เบื้องบนลานกว้างอันเกลี้ยงเกลาเสมือนดั่งถูกปัดกวาดให้ดูโล่งโปร่งและสะอาดยิ่งนักประกอบชั่วเวลาพลบค่ำยามนี้ สัมผัสรับรู้ถึงความยะเยือกเย็นหนาวเหน็บของอากาศในเหมันตฤดูเช่นนี้ สายลมที่พัดแผ่วเบายามที่ต้องร่างยังสะท้านสั่นหนาว ณที่เก้าอี้ตัวเก่า วางอยู่มุมหนึ่งในลานบ้านนั้นเป็นเครื่องเรือนสิ่งเดียวสภาพเก่าคร่ำคร่าเพราะผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันถูกวางรอรับลมหนาวอย่างเดียวดาย ตัวเราคล้ายดั่งดำดิ่งลึกสู่ห้วงอันสงัดของกลางคืน ในคืนนี้ความหนาวเย็นแผ่ซ่านชอนไชเข้าไปใต้เนื้อผ้าหนาที่คลุมร่าง แรกรับรู้ถึงความทรมาน หากแต่จับภาวะแห่งความเย็นจากลมหนาวได้นั้น เรากลับพบผกายคล้ายอบอุ่นและส่องสุกปลั่งอยู่เหนือบนขึ้นไปเลยศรีษะเบื้องฟ้ากว้างในคืนนี้ กลุ่มเมฆเบาบาง แห่งเดือนแรมยามนี้ กลับมองดูสวยงามจับจิตไปอีกแบบ ครั้นได้พิศแลทัศนานั้น ความรู้สึกให้เลือนลืมรสแห่งความเย็นที่กำลังแทรกแยกรานหัวใจ ดวงดอกฟ้าที่พรายระยิบระยับประดับท้องฟ้างดงามเหลือเกิน ใครได้มีเวลาแลคงหลงไหลแห่งแสงกระพริบนั้น เหมือนกำลังให้จังหวะดนตรีทิพย์ หรืออาจคลับคล้ายใครบางคนส่งยิ้มแย้มให้เวลาที่เราเงยสบเนตรกลมโตโดยไม่ขวยเขินเมินอาย อาเสน่ห์อันน่าพิศวงนักเทียว..ท่าน นี่กระมังที่ความงดงามอันทรงค่านี้ มนุษย์จึงได้แวะเวียนหยิบนำมา ยกเยินยอเปรียบเทียบเปรียบเปรยถึง ความโดเด่นแพรวพรายของมนุษย์บางคนว่าสุกสกาวดั่งดวงดาวโดยแท้ เพราะยามใดที่ดวงดาราหรือดาริกายฉายย่อมข่มเดือนเสี้ยวให้มัวหมองได้เช่นกัน ดวงดาวยังได้ผูกโยงความเชื่อของผู้คนบนโลกใบนี้มานมนานนัก ด้วยมีความเชื่อว่า ในทุกๆคนนั้นมีดวงดาวแห่งชีวิตสัมพันธ์อยู่ ดวงดาวมักมีอิทธิพลต่อการดำรงค์ชีพเสมอ หากตกอัพอาภัพโชคยังบ่งถึงว่าเป็นเหมือนดาวพระศุกร์เข้าดาวพระเสาร์แทรก หรือยามเปล่งปลั่งก็เหมือนดั่งดวงดาวที่ทอสุก นักแสดงในโลกมายา ยังเรียกตัวเองว่าดารา ซึ่งการเป็นดาราย่อมมีทั้งคราวตกอับดับแสง หรือคราวสุกสะกาวดุจดาวรุ่ง เช่นกัน ดวงดาวในท้องฟ้าจะมีกี่มากน้อยย่อมเกินกว่าที่ใครๆจะนับจำนวนได้ เวลาพบดาวหางหรือดาวผีพุ่งใต้ ที่ในความเชื่อว่าเป็นดาวที่รอการสิ้นสุดการส่องแสง และพร้อมจะไปจุติอีกภพใหม่ ในจังหวะแสงที่กระจ่างครั้งสุดท้ายพร้อมโค้งลงสู่เบื้องล่างนั้น เหมือนจะเป็นการสิ้นสุดเส้นทางเดินหมดสิ้นแห่งเชื้ออันไสวสว่างแล้ว ผิดกลับดวงดาวใดที่ทอไสวกระพริบ ย่อมเป็นที่สนใจแด่เหล่าผู้ชื่นชมมักมองด้วยจิตเสน่หา แลพร่ำพูดถึงให้รับรู้อยู่เนืองๆ ยามใดที่ข้าพฯทัศนาดวงดาวนอกเหนือจากที่ประสบพบในครรลองจักษุแล้วยังรับรู้อีกอย่าง ว่าชีวิตย่อมคล้ายดวงดาวเช่นกัน นั่นคือ มีช่วงั้โชติช่วงสะกาวพร่างฟ้า และในอีกด้านย่อมจะมีจังหวะร่วงหล่นดับแสงเช่นกัน ในเพลานี้ แม้นจะมีใครหรือไม่มีใครเป็นดาวเด่นหรือดาวดับ กิ่งโศกก็ขอเชิญชวนมาฟังบทเพลงเกี่ยวกับดาว อันแสนจะไพเราะเพราะพริ้งยิ่งนักเลยละครับ นักร้องรุ่นลายคราม คุณลุงสุเทพ วงค์กำแหง ครวญด้วยน้ำเสียงที่เขาว่ากันว่าขยี้ฟองเบียร์ (กิ่งโศก ก็ไม่ทราบว่าเป็นฉันใด 55) ชื่อเพลง ดาว ครับ เพลง ดาว นักร้อง สุเทพ วงค์กำแหง หื่ม..ฮื้ม...ฮืม ฮืม ฮื้อฮือ ฮื้อหื่อ ฮื้อฮื้ม โอ้ ดาว ไร้ราคีคาวช่างงามล้ำค่า ...เย้ยอื่นดาริกา อยากสอยดาวมา แนบใจ ..เฝ้า มอง หัวใจร่ำร้องเพียงมองฝันใฝ่ เฝ้า แต่ ตรมฤทัย หม่นหมองดวงใจ เศร้าซม ..รัก ดาว รัก ดาว ชั้นพรหม ...บุญจึง ไม่สม ต้องขื่นขม ตรม ทรวง ใน ..โอ้ ดาว ขอรักดาวจนชีวันหาไม่ ...ขอ โปรด ดาวเห็นใจ ...ชุบดวงฤทัยพี่ เถิดดาว ดนตรี 8 Bars...6...7... 8..รัก ดาว รัก ดาว ชั้นพรหม บุญจึง ไม่สม ต้องขื่นขม ตรม ทรวงใน ..โอ้ ดาว ขอรักดาวจนชีวันหาไม่ ...ขอโปรดดาวเห็นใจ ...ชุบดวงฤทัยพี่ เถิดดาว ..หื่ม ฮื้ม ฮืม ฮืม ฮื้อฮือ ฮื้อหื่อ ฮื้อฮื้ม กิ่งโศกคนยาก ฝากถ้อยร้อยบท...กาพย์ห่อโคลง.. ๏ กลางสกลสกาว ............ ดื่นแสงดาวเบื้องหาวเด่น บ้างเรียวโค้งลงเบน ........ ดับหรี่ร่วงจากสรวงลา ๚ะ๛ ๏ สกลกลางเกลื่อนย้อม ....... สกาว ฟ้าเฮย แลเด่นเร้นแดราว.............. ด่ำไล้ โชติรุ้งฮุ่งเฮืองหาว ............. ฮู้ห่ม หุ้มห่อทอเคล้าไคล้.............. คลี่ถ้วนล้วนผืน ๚ะ ๏ ค่ำคืนดูตื่นคล้าย...............หฤหรรษ์ กระพริบเฟื่องเปรื่องฝัน........ ปลั่งฟ้า แจ่มพรมข่มพรายจันทร์........ พรูจ่าง ทอขับจับโลมหล้า ............... เรื่อล้นเด่นเหลือ ๚ะ ๏ ผกายเรื่อเชื้อหรี่............... ดับแสง ดาวบิ่นดำสำแดง ............... บอดสร้อย ชีพระยิบมิแยง ............... หมดย่ำ มอดหยดหมดสิ้นย้อย .......... สบย้อนยอดิน ๚ะ ๏ ดาวขีนดวงขบด้วย ............ ลิขิต ไพล่มิพรากรมพิษ ......... พัดรื้อ ชะตาประเดียงปิด ........ โดยปลอด ล่วงเฮย ดำปรกยกย้ายยื้อ ....... ยากป้องคุ้มเศียร ๚ะ ๏ เล่าเขียนลิขิตร้อง ........ คำเรียง สื่อมิเหน็บแนมเสียง ...... เสียดผู้- ห้อมใดหากจักเผดียง ...... แจงดนุ นี้นอ จักด่อมแลค้อมคู้ ..... นบน้อมไหว้สา ๚ะ๛ + กิ่งโศก +
....เมื่อครั้งปลายปี 2010 กิ่งโศกได้มีโอกาสเดินทางเพื่อการกุศลโดยไปทำการสร้างฝายทดน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำให้กับชาวบ้าน (แต่ไม่ใช่เก็บกักน้ำเพื่อนโยบายใดๆ นะครับ 55) โดยไปกับสมาชิกแห่งบ้านกลอนไทยนี้ ที่จังหวัดพชรบุรี และในหนึ่งกิจกรรมอาสานี้นอกจากจะทำฝายชลอทดน้ำและสการร้างบ้านดิน ให้กับวัด อีกกิจกรรมหนึ่งก็คือปลุกต้นไม้ที่ได้นำกันไปโดยนำไปปลูกกันบริวณริมชายเขาด้านใต้ของวัดในระดับพื้นที่ที่ต่ำลงไป ติดกับป่าบริวเณวัดที่พวกเราใช้เป็นที่หลับนอนพัก ในระหว่างที่ร่วมกันขุดดินเพื่อปลูกต้นไม้อยู่นั้น ตรงสถานที่ริมหนองน้ำ มีต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่มีลูกดก กิ่งโศกจึงปยืนและแอค๊ท่าถ่ายรูป หุหุ ครั้นพอเงยหน้าไปที่กิ่งก้านคาคบต้นมะเดื่อ พบลายเหลืองดำโค้งม้วนพาดบนง่ามไม้ มันคืองูเหลือมนั่นเอง เพียงแต่ตัวยังไม่โตนัก แต่เล่นเอาปู่กิ่งต้องโกยแบบไม่เจียมสังขารไปตั้งหลักเอา ซะไกล เหอๆๆ ... พูดถึงมะเดื่อแล้วตัวกิ่งโศกจะชอบกลิ่นหอมเวลาลูกมันสุก สีแดงน่าทาน แต่..นะ แต่ พอบิลูกเพือ่เปิดเนื้อในออกมาข้างในนอกจากจะมีก้านเล้กๆคล้ายช่อเกสรดอกไม้เต็มไปหมด มักมีหนอนเต็มไปหมดที่เนื้อติดเปลือก แต่หากลูกดิบๆ รสจะฝาดมาก ต้นมะเดื่อส่วนมากจะขึ้นอยู่ตามริมแม่น้ำ ริมห้วย เหมือนจะมีตามแหล่งน้ำ เวลาลูกมะเดื่อหล่นจะลอยมาตามสายน้ำ หรือลอยตุบป่องในบึงน้ำ สมัยเด็กมักถือหนังสติ๊ก ไปยิงนก หนู กระรอกที่มากินผลลูกมะเดื่อสุกบนต้นและที่หล่นอยู่ใต้ต้น ลูกมะเดื่อสุกกลิ่นจะออกหอมๆและรสชาดจะออกหวานๆหน่อยๆ แต่คนจะไม่ค่อยทานกันเพราะเหตุมักมีหนอนชอนไชอยู่ในเนื้อลูก ขนาดดูว่าผลเกลี้ยงๆเต่งๆ ใสๆ ยังไม่วายถูกเจาะเนื้อจากด้านใน ......นั่นจึงมักจะมีคำพุดติดปาก หรือเป็นคำทายปริศนากันตอนสมัยเด็กๆว่า อะไรเอ่ย ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง คำตอบนั่นก็คือลูกหรือผลมะเดื่อนั่นเอง นอกจากนี้ลูกมะเดื่อสุกดูสดสวยและสดใสมักจะถูกนำไปเปรียบกับลักษณะของผู้คนในสังคมเช่นกัน ว่าสวยแต่เปลือกนอก แต่ข้างในมีแต่โพรงว่างเปล่าไม่มีอะไรที่น่าสนใจ เหมือนจะสวยแต่รูปจูบไม่หอมก็ว่ากัน ...... ดังนั้นใครก็ตามที่ถูกเปรียบเทียบเปรียบเปรยว่ามีเพียงแค่ความสวยในรูปโฉมโนมพรรณภายนอกที่ปรุงแต่งเสียจนเลอเลิศและเนี๊ยบนั้น แต่หากไร้กึ๋นแล้วมันก็คล้ายกับผลมะเดื่อที่มักดูดีแต่ภายนอกแต่ภายในผลซึ่งหมายถึงสติปัญญาทางความคิดกลับไม่สมกับรูปกายภายนอก หรือยิ่งกว่าขี้เลื่อย หุหุ เหมือนมีไว้แค่ประดับประดาหรือมีเพียงเอาไว้ให้แลดูดีและมีแค่ยิ้มสวยใบหน้างาม และมีความงามจากการแต่งองค์ทรงเครื่องเท่านั้นก็พอ ส่วนสติปํญญาไม่มียิ่งดีเพราะจะได้ล่อลวง ชักนำ หรือแม้แต่จะถูกชักใยได้ง่าย ...กลัวครับกลัวประเทศไทยมีคนแบบนี้ (มิได้ว่าใครในสถานแห่งนี้นะขอรับ หุหุ) ...... เมื่อตอนเด็กเคยเข้าไปเสนอหน้าอันมอมแมม ไปดูเขาฝึกกิจกรรมลูกเสือชาวบ้าน กิจกรรมที่มักเห็นโดยทั่วไปที่พบประจำนั่นคือ การร้องเพลง คงเพื่อเป็นการสร้างให้เกิดความพร้อมเพรียง หรือเพื่อเป็นกิจกรรมละลายพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมอบรม ครูฝึกมักจะนำเอาบทเพลงแนวรำวง มาร้องร่วมกันประสานเสียงกัน พวกเด้กๆ พลอยสนุกสนานและร้องตามไปด้วยแม้นว่าจะผิดๆถูกๆ ก็ตาม มะตูมอ่อนในแข็งนอก มะกอก อ่อนนอกแข็งใน มะเดื่อนะมันไม่ดีเพราะมีแมงหวี่เข้าไปอยู่ข้างใน...... ..... เสียงร้องเสียงกลองประสานเสียงไปกับเสียงปรบมือให้จังหวะ ดูสีหน้าแต่ละคนมีแต่รอยยิ้มแย้ม สนุกสนานเฮฮากัน โดยเนื้อแท้ของการมีกิจจกรรมเหล่านี้ ส่วนหนึ่งนั่นคือการสร้างหลักความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ โดยเริ่มสร้างจากกลุ่มคนเล็กๆ ในระดับหมู่บ้านสู่เป็นตำบล จนถึงในระดับอำเภอ เหล่านี้ คงรวมและร่วมอยู่ในการสร้างชาติสร้างกลมเกลียวไม่ใช่ทำเพื่อการเฉพาะกลุ่มเฉพาะพวกเช่นที่พบเห็นในปัจจุบัน บทเพลงเกี่ยวข้องมะเดื่อที่พอจะได้ยินมาบ้างก็มาจากบทเพลงรำวงในกิจกรรมสัมพันธ์เท่านั้น แต่ครั้งนี้กิ่งโศกขอใช้บทเพลงอีกแนวหนึ่งในเชิงคำหวานของหนุ่มบ้านนา ที่มีต่ออีสาวบ้านทุ่งผู้ที่ไม่โสภาสถาพร ดั่งดาราหน้ากล้องลองฟังกันดูนะครับ ขี้เหร่ก็รัก ขี้เหร่ก็รัก ศรคิรี ศรีประจวบ ..ขี้เหร่เพียงไร ขี้เหร่เพียงไรฉันก็จะรัก ฉันรักฉันใคร่ เธอด้วยหัวใจของฉัน คนขาวคนดำคนต่ำสูงนั้น สำคัญก็ที่จิตใจ ผิวฉันมันดำก็เพราะตรากตรำอยู่กับนาไร่ ไม่รู้รังเกียจฉันไปทำไม หรือว่าชาวไร่อย่างฉันมันจน ฉันรักฉันใคร่ เธอที่หัวใจเหมือนกัน เธอคิดระแวงคอยแบ่งแยกชั้น เหมือนฉันไม่ใช่เป็นคน ฉันหลงละเมอ หลงรักแต่เธอผู้เดียวเหลือล้น เหนื่อยยากเพียงใดฉันก็ยอมทน ตากแดด ตากฝน เพื่อเธอ เช้า ขึ้นมาฉันไปทำไร่ ส่วนเธอก็ไป ทำงานที่ศาลอำเภอ กลับบ้านตอนเย็น มาเห็นใบหน้าของเธอ เคยยิ้มให้อยู่เสมอ เดี๋ยวนี้เธอบึ้งตึงเปลี่ยนไป ฉันรักฉันใคร่ เธอด้วยหัวใจสัมพันธ์ ไม่คิดรังเกียจรูปร่างเธอนั้น ผิวพรรณฉันไม่สนใจ ถึงแม้เธอเป็นผู้หญิงจากเหนืออีสานและใต้ ถ้าฉันสมัครรักเป็นจอมใจ ขี้เหร่แค่ไหน ก็รัก ช่วงนี้เวปฝากเพลง ล่มเลยฝากไม่ได้ งั้นใครอยากฟังขอเชิญไปที่นี่.. www.youtube.com/watch?v=t5X-aBtKX3g กิ่งโศก คนยากฝากถ้อยท้าย...... ๏ ดุจมะเดื่อเมื่อได้ ............แยงผล เปลือกปลั่งดั่งเทพดล...........ประดิษฐ์ถ้วน ย้อมกลิ่นยั่วเกินยล.............. แกมหยั่ง ล่อแล กลวงยิ่งลุเนื้อล้วน .............. เน่าเร้นซ้อนใน ๚ะ๛ ๏ ดุจมะเดื่อผลสวยสีย้วยสุก เรื่อกลิ่นอวลชวนขลุกร่ำรุกขาน- จตุบาททวิบทกำหหนดฆาน- โลมรสฉ่ำรู้ซ่านกระสันต์ทรวง ๏ เปลือกผิวเคลือบคราบเล่ห์เสน่ห์ล่อ ภมรหมู่ภู่ห้อบินล้อห้วง สรรพสัตว์ชูคอยกยอควง ยื้อแย่งต่างย่างตวงใต้ยวงย้ำ ๏ มิผันแลแผ่ลึกผลึกเร้น เนื้อในด่างนอกเด่นดั่งเห็นด่ำ หนอนชอนไชแทะแงะจนแบะง้ำ เน่าบูดหนองกองคล้ำกลืนกล้ำคาย ๏ หรือภาพดีหนึ่งเดียวประเดี๋ยวดวจ หยั่งจำอวดหน้าม่านละลานหมาย ให้คนหัวชั่วแล่นแล้วมลาย ลบเลือนวับลับหายมอดปลายฮือ ๏ ใต้สติบิเผลอจนเบลอภาพ ปรุงกายหยาบวับเลิศจนเพริดหรือ สายตาเยิ้มแย้มเปรยรำเพยปรือ นั่นแหละคือความเดียวที่เชี่ยวดึง ๏ อย่าได้เป็นเช่นมะเดื่อในเครือดก จงเป็นเฉกหัวครกย้ายยกขึง- เมล็ดดอกใบต้นทั้งผลตรึง ติดประโยชน์จรดถึงเกินหนึ่งทาง ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ เครดิตภาพ : อินเทอเนต ขอรับ ขออนุญาตใช้ภาพคุณอภัสรา หงสกุลครับ
.... นับเนื่องเวลาอันก่อนหน้านี้ไปสักหนึ่งปีหรือหลายๆปีที่ผ่านมานั้น ในทุกๆวันสำคัญที่เกี่ยวกับวันพ่อ วันแม่ ได้ถูกพ่วงรวมพร้อมไปกับวันเฉลิมพระชนพรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และองค์สมเด็จพระราชินี เหมือนเน้นให้เราๆ ท่านๆ จดจำและระลึกตรึกถึงผู้มีพระคุณทั้งสองท่านนั่นคือบิดามาดร ในช่วงที่ผ่านมากิ่งโศกมักจะมีแต่ความปีติยินดีทุกครั้งเมื่อถึงวันเหล่านี้ โดยเฉพาะคนที่ต้องจากบ้านเกิด หรือคนที่ห่างบ้านไกลพ่อแม่มาพำนักพักอาศัยอยู่ในเมืองกรุงเช่นนี้ วันพ่อหรือวันแม่ที่คนมักเรียกกันติดปาก จะเป็นวันรวมญาติโกโหติกา รวมพี่รวมน้องพร้อมหน้าพร้อมตา ต่อหน้าบิดามารดาบังเกิดเกล้า จึงมีแต่ความรื่นชื่นมื่นในใบหน้าของเหล่าผู้ลุกและผู้ให้กำเนิดทั้งสอง .... หลังจากที่คุณแม่ได้ไปสรวงสววรค์เมื่อต้นปี คล้ายกับว่าดวงโคมประทีบแสงสว่างนำทางชีวิตได้ดับไปแล้วดวงหนึ่ง แลเหลือเพียงอีกหนึ่งดวง นั่นคือคุณพ่อ ผู้เฒ่าที่มักบ่งบอกความรู้สึกผ่านสายตาอยู่เป็นนิจ .... เด็กผู้ชายส่วนมาก มักจะสนิทกับคุณแม่มากกว่าคุณพ่อ แต่ในอีกมุมหนึ่งของหัวใจของเด็กผู้เป็นลูก พ่อคือบุรุษผู้เป็นแบบอย่าง เป็นผู้นำ เป็นกำแพง เป็นอำนาจที่จะคอยปกปัก ปกป้องอันตรายให้กับครอบครัว และพร้อมกับพ่อเป็นผู้นำนำพาครอบครัวฝ่าฟันอุปสรรค์ ดังนั้นพ่อคือผู้ที่ปลูกถ่ายปลูกฝังความอุสาหการต่อสู้ชีวิต และสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อครอบครัว ส่วนแม่คือผู้ประสาท ขัดเกลาบ่มสอน ให้รู้จักอ่อนโยน รู้จักความแข็ง รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความดี และความไม่ดี นั่นคือสิ่งหล่อหลอมเราจนเติบใหญ่มาจวบเท่าทุกวันนี้ กิ่งโศกให้คิดย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่กิ่งโศกได้ก้าวเท้าออกจากบ้านเกิด มุ่งเข้าสู่เมืองกรุงในครั้งแรกในชีวิตหลังจากที่จบมัธยมปลาย โดยมาแบบไร้จุดหมายปลายทางเพราะมาตามแรงดึงดูดของความศิวิไลในเมืองหลวงที่แผ่ประกายไปยังคนชนบทเช่นที่บ้านกิ่งโศก ง ตอนนั้นแม่มองก็สอบถามด้วยความเป็นห่วง ส่วนพ่อนั่งอยู่ที่ชานบ้านมองไม่พูดอะไร แต่จับสัมผัสความห่วงกังวลได้ .... ครั้นเมื่อมาถึงเมืองกรุงโดยการรถไฟชั้นสาม ณ สถานีหัวลำโพง กิ่งโศกต้องใช้คำว่าตื่นกรุง เลยทีเดียว เพราะจากความชาชินสภาพป่าเขาลำเนาไพร ท้องทุ่งนา ต้องมาประสบพบตึกรามบ้านช่องอันละลานตาไปหมด มองไปทางไหนแสนจะสับสน เพราะมีแต่ตึกและและก็ตึก สภาพคล้ายๆกันไปหมด รถราก็เยอะ คนก็แยะ คืนแรกต้องหอบสังขารมาอาศัยวัดในเมืองหลวงพอเป็นที่ซุกหัวนอน เช้าตรู่ก็เดินตามพระสงฆ์ออกบิณฑบาตรคอยเก็บกับข้าวสิ่งของใส่ถุงหิ้ว ตอนนั้นยังไม่กังวลหรือห่วงแต่อย่างใดว่าจะลำบากเพียงไหนเพราะมีแต่ตื่นตาตื่นใจ แต่ด้วยกิ่งโศกมีเงินพกเก็บเอาไว้แน่นอยู่ในกระเป๋าไม่กี่ร้อยบาท จึงตั้งเป้าว่าจะหางานทำในโรงงานสักแห่ง และจะใช้เวลาหางานไม่เกิน 7 วันหากไม่ได้งานก็จะกลับบ้านเกิด ไปช่วยแม่ทำนา ทำไร่แล้วค่อยหาทางเรียนต่อ แต่แล้วก็โชคดีเพียงแค่ 5 วัน ที่อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงพ่อที่วัดประทังชีพ กิ่งโศกก็ได้งานทำโดยได้รับเกียตริ(หุหุ)ให้ไปเป็นคนงานแบกถุงเม้ดพลาสติก ในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ย่านสมุทรปราการ จากนั้นจึงไปขอลาพระภิกษุสงฆ์ที่เมตตาให้ที่พักออกจากวัดมาเช่าห้องแถวอยู่คนเดียว หลังจากที่ทำงานไปสิบห้าวันค่าจ้างออกแล้ว ขอไปยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง ในขณะบางค่ำคืนหรือทุกๆคืนบนที่นอนอันมีมุ้ง หมอนและเสื่อ ในหัวของกิ่งโศกจะหวนคิดวนเวียนถึงบ้านเกิดอยู่บ่อยมาก คนคิดถึงมากคือ พ่อ แม่ พี่และน้อง ตั้งใจไว้ หากกลับบ้านครั้งใด จะซื้อนั่น ซื้อนี่ไปฝากพ่อ ฝากแม่ ฝากพี่ ฝากน้อง..อานั่นคือภาพที่ผ่านไป แลไม่ย้อนกลับ แต่ภาพเหล่านั้นมันไม่เคยลบหรือลับหายไปจากอณูสำนึกของตัวเองจนจวลขณะนี้ ... วันสำคัญที่ย้อนเวียนหวนมาให้รำลึกนึกถึงพระคุณของพ่อ ในครั้งนี้ และเป็นวันเฉลิมฉลองพระชนมายุขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๙ กิ่งโศกขอให้องค์พ่อหลวงมีพระชนม์พรรษายิ่งยืนนานตราบนานเท่านาน ขอพระองค์เป็นหลักชัย ให้บ้านให้เมืองพ้นและปลอดจากภัยต่างๆ จากธรรมชาติหรือมนุษย์ด้วยเทอญ ขอเดชะ .... และขอร่วมรำลึกถึงพระคุณพ่อ พระคุณแม่ แลผู้มีพระคุณทุกๆคนที่มีต่อตัวเอง บทกลอนวันพ่อ มิตรสหายก็คงได้ร่วมกันจารจรดให้เห็นอยู่มากมีแล้วบนหน้ามุมนักกลออนแห่งนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตากันแล้ว ในมุมคำนึงแห่งบทลำนำของกิ่งโศกในครานี้ จึงจะขอรำลึกด้วยบทเพลง ซึ่งเป็นเพลงเก่าถึงขั้นเก่ามากๆ เพราะชื่อนักร้องไม่คุ้นหูเอาเสียเลยและไม่แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่กิ่งโศกก็ขอประทานอภัย ส่วนชื่อเพลงยิ่งแล้วใหญ่ เผลอๆต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่ๆ กิ่งโศก ฟังเนื้อเพลง ทำนองเพลงแล้ว ก็ชวนควรจำยิ่งในส่วนตัวกิ่งโศก เหมือนกึ่งจะเตือนสติบรรดาลูก ว่าอย่าได้ลืมบุญคุณพ่อแม่เป็นอันขาดเชียว ทำเพลงเกือบจะเป็นเพลงไทยเดิม ..ลองพินิจและฟังเนื้อหาพร้อมๆกับทำนองเพลงนี้ดูกันนะครับ... เนื้อเพลง : โอ้บุพการี ศิลปิน : ลัดดา ศรีวรนันท์ ...ปิตุมาตาพรหมโม ปิตุมาตาพรหมโม บิดรมารดา เขาว่าเป็นองค์บุพการี โอ้ชนกชนนี ย่อมมีพระคุณไพศาล ถ้า ใครแม้นในกมลสันดาน เนรคุณพระคุณของท่าน คือทรพีแน่แท้ ...เกิดมาเป็นคน ชั้นต้นควรตรองมองศีลธรรม กตัญญุตาจงนำ ใส่ใจอย่าให้ปรวนแปร เทิด ทูนรู้คุณเอาใจเหลียวแล ควรเลี้ยงดูอุ้มชูพ่อแม่ กว่าแกจะสิ้นชีวา ...บุพการี ใครมีความกตัญญู ประเสริฐนักเอยควรเอ่ยเชิดชู สรรเสริญเคารพบูชา แม้แต่ว่าองค์พระบรมศาสดา ยังโปรดเทศนา พุทธมารดาแทนคุณ ...ลูกคนใดทราม หยามพ่อแม่คือมนุษย์กาลี ให้นรกอเวจี เกาะกินจนสิ้นใบบุญ ลูก ดีแม้นมีดวงใจรู้คุณ ชีวิตจงมั่นคงอบอุ่น บุญและกุศลค้ำชู (ซ้ำ) กิ่งโศกคนยาก ฝากถ้อยท้าย ๏.. ลำนำโอ้ บุพการี .. ๏ ๏ เบิกเนตรบ่งนัยรู้ .........สบพบคู่นัยน์อุ่นคราว- ตาแลถนอมราว- ............. ปิ่นมณีศิวะวรรณ ๚ะ๛ ๏ แลเนตรแรกนั่นรู้ ......โลมเห็น วงด่ำหวำดวงเป็น ......... ปกหุ้ม อาบเต่อเอ่อดื่นเอ็น- .........ดูอ่อน หวำแม่ แดโอบชับซ้อนอุ้ม .......... แอบโอ้อกนาง ๚ะ ๏ กางอู่ยู้แกว่งเย้า ........ โยงเปล ขานหับรับขวัญเห ........ เหื่อย้อย หลับสาอย่าอ้อนเฉ ....... ออเซาะ อุสวะรื้นร้อย ............. แม่เอื้อนไกวถนอม ๚ะ ๏ ในอ้อมแขนแน่นนั้น .... นิตย์แรง ปิตุผู้ปรุงแปลง ................. ปัดป้อง พนอพ่อไม่แหนง .......... มิหน่าย ใดนา มานะตีผ้ายต้อง .............. ต่อสร้างสุขศานติ์ ๚ะ ๏ กี่กาลกี่พลบก้าว ..........ผ่านกลืน ดูรา ปิตุมาตาฝืน ................ นั่งเฝ้า- สอนความสั่งข้อยืน ........ ครบอย่าง ถ้วนแล ความเยี่ยงเนื้อแก้วเก้า ... กล่าวเน้นเบื้องเขนย ๚ะ ๏ บุตรเอยเปรยบอกย้ำ ..... อย่าลืม ถกหมั่นทอใยฟืม .............. ยกฝั้น สานจิตสนิทยืม ................. เหนือยอด -เมฆแล แนบยอบอยู่รู้นั้น .............. นบไหว้ยอสวรรค์ ๚ะ ๏ เลบงบทจรดบอกถ้อย ...... แถลงขาน สำนึกปลุกลูกหลาน ........... เหล่าผู้- ประเสริฐเลิศน้อมมาน ...... นิมิตร แลเนอ นมัสการถ้วนรู้ ................ แรกแท้เทิงเศียร ๚ะ + กิ่งโศก +
Find The Volunteer Inside You ปลุกจิตอาสาในตัวคุณ อักษรป้ายนี้ ยังคงดึงตรึงน้าวหัวใจกิ่งโศกให้พลังประจุความฮึกห้าวอยู่เป็นนิจ อันสืบเนื่องมาจากเมื่อคราวครั้งแรกที่ได้ร่วมลงแรงกายแรงใจอันเต็มยิ่งนั้นในวันที่ได้ขันนำพาแสดงความเป็นจิตอาสา เพื่อที่จะแบ่งเบาบรรเทาทุกข์พี่น้องที่ยังคงได้รับความเดือดร้อน และเป็นอีกครั้งที่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นครั้งที่สองให้บังเกิดความเบิกพองในหัวใจคงเบ่งเพ่งบานตระการไม่หยุด เมื่อสมในสิ่งที่ตั้งใจยอจิตไว้หรือข้อตกลงได้ถูกส่งไปยังเป้าหมาย นั่นย่อมส่งสำเร็จการนั้นก็ด้วยพื้นฐานของหัวใจที่เปี่ยมและทรงพลังขับเคลื่อนจากตัวเราเอง จึงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2554 สมาชิกหน้าเดิมและหน้าใหม่อันมีหัวใจตรงกันเหมือนกัน จึงพร้อมหัวก้าวขาพาใจกายสู่โหมดจิตอาสา ตลุยในพื้นที่ที่เดือดร้อนอีกครั้ง คราวนี้พวกเรายังคงได้ไปในสถานที่น้ำท่วมขังเช่นเคยแต่ก็ขยับไกลออกไป คือ ย่านเมืองปทุมธานี ครั้งนี้ ปริมาณจำนวนถุงยังชีพในสาย ในกลุ่มกิ่งโศกรับผิดชอบ มีจำนวน 8 คนพร้อมกับของบริจาค 700 ชุด ถูกบรรทุกไปจำนวน 2 คันรถใหญ่ๆ ย่อมถือได้ว่าค่อนข้างจะหนักแรงพอสมควร หุหุ แต่ยามเมื่อใจบ่ยั่นแล้วกายย่อมมิเกรงเช่นกัน ฉันท์ใด ใจคือนาย กายคือบ่าว งานนี้ ลุยอย่างเดียว...... หลังขบวนรถได้แบ่งแยกสายกัน ขบวนของกิ่งโศก 2 คันรถบรรทุกจึงม่งไปยังที่หมาย ความผ่อนคลายยังฉายแววเปล่งในดวงตาของแต่ละคน ที่คงระริกระเริงสนุกสนานเฉกเช่นเดิม ในระหว่างของการเดินทาง ท่านพี่โชว์เฟอร์คนขับรถบรรทุก ได้พาเราตะเวณ เลี้ยวไปเลี้ยวมาตามถนนสายต่างๆ ชวนให้งง แกมกังขา อยู่นาน หุหุ (ปรากฎว่า รถได้วิ่งผิดเป้าหมายไปหน่อย คือหลง นะแหละ หุหุ ) แต่สุดท้ายก็เจอป้ายข้างทางที่ตั้งแอบอยู่ในซอยลึกจนได้ สภาพที่เห็นยังคงเป็นท้องน้ำที่ท่วมขังในซอยและบริเวณอบๆ ยังมีะดับน้ำที่ยังสูง ดังนั้นการสัญจรเดินทางในซอยก็คงจะต้องเดินกันบนคันดินกั้นน้ำ หรือไม่ก็ต้องเรือพาย เป็นหลัก รถยนต์ก็เป็นประเภทล้อสูง คุณแต๋น สิบล้อ หกล้อ แบบนี้ ในซอยที่หมายนั้นรถลุยน้ำเข้าไปในเส้นทางก็แสนจะแคบ และอีกด้านมีหลุมท่อน้ำอยู่เต็มแต่มีการปักเสาไม้ไว้เพื่อ บอกจุดตำแหน่งให้ระมัดระวัง ฉะนั้นรถบรรทุกของพวกเราที่เข้าไปจึงวิ่งแบบ เอียงๆ น่ากลัวเหมือนกัน ระหว่างทางยังคงพบเห็นชาวบ้านร้องขอถุงยังชีพเช่นเคย เราเองก็ยังคงไม่ให้เช่นเคย 55 เพราะต้องไปแจกยังที่กำหนดไว้ชัดเจนแล้ว หน่วยงานอันดับแรกที่เจอก่อนจะถึงที่หมายเราพบท่านปลัด อบต. (ห้ามแปล) รอพบรถบรรทุกของพวกเราอยู่ข้างทางและแจ้งว่าขอนำไปแจกที่วัด จำนวน 50 ชุด พวกเราจึงได้ออกแรงกันเป็นจุดแรก สมาชิกทั้งหมดของพวกเราทั้งหมดทั้ง2 คันรถบรรทุกจึงช่วยกันลำเลียง ถุงยังชีพ ข้าวสาร น้ำดื่ม เข้าไปในวัดที่ทอดวางสะพานไม้แคบๆ กิ่งโศกอาศัยมาดแมน อาสาแบกถุงข้าวสาร น้ำหนัก 50 กิโลกรัม (เห็นน้องหนุ่มคนหนึ่งแบกลิ่วคล้ายดั่งปุยนุ่น) แต่ ขอบอก...หนักมาก เหอๆๆๆ แต่กิ่งโศกก็แบกไปถึงที่แบบตลอดรอดฝั่งบนสะพายไม้ จากนั้นก็ได้นำถวายพระสงฆ์ที่ศาลา รับศิล รับพร หายเหนื่อยกันไป และออกเดินทางต่อไป ครั้นเมื่อพอมาถึงยังที่หมายซึ่งดีหน่อยในคราวนี้เพราะไม่ได้ลุยน้ำแจก เพราะรถบรรทุกถุงยังชีพไปจอดบนสะพานประตูระบายน้ำ กลางแจ้งและแสงแดดร้อนมาก คล้ายเมฆจะเป็นใจไม่บดบังแสงสุรีย์ ประหนึ่งจะชี้ให้เห็นเป็นประจักพยานในกุศลกรรมในครั้งนี้แด่พวกเรา จึงทอแสงแรงกล้าแผดเผาผิวเพื่อให้ได้จดจำ สภาวะการณ์ในครั้งนี้ให้นานเท่านาน ฉะนั้นแล มีผู้คนชาวบ้านร่วม700 คน เด็กเล็ก จนวัยหนุ่มสาวยันเฒ่าแก่ชรา ต่างมาเข้าแถวรับของแจก บางคนถึงกับหน้ามืดเป็นลม ส่วนกิ่งโศกก็รับจับ หยิบสิ่งของส่งมอบให้คล้ายร่างกายเป็นเครื่องจักรกล ใบหน้าจึงแต้มยิ้มพร้อมๆกับพุดปลอบใจฝูงชนที่กำลังแย่งลำดับที่ (แซง) กัน ว่าอย่างไรก็จะได้ของกันทุกคนนะคร๊าบพี่ป้าน้าอา ใจเย็นๆครับ คงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีภาพชุนละมุน แต่ยังดีที่มีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ปลัด ท่านรองนายก อบต. เข้ามาช่วยกระนั้นก็ทำเอาจิตอาสา หน้ามืดกันไปหลายคนเหอๆๆ งานนี้เหนื่อยหนักกว่าคราวที่ผ่านมา แต่ก็หาได้ระย่อกันไม่ อิอิ จากช่วงระยะการเริ่มแจกถุงยังชีพจำนวนกว่า 700 ชุดตั้งแต่เพลาเช้า สิบโมงกว่าๆ จนถึง เกือบบ่ายโมง ทุกอย่างจึงสำเร็จลงได้ กระนั้นพวกเราก็ยังได้รับรอยยิ้มและคำขอบคุณจากชาวบ้านมากมาย แค่นี้ก็เป็นหยาดทิพย์โอสภ ชูพลังให้หายเหนื่อยได้ดี ก่อนที่ขบวนรถเปล่าของพวกเราจะกลับท่าน รองนายกหญิง คนเก่ง คงเห็นอาสาแต่ละคนระโหยหิวจึงขอเลี้ยงก๋วยเต๋ยวพวกเราเพื่อเป็นการตอบแทน ซึ่งพวกเราก็หามีใครค้านเลยสักเสียงไม่(ก็มังเลยเวลามื้อเที่ยงแย้วนี่) เหอๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ว่าก็คือศาลาพักข้างทางนั่นเอง เจอเจ้าของร้านที่ ท่อนบนไร้อาภรณ์ใดๆ คลุมกายเพราะใส่เสื้อหนัง (ไม่ใส่เสื้อ) บอกพวกเราด้วยน้ำเสียงที่คงดวดน้ำจั๊บเลี้ยงมาแล้ว ว่าดีโชคนะว่ที่เพิ่งจะกำลังเก็บร้านอยู่ม่ายงั้นอด หุหุ ...พวกเราหลายคน คงนึกหายหิวเป็นแน่ เพราะเจอสภาพสถานที่และ เจ้าของร้านแบบนี้อีกทั้งบริเวณด้านล่างของศาลาร้านก๋วยเตี๋ยวมีน้ำท่วมเจิ่งนอง ไปหมดแต่ด้วยความหิว และไม่ขัดศรัทธา ท่านรองหญิง จึงต่างตานั่งรอและรอ ระหว่างนั้นก็ชม ลีลาเจ้าร้านที่แก ขยันพูดคุยด้วยไมตรีอยู่เป็นนิจ แถมโชว์ทักษะแห่งเชพมือวางอันหนึ่ง(มีแกคนเดียว)ควงและโยนตะหลิวควงไปในอากาศ ใส่เกลียวครึ่งรอบ แล้วเอื้มมือไปรับให้ชมกันหลายตลบแบบไม่พลาด สงสัยฝึกบ่อย พ่อครัวหัวป่าแกปรุงก๋วยเตี๋ยวด้วยความคล่องแคล่ว ผิดกับอาการที่ดูเหมือนกรึ่มๆ ด้วยฤทธิ์เมรัย 555 ก็ถือว่าได้ทานก๋วยเตี๋ยวไป ดูการเอนเตอร์เทรนไป อาจจะดีกว่าดูโชว์ในโรงละครอันระโหฐานก็เป็นได้ ครั้นเมื่อก๋วยเตี๋ยวถูกปรุงสำเร็จพอชิมลิ้มรส ต่างก็ตาลุกตาพอง พร้อมยกนิ้วโป้งให้ ว่าโคตระอร่อยมาก บางท่านมีเบิ้ลเลย เล่นเอาเจ้าของร้านมานพหนุ่ม ผู้ช่างเจราจายิ้มแก้มปริดีที่แกไม่โชว์ตีลังกาให้ดู หุหุ จากนนั้นพวกเราก็ร่ำลาท่านรองนายกหญิงตามประสางานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกเพราะอิ่มท้องแล้ว เส้นทางตอนขากลับก็ยังมีสภาพทุลักทุเลเหมือนขาไป แต่พวกเราต่างก็นั่งห้อยขาบนท้ายรถสบายใจเฉิบ แม้นจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ..ระหว่างรถลุยน้ำมาช้าๆ มีชาวบ้านริมข้างทางเขาวิ่งและยื่น ปลาย่างมาให้ไม้หนึ่ง กิ่งโศกขอบอกว่า เป็นปลาปิ้ง ที่เลอรส หอมหวานด้วยเนื้อปลาสดๆอร่อยมากครับ ( กิ่งโศกต้องทานคนเดียว คนอื่นมิเอาด้วย 55 ) ในงานครั้งนี้นั้นต้อง ขอขอบคุณ สหายทุกท่านมิตรทุกคนที่พวกเราต่างทอนอายุ ให้มาเท่ากัน ขอบคุณเจ้าหน้าที่กาชาด ขอบคุณโชว์เฟอร์เท้าผี อิอิ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุกท่าน ที่ทำให้วันนี้ วันที่พวกเรามา เป็นวันที่ควร จดจำไว้ตลอดไป ดอกแห่งความงดงามของดวงใจจะผลิเบ่งบานไสวประดับดวงจินต์ของแต่ละคน..ด้วยความขอคาราวะอย่างแท้จริงของกิ่งโศก คนยากคนนี้ บทเพลงประกอบรายการในวันนี้ ด้วยขอภาวนาให้น้ำแห้งเร็ววันเร็วคืนดังนั้นต้องเพลงนี้เลย....นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย .ปูดๆๆๆๆๆ..ชื่อเพลง น้ำลงนกร้อง นักร้องรุ่นคุณปู่คุณย่าท่านบรรยายภาพไว้ในคีตแห่งบทเพลงท้องทุ่ง ให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋ หลับตาคราใดคงเห็นเด่นในดวงแด ลองฟังลองสัมผัสเถิดแล้วจักเพลิดเพลินอย่างแท้จริง เพลง : น้ำลงนกร้อง นักร้อง : พรไพร เพชรดำเนิน (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) .น้ำ ลง น้ำลงเมื่อเดือน ยี่ .น้ำลง ปีนี้ .อก ของพี่กลัดหนอง .พอน้ำลง นกกระปูด มันร้อง .พอน้ำลง นกกระปูด มันร้อง .น้ำแห้งขอดถึงก้นคลอง .มองเห็นปลา ติดตรม .น้ำ ลง พี่ลุยน้ำเพียงน่อง .น้ำลง นกร้อง .อกพี่ต้อง ขื่นขม .คำสัญญา มาแปรเปลี่ยน เลิกล้ม .พี่ต้องเงียบเหงาเศร้าตรม .ซมเหมือนนก กระปูดมันร้อง .... .น้ำลงครั้งใดหัวใจแทบหลุด .เสียงนก กระปูดร้องมา .คิดถึงขวัญตาเนื้อ ทอง .สอง เราเคยนั่ง ริม ฝั่งคลอง .พี่หนุน ตักน้อง.ฟังนกร้อง เมื่อน้ำ ลง .น้ำ ลง น้ำลงเห็น คลองแห้ง .เหมือนใจ นางแล้ง .แห้งเหมือนดัง เศษผง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .น้ำเดือนสิบสองว่าทรง .ยังไหลลงเหมือนกับใจน้อง Solo 10 Bars...9... 10.น้ำ ลง น้ำลงเห็น คลองแห้ง .เหมือนใจ นางแล้ง .แห้งเหมือนดัง เศษผง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .น้ำเดือนสิบสองว่าทรง .ยังไหลลงเหมือนกับใจน้อง (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) กิ่งโศกคนยาก ฝากถ้อยท้าย.. ๏ แลโชนฉายบ่มชี้ ......กลางกมล บ่งบอกยกสถล ............ จิตสะท้อน อันเกิดแก่แต่ตน ........... ตะบะ โชติเฮย ยั้งสู่รู้เย็นร้อน .............. เดชเรื้องดำรงค์ ๚ะ๛ ๏ ให้มันโชนฉานฉายบ่มใจชี้- ปลุกเปลวเพลิงอัคคีเข้าคลี่ข่ม- เข้าเติมแรงฤทธิ์ล้าที่อ้าล้ม- ตะแคงข้างฝังถมจวนจมทัณฑ์ ๏ พร้อมประจุปีกหางกางขยับ- ยกร่อนหลีกปีกขับลอยรับขวัญ- โบยละลิ่วเริงฟ้าเหนืออารัญ- กว้างใหญ่ร้อนสุริยันต์มิพรั่นย้ำ- ๏ ยออารมณ์โอมเสาะจำเหมาะเสก- ระบำฟ้าบทเอกบนเมฆอ่ำ อวดอ่อนฟ้อนกรีดข้อยักคอค้ำ- เคียงเสียงร่ำมโหรีพิรี้พิไร- ๏ เฉกปักษีว่ายฟ้าอารมณ์ฝั้น- เกลียวเรียวปั้นปลุกคลื่นหาขืนไข- ขานสนองสนานสนุกนัย- ระริกแรงความไคล้หทัยครื้น ๏ วิหกห้อล้อลมขย่มเร่- หันเลี้ยวโล้โอ้เห่โด่เด่ดื่น- ด่ำอิสระเสรีรดีรื้น- ครั้นยำค่ำย้ำตื่นมิขืนตาม- ๏ ตริพร้อมตรองพร่องรู้ว่าสู้แล้ว เด่นดวงตาฉายแววดุจแก้วหวาม- โชติทั่วตัวเต่งเยิ้มถ้วนเพิ่มยาม- ฉานบานเบ่งถ้วนท่ามอร่ามท้น ๏ ปรุงแต่งใจไสวสวยด้วยสวัสดิ์- แลบอกบ่ายป่ายปัดขจัดป่น- แปลงพร้อมเปลี่ยนดีหมายกลางกมล- ยกเทินหัวเถิดชนจักพ้นพา-๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ภาพจิตอาสา เมื่อ 27 พ.ย.2554 สถานที่ ชุมชนบ้านกระแชงปทุมธานี