... พักนี้คล้ายจุดศูนย์รวมแห่งความคิดดูว่าเฉื่อยชาอย่างไร้ที่มาและที่ไป หรืออาจเผชิญปัญหามากมายที่คอยตามแก้ไข ในภาระหน้าที่ แต่บางทีข้าพเจ้าก็บอกตัวเองว่าหาใช่ไม่..เพราะเรายังดูสนุกกับงานและหน้าที่ ทุกเช้าพอนั่งโต๊ะทำงาน แม่บ้านชงกาแฟร้อนๆ มาหนึ่งแก้ว หลังจากที่ข้าพเจ้าจะกล่าวขอบคุณเขาทุกครั้ง ทุกวันเพราะมีแถมตอนเข้างานบ่ายโมงอีกรอบ ขณะกำลังละเลียดกับกลิ่นกาแฟ ไร้ครีม ไร้น้ำตาล เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะมักจะดังบ่อยมาก หรือไม่ก็จะมี พนักงานฝ่ายอื่นๆ เข้ามาเสวนา ส่วนมากเป็นคำถาม หรือปัญหา ซึ่งมองว่าเราสามารถช่วยเหลือหรือแก้ไขมันได้อย่างไร แต่ก็พยายามมองให้เป็นเรื่องที่น่าชวนตัวเราเข้าไปลุยกะมัน อย่างไรก็ยังหาเหตุแห่งความเฉื่อยชาในอารมณ์ตนเองไม่ถูกสักกะที บางวันอยากอ่านหนังสือที่ค้างๆอยู่ ให้จบ แต่ก็ให้มีความเกียจคร้านมาแทนที่ทุกที เจด็จ ข้าพเจ้าเลยไม่ค่อยได้ออกกรีธาทัพ หรือจีบตะละแม่ต่างๆเลย (กำลังอ่านผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบปกทอง) บางทีก็หาเพลงฟังจากคลื่นวิทยุ ทั้งเอฟเอ็ม และเอเอ็ม บทเพลงและเสียงดนตรี หลายครั้งก็ขับกล่อมจิตใจข้าพเจ้าได้ดีพอควรเชียวละ หรือไม่ก็ดูกีฬา ดูฟุตบอลอังกฤษทางเคเบิ้ลทีวีเสียตังค์ เป็นที่ชื่นชอบ ปีนี้ว่าจะเชียร์หงส์ ซะหน่อยเลิกเชียร์ เชลซีแล้วมังม่ายลังใจอั๊วน๊อ.. แล้ววันหนึ่งเปิดรายการทีวี ช่วงดึกหรือเกือบจะดึกดื่น เขานำบทเพลงจากละครทีวี โดยเฉพาะคุณชมพูฟุตตี้ ที่แต่งเอง ร้องเอง ผมว่าความเป็นชมพูฟุตตี้ มาร้องแนวนี้น่าจะเหมาะกว่าของเดิม ยิ่งบทเพลง สายโลหิต ญาติกา ผมฟังแล้วทำให้ฮึกเหิมใจได้ขนาดนัก ซึ่งไม่น่าเชื่อที่น้ำเสียงหวานๆ ก้องๆ แก้วเสียงเล็กๆใสๆกังวาล จะสามารถร้องแนวปลุกใจ จากเพลง สายโลหิต ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องขนลุกซู่ได้ทุกทีหรือแม้แต่เพลงรัตนโกสินทร์ ฟังได้ทำนองไพเราะจับใจ เถิดท่าน มานั่งเคียงเรียงแถวเป็นเพื่อนกิ่งโศกคนนี้เถอะ ฟังบทเพลง ของชมพู ฟุตตี้ด้วยกัน โดยจักขอนำเสนอบทเพลงที่ กระตุกต่อมความเฉื่อยชา ให้บรรเจิดเพริดไป กับเพลงสายโลหิต แลหากใครไม่รู้จัก ลองนึกถึงละครที่แสดงโดยหนุ่มศรราม กับกบสุวนัน ดูนะครับ ( เอ แล้วจะมีใครรู้จักไหมหนอ 55) ส่วนข้าพเจ้ายังจำติดใจก็อีตรง ออกศึกข้านึกแต่รบ และรบ....จบศึกข้านึกแต่รัก.... รู้จักไม่รู้จักก็จะขอร้องให้ฟังกันละคร๊าบบ สายโลหิต เนื้อเพลง ข้าคือชายชาญ ชาติทหาร วิญญาณ แห่งนักรบไทย ศึกนี้ หรือศึกไหน หัวใจไม่เคยหวั่นเกรง และความรักข้า ก็คือดวงใจ เจ้าดวงนี้เอง ใครหาญ มาข่มเหงข้าเอง จะหยุดมัน ออกศึกข้านึกแต่รบ และรบจบศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น หากรอดชีวิตกลับมาหากัน หวังให้เจ้านั้นดูแลหัวใจ ชีพพลีนี้เพื่อ แผ่นดิน ชีวา ต้องมามลาย ยังขอ ปกป้องไว้ ด้วยสาย โลหิตของเรา ออกศึกข้านึกแต่รบ และรบ จบศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น หากรอดชีวิตกลับมาหากัน หวังให้เจ้านั้นดูแลหัวใจ ชีพพลีนี้เพื่อ แผ่นดิน ชีวา ต้องมามลาย ยังขอ ปกป้องไว้ ด้วยสาย โลหิตของเรา. ๏ ... ลำนำ ..ค่าสิ้นแล้วฤา.. ๏ ๏ ประดาขุนสิ้นค่า ............ ด้วยหมดหน้าพึงสำแดง คล้ายโคปลดแอกแปลง ........ ไร้ผืนนาแปรปลงความ ๚ะ ๏ ประดาขุนสิ้นค่า ........... หมดเศิก รบแล ระทดหดหู่ฤกษ์ ................ ฤทธิ์เหี้ยน กระเซอะกระเซ่อเบิก........ เบิ่งลุก นัยน์เฮย ไร้ฤทธิ์มิดสิเมี้ยน ........... มุดหน้าหนีหาย ๚ะ ๏ ประดาโคค่าสิ้น ........ หมดนา ทิ้งปล่อยลอยยถา ......... อนาถแท้ ยากขืนยื่นหยั่งขา ......... เคียงยอด ข้าวเนอ เฉกดั่งไร้เงาแส้ ............ กระตุกตุ้นคอยเตือน ๚ะ ๏ ผ่อนผ่อนเลือนภาพกลั้ว........ เพรงกรรม มธุรสโลมถลำ ............ ลึกถ้อย ปรุงเร้าป่าวชวนจำ ...... ตรึงจิตร แท้นา มานะมโนคล้อย ......... ทุ่มให้ไร้ฝืน ๚ะ ๏ จวบ-บรรจบสบแจ้ง ...... สำเร็จ การแฮ แถถ่ายพจน์มดเท็จ .......... เขี่ยทิ้ง โคขุนมิเคยเข็ด ................ ความว่า วางเนอ หลงโง่โก้นัยกลิ้ง ............... กลิ่นแสร้งแกล้งฉาน ๚ะ ๏ รานรานร้าวระแน้ ......... หน่ายแรง สบมืดเฉกหมดแสง ........... ส่องม้าง จมพิษจิตพอกแจรง.......... จรายแผ่ ลุมุ่งจุ่งมล้าง ................... ไล่ไล้ความหลง ๚ะ + กิ่งโศก+ อย่างไร เราดู แม่เมนี่ หรือมณีจันทร์ ในทวิภพ มีจุดประเด็นเรื่องการต่อสู้เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ของบรรพชนกันก็ดี..พระยอดเมืองขวาง ใช่วีระชนหรือไม่ อา..นี่แหละเลือดไทย
......ลำนำเที่ยวนี้ กิ่งโศกขอเขียนบรรยายด้วยบทย่อ แลไม่เยิ่นเย้อ ด้วยอารมณ์ผูกบ่มแห่งรักที่ไม่เคยคลาย .....คิดถึงแม่ ครับ แม่จากไป เมื่อ 28 มกราคม 2554 ...ดุจหนึ่งร่างกายบางส่วนแหว่งวิ่นหายไป ใจหาย เพราะทุก วันแม่ เราๆ พี่ๆ น้องๆ จะคล้ายเป็นวันรวมญาติ สายตาที่แม่แลมาทุกครั้งคือรอยยิ้ม ที่ทำให้เราอิ่มเอมใจทุกครั้ง ภาพรอยยิ้มแม่ยังตรึงตราใจเสมอ ตรูตายิ่งแม่แย้มติดแต้มยิ้ม ความพร่างพรายฟุ้งพริ้มเลอปิ่มผ่าว- พรูไอรักสลักค้ำทุกท่ามคราว- มือแม่ลูบอุ่นราวไล่หนาวชื้น.....
ในช่วงฤดูฝน เป็นช่วงสายน้ำจากฟากฟ้าหลั่งชโลมผืนดินเพื่อสร้างความชุ่มฉ่ำและหล่อเลี้ยงแมกไม้ใบหญ้า จึงเป็นฤดูกาลแห่งความมีชีวิตชีวายิ่ง แต่บางครั้งพระพิรุณก็หล่นเพลิน จนทำให้เกิดอุทกภัยเดือดร้อน กันไปทุกหย่อม และฤดูถัดไปคือฤดูหนาว ถือได้ว่าเป็นช่วงเก็บเกี่ยว อารมณ์สุข สดชื่น เพราะช่วงนั้นพลังชีวิตกำลังฉายฉาน บานเบ่งไปทั่ว ภาวะความเย็นดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตมักจะชอบกว่าความร้อน (ไม่ใช่อุ่น) ลานผืนป่าขจรขจีด้วยบุปผาชาติ นานาพันธุ์ แมลง สัตว์ทั้งทวิบาท จตุบาทเริงร่า ภมรภู่ผีเสื้อร่อนฟ้าชมผกา แลสบไปท้องฟ้าพบแต่ความสดใส เมฆขาว ฟ้าสีคราม พอทอดต้องสนธยา แดงเรื่อเจือสีแห่งแสงตะวันที่เริ่มยอ... ค่ำคืน เวิ้งฟ้าประดับประดาไปด้วยหมู่ดาริการะยิบ ยิ่งคืนเดือนแรมหมู่ดาวจะจำรัสยิ่งเชียวละครับ ในห้วงเวลาดึกดื่นสำหรับผู้ที่ดื่มด่ำในภวังค์ ก็จะบรรจงวาดวิมานอันวิจิตร ให้แจ่มชัดในมโน...แลอารมณ์บรรเจิดเพริดพลิ้วให้ทำนองไปกับคีต ดีดคลอกล่อม มนตราดนตรีไพร แก่เหล่าผู้คนให้สู่นิทรารมณ์ พร้อมระเริงร่ำในห้วงฝัน ยามค่ำคืนเช่นนี้ วัยเด็ก ของกิ่งโศก พร้อมด้วยพี่น้อง พ่อแม่ญาติๆ จะร่วมพูดคุยกันหลังอาหารเย็น เด็กน้อยที่มักจะคอยฟังผู้ใหญ่เล่า พูดคุยกัน พร้อมกับนอนหนุนตักแม่ อยู่กลางชานบ้านที่เป็นพื้นโล่งโปร่ง เวลาลมกลางคืนพัดผ่าน นำพาความเย็นชื่นแล้วยังนำพากลิ่นหอมระรื่นแห่งดอกไม้ราตรี หูฟังผู้ใหญ่พุดคุย จมูกสูดสัมผัสกลิ่นหอมมาลัย ดวงตามองเบิ่งไปบนท้องฟ้า ชวนชมดูดวงดาวกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ เอ..ดวงดาวหรือจะเป็นดาวแห่งชะตาของแต่ละคน ?.... เราๆ พี่ๆ น้องๆช่วยกันชี้ ว่าดาวอะไร ใช่ดาวไถ ไหม ใช่ดาวศุกร์ไหม ..นั่นกลุ่มดาวลุกไก่ คำถามมักจะถูกตอบจากผู้ใหญ่เสมอ พร้อมตำนานต่างๆ ที่บางทีผุกเรื่องเล่า ...คลุกเคล้าไปด้วยฤทธีแห่งผู้อยู่ฝ่ายดี และฝ่ายร้าย และสุดท้ายก็จะสรุปบน ธรรมะชนะอธรรม คนรุ่นเก่ามักเพาะบ่ม ความเชื่อศรัทธา ที่อยู่ในครรลองธรรมแก่บุตรหลานเสมอ ครั้นเมื่อมาใช้ชีวิตแบบคนเมืองร่วมยี่สิบรอบของวงชีวิต แสงนวลแห่งดวงดาวบนท้องฟ้าในเมืองกรุงกลับถุกปิดกั้นด้วยแสงประดิษฐ์... แสงจากไฟฟ้า ที่เวลาตอนเราแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าทีไรมักจะแยงดวงตาให้พร่า ทุกที ท้องฟ้ามักจะหม่นหมองด้วยหมอกควัน หมู่ดาวมักจะถุกกลบ จึงยากนักที่จะเห็น ยกเว้น พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ที่ยังคงสถิตย์ลอยวนให้พอได้เห็นว่าเป็นกลางวันกลางคืนอยู่เช่นเดิม ชีวิตการทำงานในเมืองหหลวง บางครั้งต้องมีผ่อนคลายอารมณ์ บ่อยๆ ยิ่งกิ่งโศกมีเจ้านายเป็นคนต่างชาติ คือญี่ป่น (แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เราเพ้อมาได้ไหม ฮ่าๆๆ ใกล้แล้วขอรับ) เจ้านายชอบร้องเพลงคาราโอเกะมาก ส่วนมากก็เป็นเพลงสากล ปะกิต และเพลงคุณยุ่น และทุกครั้งต้องมีเพลงเอกของคนญี่ปุ่น คือเพลง ซาบุรุ...เวลาจะไปทานอาหารช่วงเย็นกัน จะโทรสอบถามก่อนว่าที่ร้านมีเพลงนี้ไหม หากไม่มีช่วยหาให้ด้วย จากที่เคยฟังผ่านๆ มาฟังบ่อยๆ จนคุ้นหู หากใครยังไม่รู้จัก ก็ลองฟังเพลงที่นำมาร้องเป็นภาษาไทย โดย แมวเก้าชีวิต ดอน สอนระเบียบ ( น่าสงสัยว่าคุณดอนไปสอนเจ๊เบียบแต่มะไหร่ 55) เพลงที่ขึ้นต้นว่า เหม่อ มองฟ้าคืนนี้แสงดาวริบหร่สวยเด่น...ทำนองเย็นๆๆ ซาบุรุ ก็ทำนองบทเพลงเดียวกัน ( คุณดอนเอามาร้องทีหลัง) ยิ่งเดี๋ยวนี้มีคำร้องทับศัพท์ ทั้ง อังกฤษ ทั้งไทยเลย เพลงนี้หากฟัง ในตอนกลางคืนกำลังมองดูดาวด้วยแล้ว ผมว่าเราจะเคลิ้ม ยันเช้าเลยละครับ ไม่เชื่อลองฟังดูนะครับ เดี๋ยวผมใส่เสียง พร้อมเนื้อร้อง แบบทับศัพท์ เลยครับ subaru. (Japan song) me o to ji te na ni mo mi e zu ka na shi ku te me o a ke re ba ko u ya ni mu ka u mi chi yo ri ho ka ni mi e ru mo no wa na chi aa.. ku da ke chi ru sa da me no ho shi da chi yo se me te hi so ya ka ni ko no mi o te ra se yo wa re wa i ku a o ji ro ki ho ho no ma ma de wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo i ki o su re ba mu ne no naka ko ga ra shi wa na ki tsu zu ke ru sa re do wa go mu ne wa a tsu ku yu me o o i tsu zu ke ru na ri aa...san za me ku na mo na ki ho shi ta chi yo se me te a za ya ka ni so no mi o o wa re yo wa re mo i ku ko ko ro no me i zu ru ma ma ni wa re mo i ku sa ra ba [su ba ru] yo aa...i tsu no hi ka da re ka ga ko no mi chi o aa...i tsu no hi ka da re ka ga ko no mi chi o wa re wa i ku a o ji ro ki ho ho no ma ma de wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo ๏ เกลื่อนด้าวดาริกา ระดะฟ้าไล้ด่ำดื่น ระยิบระยับยืน . ยิ่งทอแย้มเกินบรรยาย ๚ะ ๏ เกลื่อนด้าวระดื่นฟ้า .. ดาวราย เฉกยั่วกลั้วยิ้มฉาย . หยาดชี้- แสงระบัดระบาย เรื่อบ่ม ไล้เนอ แลชื่นรื่นระรี้ . ปริ่มล้ำหวำไหว ๚ะ ๏ แยงวูบเส้นวิ่งเวิ้ง วาบเห็น ชนเก่าเล่าบอกเป็น .. ปากยั้ง ดาวตกตริกระเด็น .. จุติ ชีพนา ใครทักจักหยุดรั้ง- . แกว่งเร้าเกิดรอน ๚ะ ๏ ปริศนาห่อนใบ้ บทโหร ทายเฮย เผยใช่ประจักโชน .. ชัดถ้อย เพียงเปรียบเทียบอย่าโพน- . ทะนาสรรพ สิ่งนอ ใคร่คิดจิตจ่างร้อย .. รับแจ้งพิจารณ์ ๚ะ ๏ กี่คืนกี่ค่ำเคล้า .. คะนึง ถอยร่นก่นความถึง อดีดครั้ง- ลำดับนับอื้อึง . อวดแย่ง ชี้แล นี่นั่นพันหมื่นตั้ง .. มากแต้มแซมหาว ๚ะ ๏ อยากเติมปั้นแต่งฟ้า .. เต็มฝัน ตรึงภาพขับข่มจันทร์ .. จ่างคล้อย งดงามอร่ามงัน ................ อยู่นิ่ง ชมนา แม้นบ่วงพ่วงดึงร้อย ......... อยู่ยั้งฝังแฝง ๚ะ ๏ ไขแสงแข่งขับด้วย ........ ดับแข พึงปลั่งพลางฉายแปร .......... เปล่งซ้อน จันทร์เสี้ยวส่องกระแส ....... ลับซอก เมฆเฮย ฉานทอดเรื่อสะท้อน .......... ทั่วท้องผ่องสรร ๚ะ ๏ เกลื่อนด้าวระดื่นฟ้า ....... ครู่เเดียว สางลุอุษาเหลียว ................ รุ่งเช้า จิตคืนตื่นรู้เจียว .............. ปัจจุ- สมัยนา จึ่งราบภาพรุกเร้า ........... หลบใต้นัยหลอน ๚ะ + กิ่งโศก +