล่าวเช่นนี้  ข้าขอกราบพี่เสียเลยที่พี่มีความกรุณาแก่ครอบครัวของข้า

ว่าแล้วพ่อเชียรก็ก้มลงจะกราบ  แต่ถูกพ่อหวนรีบคว้าตัวไว้ก่อนทันควัน 

 ส่วนเจ้าชวนถึงกลับยิ้มแก้มตุ๋ย   ด้วยมันอ่านความในใจของพ่อเชียรแม่เข็มและพ่อแม่มันออก

อีกอย่างหนึ่งหากสองครอบครัวสัมพันธ์กันดี  พ่อมันก็หมดห่วงจะได้เต็มต่อการบวช และเจ้า

ชัยหรือมันได้ข่าวคราวเสมอๆว่า    เป็นคนขยันหมั่นเพียรและสู้คนคงปกป้องน้องมันได้

     ส่วนแม่สาวบงกชถึงกลับก้มหน้มเหนียมอาย เมื่อได้ยินผู้ใหญ่กล่าวเช่นนี้  

ไม่ว่าจะเป็นชัยหรือ โชติหล่อนย่อมไม่ขัดข้องเสมอ แม้ใจนั้นจะมุ่งไปทาง โชติ ก็ตามที

ส่วนชัยหรือก็ไม่เลวนักในสายตาหล่อน ขยันหรือก็ขยัน หนักเอาเบาสู้ตลอดมา

     พ่อหวนก็หันมาทางลูกสาวทันที เอ่ยว่า

   แล้วหนูกชล่ะ???....จะเห็นเป็นประการใดที่พ่อเชียรเขากล่าวเช่นนี้นะ.............

 

                              *  กิ่งโศก  * ผู้นำมาลง				
24 มกราคม 2554 15:12 น.

อทิสมานกาย ๗๘

กิ่งโศก

ชายหนุ่มหันไปยกมือไหว้พ่อเชียรแม่เข็มแล้วก็หันไปทางเจ้าชัย ซึ่งทั้งหมด

ต่างเข้ามานั่งเพื่อฟังเรื่องราวของนรกต่อไป ด้วยทั้งหมดได้ฟังเกี่ยวกับดินแดน

สรวงสวรรค์มาแล้ว  แล้วชายหนุ่มก็ต้องหันไปทางแม่นางเทพอัปสรทั้งสอง

ทันที   เมื่อได้ยินแม่นางเทพอัปสรรัตนาวดีพลันเอ่ยถามขึ้นว่า

   แต่ทำไมน้องเองถึงไม่ได้ผ่านดินแดนแห่งนี้เลยล่ะจ๊ะพี่???...

    ชายหนุ่มหันไปยิ้มตอบแล้วก็เอ่ยให้แม่นางเทพอัปสรฟังว่า

   ทุกๆรูปนามนั้นต้องผ่านดินแดนนี้ทั้งสิ้นจะยกเว้นก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้ฌานสมาบัติ

ถึงขั้นตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปถึงจะไม่ต้องผ่านดินแดนแห่งนี้จ๊ะ  เหตุด้วยน้องเมื่อ

ยามดับขันธ์ลงนั้นไม่ได้ฌานสมาบัติใดๆ 

       มีแต่ทานที่สร้างด้วยกุศลกรรมมากๆไว้   ฉะนั้นจึงต้องไปสู่ยังดินแดนแห่งนี้ 

แต่เนื่องจากสัญญาการถูกปรุงแต่งโดยสังขารนั้นดับไปแล้ว จึงจำความไม่ได้ 

 อันที่จริงน้องพี่นั้นต้องสู่ยังชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างน้อย 

แต่ด้วยน้องเองก่อนจะสิ้นชีพลงนั้นติดอยู่ในสัญญาของแรงอธิษฐานไว้นั่นเอง

     เมื่อแรงอธิษฐานที่ทุกๆครั้งสร้างบุญกุศลต่างๆนั้นน้องได้ตั้งจิตแน่วแน่มั่นคงไว้ใน

การอธิษฐานจิตทุกๆครั้ง   กุศลที่สำคัญคือการสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสาริกธาตุไว้

แล้วอธิษฐานจิตไว้จึงทำให้น้อง ซึ่งมีวิมานอยู่แล้วไม่สามารถจะเข้าไปอยู่ได้ จึงจำเป็น

ต้องไปผุดในตักของท่านท้าวมหาราชในชั้นจาตุม เพื่อรอคอยสิ่งที่น้องปรารถนาไว้

หากประสบผลสมฤทธิ์เมื่อใด นั่นแหละถึงจะไปยังวิมานในชั้นดาวดึงส์ได้จ๊ะน้อง

     

     แล้วชายหนุ่มก็หันไปทางเทพอัปสรอ้อยวิลาวัลย์ซึ่งกำลังจะเอ่ยปากถามก็ชิงตอบ

เสียก่อนว่า

   อันแม่นางอ้อยวิลาวัลย์ก็เหมือนกันจะมีลักษณะคล้ายๆกันผิดกันก็คือ น้องอ้อยนั้น

สิ้นชีพก่อนอายุขัยอายุจะถึงวาระดับไป  จึงกลายเป็นสัมภเวสีแต่อาศัยมีจิตใจที่งดงาม

ได้รับการอบรมศีลธรรมจากหลวงพ่อทองไว้ แล้วยังคอยบำรุงรักษาเสนาสนะ โบสถ์

วิหาร ศาลาภายในวัดมิให้ถูกทำลายพร้อมเจ้าจุก

      แต่ครั้นน้องได้ติดตามพี่มาได้รับการฝึกอบรมด้านสมาธิเพิ่มขึ้นหมั่นเพียร

ฝึกสมาธิจนได้ฌานสมาบัติบรรลุธรรมวิเศษจนถึงขั้นอนาคามีไปแล้ว 

จึงแปรสภาพจากสัมภเวสีไปเป็นอทิสมานกายไปแต่ด้วย

มีปัจจัยเหมือนกับแม่น้องนางรัตนาวดีเช่นกัน คือยังติดในโมหะอยู่บ้าง คือด้านความรัก

อันเป็นบ่อเกิดให้ต้องมิอาจจะไปสู่ภพภูมิใหม่ได้  

     บุคคลใดก็ตามหากได้บรรลุธรรมชั้นตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจะปิดกั้นทางแห่งดินแดนนี้

ได้อย่างสนิท แต่ก็ยังอยู่ในโลกียะธรรมของกามารมณ์อยู่มากบ้างน้อยบ้างไป ด้วยยังไม่

ได้บรรลุพระอรหัตผลที่ตัดขาดสิ้นอาสวะกิเลสน้อยใหญ่   ดังนั้นหากประมาทพลั้งเผลอ

ไปชั่วขณะจิตหนึ่งก็อาจต้องเข้าสู่ดินแดนนี้ได้เช่นเดียวกัน ส่วนเจ้าแสงสี สินชัย เจ้าพ่วง

และเจ้าเริ่มก็เช่นเดียวกันพึงยังอยู่ในฌานขั้นต้นๆ  

      เว้นแต่เจ้าแสงสี สินชัยที่ก้าวล่วงผ่านไปถึงขั้นสกทาคามีไปแล้ว

 แต่ก็ต้องมีสติอย่าได้ประมาทเช่นเดียวกัน    เจ้าทั้งสี่นี้ได้ปิดประตูแห่งดินแดนนี้

ไปแล้ว จึงขอให้พยายามหมั่นฝึกฝนสมาธิให้มากๆเข้า  กรรมที่เคย

มีมาจะได้ตามไม่ทัน เวลาออกจากสมาธิให้อธิษฐานแผ่กุศลแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงและ

บรรดากรรมที่เคยล่วงเกินมาด้วยก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะแก้ไขบาปอันนั้นได้ นอกจาก

ทางนี้แล้วไม่มีทางอื่นใดๆทั้งสิ้น

   

   ด้วยแรงแห่งการอธิษฐานจิตในขณะที่ยังอยู่ในขั้นอุปาจาระสมาธิมีพลังงานอานุภาพมาก

ด้วยเป็นเขตเชื่อมต่อของฌานทั้งหมด ขอให้พวกเจ้าจงจำไว้ด้วย  ทุกเวลานาทีให้มีสติหมั่น

ตรวจตราสมาธิเอาไว้ให้เป็นอารมณ์ให้จงได้ ยามจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยการเกิดดับ

ก็จะมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะนำทางแก่พวกเจ้าไว้ จงจำให้ดีๆ 

     เอาล่ะข้าจะขอเล่าเรื่องของดินแดนนรกภูมิให้พวกเจ้า แม่นางเทพอัปสรทั้งสอง

 ตลอดพ่อแม่และน้องฟัง    จากการได้รับรู้มาว่า  อันขุมนรกน้อยใหญ่นี้นั้นซึ่งอยู่

ในขั้นกรรมหนักเบาแตกต่างกันจำแนกในโลกนี้ได้แปดขุมนรก  

และอีกหนึ่งขุมนรกที่เกาะเกี่ยวกับจักรวาลไว้ดังนี้

 

      ขุมที่ ๑ ชื่อ สัญชีวมหานรก คือ นรกที่ไม่มีวันตาย 

สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลเอาดาบนรกฟาดฟันกายให้ขาดเป็นท่อนๆ

 บางที ก็เอามีด เอาขวานมาถาก เฉือนเนื้อทีละน้อยๆ จนสิ้นใจตาย

 ทันใดนั้นเองก็มีลมกรรมพัดโชยมาถูกต้ องกาย 

ให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นสัตว์นรกเหมือนเดิมอีก 

นายนิรยบาลเห็นดังนั้น ก็จะลงโทษให้ได้รับความเจ็บปวด

จนกระทั่งถึงตายอีก รับกรรมอยู่อย่างนี้นานถึง ๕๐๐ ปีนรก 

ขุมที่ ๒ ชื่อ กาฬสุตตนรก เป็นนรกด้ายดำ นายนิรยบาล จะเอาเส้นด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างกายของสัตว์นรก 

ที่จับให้นอนบนแผ่นเหล็กแดงที่ร้อนระอุ แล้วเอาเลื่อยมาเลื่อย เอาขวานมาผ่า

 หรือเอามีดมาตัดตามเส้นที่ตีเอาไว้ แม้จะดิ้นทุรน-ทุรายอย่างไรก็ไม่หลุด

 ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก สัตว์นรกจะถูกเลื่อยตัดร่างกายจนตาย 

แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ทรมานอยู่อย่างนี้ จนกว่าสัตว์นรกจะหมดกรรม

 ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง๑,๐๐๐ ปีนรก 

มหานรกขุมที่ ๓ ชื่อ สังฆาฎนรก หมายถึงนรกที่ถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกาย

ให้ได้รับ ทุขเวทนาอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกขุมนี้มีรูปร่างหน้าตาประหลาด 

บางตนมีหน้าเป็นวัวแต่ ตัวเป็นมนุษย์ หรือหน้าเป็นมนุษย์แต่ตัวเป็นช้าง

 เป็นเสือสัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลเอาโซ่เหล็กร้อนระอุมัดคอเอาไว้

 ฉุดกระชากลากมาลากไป แล้วเอาค้อนเหล็กทุบกระหน่ำลงบนศีรษะ

 ร่างกายก็ป่นปี้จนกระดูกแหลกละเอียด พอตายแล้วก็มี

 ลมกรรมพัดมาให้ฟื้นคืนชีพอีก ต้องใช้กรรมอย่างนี้นานถึง ๒,๐๐๐ ปีนรก

       ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ ไร้ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ 

ชอบทำการทารุณเบียดเบียนผู้อื่น

นรกขุมที่ ๔ คือ โรรุวนรก ที่ได้ชื่ออย่างนี้เพราะเต็มไปด้วยเสียงร้อง

ระงมครวญครางอย่างน่าเวทนา ศีรษะ มือ เท้าของสัตว์นรก 

จมลงไปในดอกบัวเหล็ก นอนคว่ำหน้า เปลวไฟก็เผาไหม้ดอกบัวเหล็ก

พร้อมกับสัตว์นรก จะตายก็ไม่ตาย ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น

จนหมด ๔,๐๐๐ ปีนรก 

 

เพราะในอดีตชอบนำสัตว์มาทรมาน หรือเคยเป็นตุลาการผู้พิพากษา

ที่ตัดสินคดีความโดยขาดความยุติธรรม หรือเป็นเพราะ

ไปลักขโมยสมบัติของพระศาสนา 

ขุมที่ ๕ คือ มหาโรรุวนรก คล้ายๆ กับนรกขุมที่ ๔ 

แต่มีเสียงร้องครวญครางมากกว่า ได้รับทุกข์ทรมานมากกว่าสัตว์ในขุมนี้

ต้องเข้าไปยืนในดอกบัวเหล็กที่คมกริบ มิหนำซ้ำยังร้อนแรง

ด้วยไฟนรกอีกด้วย เผาไหม้สัตว์ตั้งแต่เท้าจนถึงศีรษะเปลวไฟ

เข้าไปในทวารทั้ง ๙ จะตายก็ไม่ตาย 

ได้รับทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นนานถึง ๘,๐๐๐ ปีนรก 

 

เพราะกรรมในอดีตได้ตัด ศีรษะสัตว์และมนุษย์เอาไว้มาก 

ทำโจรกรรมด้วยความอาฆาตพยาบาท ปล้นสมบัติในพระศาสนา

 ปล้นทรัพย์สินของผู้มีพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และผู้ทรงศีลทั้งหลาย

ขุมที่ ๖ คือ ตาปนรก สัตว์นรกจะได้รับความเร่าร้อน อย่างน่าเว ทนา

 เพราะถูกหลาวเหล็กที่ร้อนโชติช่วงด้วยเปลวไฟเสียบแทงสัตว์ทั้งหลายไว้

 และยังมีสุนัขนรกตัวใหญ่เท่าช้างสาร รุมทึ้งจนเหลือแต่กระดูก 

ชดใช้กรรมอยู่อย่างนี้ถึง ๑๖,๐๐๐ ปีนรก 

ขุมที่ ๗ คือ มหาตาปนรก เป็นขุมที่สัตว์นรกได้รับความเร่าร้อนเหลือประมาณ

 ด้วยการถูกบังคับให้ขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่ร้อนลุกเป็นไฟ 

แล้วถูกลมกรดที่ร้อนแรงพัดกระหน่ำสัตว์ให้ตกลงมาข้างล่าง

 ซึ่งมีขวากหนามเหล็กที่ร้อนแดงด้วยไฟนรก ปักเรียงรายอยู่ 

เสียบทะลุร่างกาย ดูแล้วน่าหวาดเสียวสยดสยองต้องทนทรมาน

อย่างนี้ถึงครึ่งอันตรกัป การนับเวลาจากที่มนุษย์ อายุยืนเป็นอสงไขย

แล้วถอยลงเหลืออายุ ๑๐ ปี แล้วกลับอายุยืนขึ้นไปถึงอสงไขยนั้น

นับเป็นเวลาเป็น ๑ อันตรกัป ฉะนั้นครึ่งอันตรกัป ก็ถือว่ายาวนานมากทีเดียว 

ขุมสุดท้าย คือ อเวจีมหานรก เป็นนรกที่สัตว์ถูกทรมาน 

โดยไม่มีการหยุดพักเลย อยู่ลึกที่สุดและเสวยวิบากกรรมยาวนานที่สุด

ถึง ๑ อันตรกัป กรรมที่ทำให้เกิดในขุมนี้ เพราะทำอนันตริยกรรมเอาไว้

 ตั้งแต่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จนห้อพระโลหิต และทำลายสงฆ์ ให้แตกกัน 

นอกจากนี้ยังมี โลกันตนรก สำหรับผู้ที่ทำกรรมชั่วมากเป็นพิเศษ เช่นเป็นนิยตมิจฉาทิฎฐิ นรกขุมนี้จะอยู่เลย ๓ เท่า ของภพ ๓ จากปากจักรวาล ตรงนั้นจะมีความมืดมนอนธการ ไม่มีแสงเดือนแสงดาวให้เห็น มืดสนิท และเย็นยะเยือก 

โลกันตนรก คือ นรกที่อยู่สุดโลกสุดจักรวาล จะเห็นแสงสว่าง

ก็ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก แสงสว่างแห่งพุทธธรรม

จะโชติช่วงไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างไปถึงโลกันตนรก 

ขุมนรกร้อนที่สุดไม่มีที่ไหนเกินอเวจีมหานรก แต่ถ้าเย็นที่สุดคือโลกันตนรก

 ซึ่งสัตว์นรกในขุมนี้มีรูปร่างใหญ่โตมากเล็บมือเล็บเท้ายาวเฟื้อย 

ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ที่ขอบจักรวาล ห้อยโหนตัวไปมาเหมือนค้างคาว

ห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้ ห้อยโหน ไปก็บ่นเพ้อรำพึงรำพันกับตัวเองว่า 

" ทำไมเราถึงมาทนทุกข์ ทรมานอยู่ที่นี่คนเดียวหนอ "

 เพราะมืดสนิทจนไม่เห็นสัตว์นรกที่อยู่ใกล้ๆ แม้คว้าไปถูกมือเพื่อน

ซึ่งเป็นสัตว์นรกด้วยกัน ก็สำคัญผิดว่าเป็นอาหาร 

ต่างคนต่างกัดกินเลือดกินเนื้อกัน จนพลัด ตกลงไปข้างล่าง

ที่เป็นทะเลน้ำกรด ร่างกายสัตว์นรกจะถูก น้ำกรดกัด

จนเปื่อยแหลกเหลวไปทันที 

สัตว์นรกศีรษะเละ แล้วเจ้าหน้าที่เอาน้ำกรดร้อนราดลง

ไปบนตัวของสัตว์นรกจนละลาย เมื่อ สัตว์นรกดังกล่าวสิ้นใจตาย

ก็กลับมาเกิดเป็นสัตว์ นรกอีก ต่างรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้น

ไปเกาะขอบจักรวาลตามเดิมทนทรมานอยู่อย่างนี้ 

จนกว่าจะครบช่วงหนึ่งพุทธันดร 

ที่เป็นเช่นนี้เพราะทำกรรมบาปหยาบ ช้า มีความเห็นผิด 

อกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นผู้มีดวงใจมืดบอด 

ใครทำคุณด้วยก็มองไม่เห็น แถมยังทำร้ายผู้ทรงศีล 

ด้วยอำนาจกรรมนี้ ทำให้ต้องมาอยู่ในสถานที่อันมืดมิด

ในโลกันตนรกนี้

 

         พลันชายหนุ่มก็หันมามองทั้งหมดดูก็อดยิ้มเสียมิได้ เนื่องจากทุกๆคนต่างนั่ง

ฟังกันอย่างเงียบกริ๊บไปตามๆกัน จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า

อายุของนรกกับมนุษย์ถึงข้อแตกต่างกันนั้น ย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละขุมของนรก

แต่ละขุมไม่เท่าๆกัน คือ

 

สัญชีพนรก นั้น มีอายุ 500 ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรก เท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์รวมเท่ากับ

๔๕๐๐ ล้านปีของโลกมนุษย์

กาฬปุตตะนรก มีอายุ ๑๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๓๖ ล้านปีมนุษย์ รวมเท่ากับ

๓๖๐๐๐ ล้านปีมนุษย์

 

สังฆาภูนรก  มีอายุ ๒๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๑๔๖ ล้านปีมนุษย์ รวมเท่ากับ

๒๙๐๐๐๐ ล้านปีมนุษย์

 

โรรุวนรก  มีอายุ ๔๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ  ๒๓๔ ล้านปีมนุษย์  รวมเท่ากับ

๙๓๖๐๐๐  ล้านปีมนุษย์

 

มหาโรรุวนรก มีอายุ ๘๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๙๒๑๖  ล้านปีมนุษย์ รวมเท่ากับ

๗๓๗๒๘๐๐๐ ล้านปีมนุษย์

 

ตาปะมหานรก  มีอายุ ๑๖๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๑๘๔๒๑๒ ล้านปีมนุษย์

รวมเท่ากับ   ๒๙๔๗๓๙๒๐๐๐   ล้านปีมนุษย์

 

มหาตาปะนรก  มีอายุ  ๑/๒ กัป  หากเทียบวันเวลานรกและมนุษย์ไม่มีข้อกำหนด

 

อเวจีมหานรก  มีอายุ  ๑ กัป  หากเทียบวันเวลานรกและมนุษย์ไม่มีข้อกำหนด

 

ความหมายของ ๑ ปีนรก นั้นเทียบดังนี้  ๑ ปีมี ๑๒ เดือน เดือนละ ๓๐ วัน ซึ่งมีลักษณะกับ

ปีของมนุษย์

ความหมายของ ๑ กัป

   สมมุติให้มีกล่องที่ กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็ม

เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี หยิบออก ๑ เมล็ด จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ  นับได้เป็น  ๑ กัป

 

         นรกที่พิเศษ เรียกว่า  โลกันตนรก

อาจจะเรียกว่าอภิมหาอเวจีมหานรกก็คงจะไม่ผิดนัก ด้วยไม่ได้กำหนดอายุขัย

ด้วยเป็นการทำบาปที่พิเศษที่สุดกว่าบาปในขั้นอเวจีมหานรก ไปอีกดังพวกที่มีนิสัยชอบ

ขัดขวางการสร้างผลบุญกุศลแล้วทำลายกุศลนั้นๆให้สิ้นไป ฆ่าบิดามารดา พระอรหันต์

ทำร้ายพระพุทธเจ้าเจ้าทั้งหลาย ตัดคอเศียรพระพุทธรูป ทำลายรูปแทนองค์พระสัมมาสัม

พุทธเจ้าเช่นพระพุทธรูป ทำลายโบสถ์ สิ่งต่างๆที่ใช้ประกอบการกุศลผลบุญ ขัดขวางการ

สร้างผลบุญทั้งหลาย  จึงจะมาสู่ดินแดนแห่งนี้   เมื่อพ้นจากดินแดนแห่งนี้แล้วก็ต้องไป

ชดใช้กรรมในมหาอเวจีนรกอีกเลื่อนไปเรื่อยๆจนถึงชั้นบางเบาที่สุดคือเดรัจฉานสัตว์

ถึงจะมาสู่ยังดินแดนมนุษย์ได้เพื่อประกอบสร้างกุศลผลบุญในทางสุคติต่อไป

   

    แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อฮึๆๆ เมื่อแลเห็นบรรดาพ่อแม่น้องแม่นางเทพอัปสรทั้งสองตลอด

จนลูกน้องทั้งสี่ต่าง เบิ่งนัยน์ตา อ้าปากค้างๆไปตามๆกัน

 เมื่อชายหนุ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับการใช้หนี้เวรแห่งกรรม

 ตามกฏแห่งกรรมนั้นๆที่มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้หากมิได้ฌานสมาบัติ

หรือกระทำแต่กรรมดีละเว้นกรรมชั่ว  แล้วชายหนุ่มก็ยกแก้วน้ำที่เหลือจิบต่อไป.......

         

                                  *  กิ่งโศก  * ผู้ลง				
Calendar
Calendar
Lovers  2 คน เลิฟกิ่งโศก
Lovings  กิ่งโศก เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกิ่งโศก
Lovings  กิ่งโศก เลิฟ 2 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกิ่งโศก