............รักพ่าย หรือพ่ายรัก.. สมรัก หรือรักสม ..ประโยคเหล่านี้ มักจะมาเยือนเยี่ยมบรรดาเหล่า คนหนุ่มสาว เมื่อล่วงพ้นวัยเยาว์. มิเคยขาดช่วงตอน., บ้างสุขสม บ้างทุกข์ตรม บ้างสลับทุกข์ สลับโศก กันมามิขาดสาย ..มองแบบคำสอนพุทธองค์ ทรงตรัสสอนเทศนา ไว้ว่า...ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์.. เพราะ อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ย่อมเป็นต้นตอกำเนิด ผลสิ่งที่ตามมามากมาย เมื่อแรกรัก ก็พะวง ว่าอีกฝ่ายจะรักเราไหมหนอ เมื่อยิ่งรัก ยิ่งพะวงหลงเพ้อ ครุ่นคิด ว่าเขาทำอะไร คิดอะไร? อา...รสรัก.ได้ก่อความกังวล เมื่อกังวล ย่อม อยู่ไม่สุข นั่นก็คือทุกข์นั่นเอง บางคนจักกี่ช่วงชีพ ก็ยังวนเวียนใน วังวน กับสิ่งที่เรียกว่า ความรัก .. มีใครบ้างหนอ จักรู้ จักวาง ความเหมาะสม ในเรื่องรัก เรื่องเสน่หา นี้ได้อย่างเหมาะเจาะโดยมิต้อง มีกังวล มีไหม? พิษเสน่หา มันทำร้ายจิตใจคนมากยิ่ง บางคนต้องฆาตเพียงสิ้นรักสิ้นเสน่หา บ้างกำเนิดตำนานรอยโศก ให้ผู้คนหม่นหมองตาม.. ..โลกมนุษย์ คงยากสิ้น และยังคงแรงเริงบ่มด้วย อารมณ์รัก อารมณ์หลง อารมณ์โกรธ และอารมณ์โลภ แล ยิ่งเนิ่นนานวันเท่าใด สิ่งเหล่านี้จะคงยิ่งพอกพูนเท่านั้น ...เราๆ ท่านๆ ยังจับต้องด้วยอารมณ์ที่ไหว ทุกท่วง ยังรู้เจ็บ รู้จำ รู้ชื่น รู้เศร้า คงต้องเวียนว่าย โลดแล่นไปตามบทบาท ไปจนกว่าจะถึงที่หมาย? วันนี้ ที่จริง ขณะขับรถ ได้เปิดฟังเพลงคลอ เบาๆ เป็นงานเพลงเก่าๆ (เช่นเดิม) แต่อาจยังไม่เก่าหากนับคนร้อง ( บางเพลงมีคนร้องหลายรุ่น) เพลงลูกกรุงเก่าๆ ออกแนวกึ่งเศร้า ..ชื่อเพลง มนต์รักเรียกหา ผมฟังที่ไร ชวนเคลิ้มมิรู้สร่างเลยละครับ....เสียงของนักร้องท่านนี้ที่เพิ่งล่วงลับไปไม่นาน มนต์เสน่ห์ในน้ำเสียง ฟัง แล้วพริ้มตา ดูนะครับ จักรู้รสแห่งคีตะที่ตรึงใจนักและ เพลง... มนต์รักเรียกหา ศิลปิน... กุ้ง กิตติคุณ เชียรสงค์ ความรักเรียกหาเหมือนมนตราตรึงใจ เฝ้าคร่ำครวญไปไม่รู้สร่าง หวิวหวั่นฝันแต่ภาพนวลนาง คลั่งไคล้ไม่จางคร่ำครวญถึงนางคนเดียว บุพเพเสกสรรรักครองกันปางใด จึงมาดลใจใฝ่รักกลมเกลียว เห็นกันหัวใจพลันปลาบเสียว วาบหวิวนักเชียว สุดเหนี่ยวสุดรั้งยั้งใจ ลืมตัวมัวเมาเฝ้าพิศวาส หลงรูปจูบกระดาษที่วาดไว้ พร่ำภาวนารักเอยพาสมใจ สิ่งเดียวรักยิ่งสิ่งใด หลุดโลกสดใสอยู่ในอารมณ์ ชาตินี้ปองรัก รักไปจนวันตาย ไม่มีเสื่อมคลายจากชู้คู่ชม ฝันใฝ่ฝังอยู่ในอารมณ์ แอบรักชื่นชมเมื่อไหร่จะสมใจเรา + ลำนำ.... กี่-เพลิง-พิษ-เฉก-ร้อย ? + ( ฉบับโคลงห่อกลอน) ๏ กี่ปองรักหักแล้ว ..........โศกครวญ เพลิงพิษสวาทหวน ....... รุกห้อม เฉกถ้อยสาปสบทวน ..... ทดแทรก ย้อนนา ร้อยป่วนฤทธิ์ปิดล้อม ....... ปลุกเร้าเปิงสลาย ๚ะ ๏ กี่-ปองป่วนครวญรักเกินหักแล้ว กี่-คำแผ่วคืนพล่านสะท้านหาย กี่-ห่วงหวงเกินแหนห่มแกนกาย กี่-รสหลงโกรกผ่ายลุกไหม้ลาม ๚ะ ๏ เพลิง-รักพ่ายมลายม้างมิยั้งมอด เพลิง-รักพรอดผลุดไหวเชื้อใหม่หวาม เพลิง-รักจมจ่อล้วงโชติช่วงยาม- เพลิง-รักถามร่ำถึงคำนึงเนา ๚ะ ๏ พิษ-ถ้อยพ้อห่อพอกคำบอกบท พิษ-กำหนดแรงโน้มประโคมเขลา พิษ-กำเริบกรูรบกี่พลบเงา พิษ-แพงเร้าผูกเร้นโยงเส้นใย ๚ะ ๏ เฉก-เพลิงสุมรุมโชนให้ป่นเชื้อ เฉก-พิษเถือแล่ถากให้ตักษัย เฉก-คมมีดกรีดหั่นให้บรรลัย เฉก-ซุกเล่ห์เสน่ห์นัยไพล่ซ่อนนำ ๚ะ ๏ ร้อย-สวาทกระหวัดรั้งสรรพางค์ร้อน ร้อย-รสกร่อนเล็มกินจนสิ้นหวำ ร้อย-กิเลสหลงเพริดจนเกิดกรรม ร้อย-ถลำฤทธิ์พร่าราคะ.....เพลิง ๚ะ ๏ สวาทรัดรส,ร้อย .......... ยิ่งหลอน เล็มเลาะเกาะรานรอน .....ลุกไหม้ กิเลสเกร็ดตะกอน ........... กองเติ่ง เพลิงเร่าผ่าวรุกไล้ ........แพร่ล้วงบ่วงผลาญ ๚ะ + กิ่งโศก+
เพียงเริ่ม ล่วงสู่ สิงหามาส อันนับว่าเป็นเดือนมหามงคล ( ทุกเดือน ย่อมเป็นเดือนมงคนทั้งนั้น) แต่ด้วยเป็นเดือนเฉลิมพระชนม์พรรษาของ องค์สมเด็จพระมหาราชินีฯ แล นับเป็นวันแม่ ในวันที่ ๑๒ สิงหา .. อย่างน้อยช่วงเดือนนี้ ลูกๆก็ ถูกกระตุ้น รำลึกถึงผู้เป็นแม่ มารดาผู้ให้กำเนิด กันพอดู ทั้งที่ความรักต่อบุพการีย่อมมีติดตัวกันอยู่ทั่วทุกตัวคนอยู่แล้ว กิจกรรมวันแม่เริ่มมีขึ้นมากมายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดเป็นวันที่ได้หยุดต่อเนื่องหลายวันสำหรับคนทำงานเพียงเขียนใบลาต่อเนื่องอีกวันสองวัน จึงมีการเดินทางของลูกๆ จากแหล่งทำมาหากินอันไกล ก็หวนย้อนคืนสู่ภูมิลำเนา สายธารมนุษย์ หลั่งไหล แลไออุ่นก็ อบอวนยิ่งแล้ว..สู่อ้อมกอดมาตุภูมิ บ้างสุข บ้างชื่น อาจมีบ้างที่ทุกข์ถม ห้วงนี้เอง กิ่งโศก ยินเรื่องบอกเล่าโดยตรงและโดยอ้อม ถึงสองเรื่องเกือบจะพร้อมๆ กัน อันเกี่ยวกับทุกข์ โศก..แม้นพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ว่า เกิดแก่เจ็บตาย นั้นคือสิ่งที่ทุกคนจะต้องพบไม่มีใครหลีกพ้นก็เถอะ...ด้วยจิตมนุษย์ย่อมมีสายใยแห่งความรู้สึก เช่น รัก โลภ โกรธ หลง อันเป็นการตัดได้ยากยิ่งของมนุษย์ ดีใจ ย่อหัวเราะ หรรษาด้วยความสุข เสียใจ ย่อมร้องไห้ อมทุกข์ติดตัวไม่รู้สิ้นเช่นกัน.. วังวนกรรมะ.. เรื่องราวที่กิ่งโศกได้รับทราบ เป็นเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย..อาการป่วยสองเรื่องเหมือนกัน..และคำพูด ของหมอ ที่บอกญาติ เหมือนกัน..คือ จะให้ไปโดยสงบ หรือจะยื้อชีวิตไว้จนกว่าจะหาไม่.. อาโรคภัย กำลังพร่าชีวิต ก็คงเป็นไปตามหน้าที่กระมัง หน้าที่ที่จะคอยนำพาสิ่งมีชีวิตให้ดับขันธ์ เพื่อเข้าสู่การละกายหยาบ.. หนึ่งนั้นคือบิดา ของมิตรกิ่งโศกเอง มิตรผู้นี้ของกิ่งโศก ที่เธอเหมือนจะผจญเรื่องราวแห่งการสูญเสียอยู่มิขาด..นับไม่นานคือแม่ มาบัดนี้คือบิดา ..อย่าท้อนะมิตรเอย.. อีกหนึ่ง พี่สาว ของมิตรกิ่งโศก อีกคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่ามัจจุมารคล้ายนั่งนับถอย ลมหายใจของเธอกระนั้น.. .. มรณา มรณะ มรณัง มรณ์ หรือความตาย นั้นกำลังรอ ทุกคน ให้เดินทางไปหาอยู่ทุกขณะ เป็นจุดรวมแหล่งสุดท้ายที่ทุกคนจำต้องเดินไป จะขัดขืน หลบเลี่ยง ยับยั้งหาได้ไม่.. เพียงความแตกต่าง อุปสรรคของทางเดินอาจต่างกัน...ต่างกันด้วยกรรม กรรมเก่าที่ให้มาชดใช้ เมื่อใช้ในห้วงภพนี้หมด ย่อมสิ้นสุดเส้นทางเดิน เพราะถึงประตู มรณ แล้วนั้นเอง.. ความเล่าผ่านเรื่องราวเพื่อนำสู่ลำนำ ครานี้ หาใช่ว่า กิ่งโศก จักบรรลุญาน หรือตัดกิเลส ตัดอารมณ์ได้ไม่ ยังคงคร่ำด้วย อารมณ์รัก โกรธ หลง หัวเราะ ร่ำไห้ เป็นปกติของมนุษย์ อยู่กระนั้น ด้วยอารมณ์ รันทด ที่ทอดทับดวงจินต์ จึงอยากนำ บทเพลง เกี่ยวกับธรรม ฟังเพื่อกล่อม ฤาเกลาจิตใจคงให้หาย แห่งอารมณ์กำสรดนั้นได้บ้างไม่มากก็น้อยละขอรับ.. บทเพลงนี้ อาจหาฟังกันยากสักหน่อย ต้นฉบับ เป็นนักร้องชื่อไม่คุ้นหู กิ่งโศก ได้ฟังเพลง นี้ นานมากแล้วตอนนั้น ได้ฟังผู้ขับร้อง เป็นผู้มีชื่อเสียงทางการเมือง เป็นผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในอดีต นั่นคือ คุณกร ทัพพะรังสี ที่สนับสนุนเพลงลูกทุ่ง....... กิ่งโศกว่า เป็นบทเพลงที่น่าฟังทีเดียว เชิญรับฟังได้ครับ ปิยมิตรทุกคน.. เพลง หนี้กรรม ขับร้องโดย สุมิต สัจเทพ - ยุพินแพรทอง ซันชารกี ฮารีเชคา อิสตานาฮี พาซานาแฮ เอกะดุน เตเชยานาแฮ เอกะดุน ดะมียานาแฮ อนิจจา... เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังคำพุทธาเตือนให้อาวรณ์ จนมีผู้ดี...ไหม้ไฟฟอน เมื่อตอนถึงวันสิ้นลมปราณ เวลามีชีวิตวายวุ่น ทำบุญเป็นกุศลให้คงมั่น ดับขันธ์..เราจะไปไหนกัน ขึ้นสวรรค์หรือนรกให้เลือกเอา เกิดมาต้องตาย...ใครจะค้ำฟ้า วัฏฏะสังขารา...อย่ามัวเมา บารมีนั้นมีไม่นานเนา ถูกเผาแล้วได้อะไรไป อวดศักดิ์บารมีจึงหลงคิดทำชั่ว เมามัวลืมตนหลงอำนาจ ขาดคุณธรรมค้ำคอยเจือจุน กรรมจึงหนุนให้ต้องได้เป็นไป ซันชารกี ฮารีเชคา อิสตานาฮี พาซานาแฮ เอกะดุน เตเซยานาแฮ เอกะดุน ดะมียานาแฮ เกิดแก่ดับจิตเป็นนิมิตฝัน ใครจะสรรหาได้ดังใจ เกิดทำไม..ต้องตายไม่จีรัง ถูกฝังแล้วไปที่ใดกัน?? หยุดพนมมือยึดถือพระธรรมมั่น เบียดเบียนกัน..สวรรค์ไม่คอยท่า หลับตาลงฟังพุทธวาจา กิเลสหนาขอจงจางไป ........ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เดตุลทิยา ปายานีนาฮี ....... ๏ มานัสมานุษห้าว เริงบ่วงก้าวร่ำโลกีย์ คว้ายื้อไขว่ยึดยี ผยองเดชเผยอใด ๏ เหวยเหวย!หวังค้ำฟ้า แลมิช้าย่อมครรไล สู่แคว้น ณ แดนนัย ล้างรอยบาปบำราบบุญ ๚ะ๛ ๏ มานุษมานัสห้าว กำแหง จริงเฮย เหลิงจิตฤทธิ์จำแลง ลักษณ์ผู้- ทุศีลละสร้างแพง- บุญผ่อง กิเลส,ล้นก่นรู้ เลาะเนื้อเล็มหนัง ๚ะ ๏ โอหังอ้างโอ่โอ้ แอ่นตน ยาตรย่ำค้ำเวหน งัดง้าง เทพมฤตยูยล เยงพ่าย เจียวฤา ทรงศักดิ์ประจักสร้าง สื่อแม้นเฉกมอม ๚ะ ๏ จอมจักรพรรดิต้อง ทอดวาง ไอศูรย์นา ยาจก,ยกกะลาผาง พรากสิ้น มรณะเคลื่อนทาง ทะท่าว ใครฤหาญห้ามลิ้น- เทพเจ้าความตาย ๚ะ ๏ กรายเศิกเกริกฮึดสู้ หวังชัย ชำนะเนอ มนตร์พระเวทคุณไสย เสกป้อง ฤาหักผลักรั้งใด อมตะ ยุดเฮย ศรเสียดแทงจิตจ้อง ถอดแจ้งจึงถอน ๚ะ ๏ มรณาสุดท้าย ทุกชน ปราณหลีกปลีกหลบปน ไป่เร้น สร้างสมก่อกุศล ยังชีพ เถิดพ่อ ลาล่วงละบ่วงเส้น มัดร้อยห้อยถู ๚ะ ๏ นราอยู่รับรู้ แลนัย หน้าที่สิผลักไส สืบก้าว เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย-ใย ย่ำมรรค ทอดแฮ กรรมกอดสอดหน่วงน้าว เก่าใช้ใหม่ถอน ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ จักรพรรดิ ต้องวางไอศูรย์ ขอทาน สูญสิ้นกะลา เมื่อมรณามาเยือน ไม่มียุทธภูมิให้เคลื่อน รบราเพื่อชนะต่อไป ไม่มีเวทมนตร์ใดจะปัดเป่าเพื่อรักษาชีวิตให้เป็นอมตา จงถอนศรเสียดแทงจิต ด้วยปัญญา อย่าประมาทในชีวิตเลย ..............ปัจฉิมวจนะแห่งพระตถาคตเจ้า..( ที่มา : ชามี นักบวชหญิงแคว้นกาสา , ทมยันตี ผู้รจนา)