ช่วงนี้เป็นช่วงหลงเสน่ห์เมืองเหนือ ของกิ่งโศก คนยาก หุหุ แลคาบนี้เรามาสัมผัส แคว้นในอดีต ที่เกือบจะเป็นแค่ตำนาน.. เวียงกุมกาม..ตำนานเมืองล่ม เบื้องลุ่มน้ำแม่ปิง เมืองที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ แลก่อนกาลนั้น ยังก่อกำเนิด ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่นวัด และกู่ ( กู่ หมายถึงเจดีย์) เวียงกุมกาม ที่ถูกขนานนามว่า เป็นเมืองหลวง เมืองแรกของอาณาจักรล้านนาไทย หากไม่ล่มแล้วคงรุ่งเรืองยิ่งนักแล้ว เวียงกุมกามแม้นจำเริญรุ่งไม่นาน และเกือบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จนผู้คนเกือบจะจดจำกันไม่ได้แล้วว่ามีอยู่จริงหรือเป็นเพียงตำนานเท่านั้น จวบประมาณปี 2527 กรมศิลปกรได้ไปขุดเจอ เมืองล่มเมืองนี้ เรื่องราวจึงบ่งบอกเหตุ อุบัติขึ้น ทำให้ เราๆ ได้รู้จัก มิใช่แค่เป็นเป็นเรื่องเล่าขาน เรื่องราวความรัก สัจจะ แลการสร้างบ้านแปลงเมือง ของเจ้าชีวิตล้านนา.เท่านั้น แต่ ทุกสิ่งทั้งหลายคือ ประวัติศาสตร์ชาติไทย.. ปัจจุบัน .เวียงกุมกาม อยู่ในท้องที่หมู่ 11 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 5 กิโลเมตร ติดกับ ลำพูน เกร็ดประวัติคงมีการกล่าวไว้ให้ศึกษา เกี่ยวกับเวียงกุมกามเหล่านี้มากมายแล้ว กิ่งโศก เพียงสะกิด อนุสติตัวเองให้หวนนึกถึง นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง เวียงกุมกาม ที่ได้เคยอ่านมาก่อนหน้านี้ ... ความรัก เรียกว่า 5 เส้า ก็ได้...ถูกดำเนินเรื่องแบบอิงประวัติศาสตร์ ได้ชวนติดตามยิ่ง แม้จะติดขัดกับการ อ่านภาษาทางเหนือ.. เจ้าพระยามังราย มหาเทวี นางอั๊ว ราชเทวี พายโค อ้ายฟ้า และ กานโถม นวนิยายเรื่องนี้ มีนักอ่านชาวลำพูนเพื่อนของกิ่งโศกเอง เคยต่อต้านและวิพากษ์ ในแง่ผู้เขียนที่อ้างอิงประวัติศาสตร์เวียงกุมกามกับผู้ค้นคว้า อีกท่านหนึ่ง ที่แย้งกับอีกท่านหนึ่ง..ณ. ที่นี้กิ่งโศก ไม่ขอก้าวล่วงวิพากษ์ในหัวข้อขัดแย้งดังกล่าวแต่อย่างใดแต่เพียงใด เพียงมีความชื่นชอบ นวนิยายแนวอิงประศาสตร์ หลายๆเรื่อง และเวียงกุมกามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากจะถือว่า อิงประวัติศาตร์ นั้นครึ่งหนึ่งทีเดียว ส่วนอีกครึ่งเป็นการจินตนาการของผู้แต่ง ( ทมยันตี) อยาก สปอย เรื่องราวให้ฟังจัง..แต่จำได้ไม่หมด เอาแบบย่อ แล้ว ก็ย่อ ก็แล้วกัน 55 พระยามังราย ปฐมกษัตริย์ ล้านนา รักใคร่นางอั๊ว แล ให้สัจจะแก่นางว่า จะรักนางคนเดียว ในโลก โดยมิปันใจให้นางอื่น นางอั๊ว เวียงชัย ผู้งดงาม แลมีฝีมือฟันดาบ และ นางคือ ฟ้ามุ่ย แห่งม่อนผาสูง ของอ้ายฟ้าผู้เฝ้าปองด้วยใจภักดิ์ อ้ายฟ้า ชายหนุ่มรูปงาม สุภาพบุรุษ เป็นนักรบ และศิษย์ร่วมสำนักดาบกับนางอั๊ว และหลงรักนางอั๊ว ด้วยภักดิ์ยิ่ง แบบไม่มองสาวอื่น พายโค ราชธิดาเมืองหงสา ผู้งดงามยิ่งแลถูกถวายให้พญามังราย ..หรือนี่คือเหตุให้นางอั๊วไปบวชชี และปรกอบเหตุบุตรนางอั๊วเสียชีวิตด้วย จึงตัดสินใจบวช...และอาจเป็นสาเหตุให้พญา มังรายโดนสายอัสนีบาตจนสิ้นชีพ.... นางพายโคหลงรักอ้ายฟ้า เป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยพญามังรายรับนางมาแต่ในนามหายุ่งเกี่ยวด้วย ถือสัจจะต่อนางอั๊ว ..นางน้อยใจมาปรึกษาแม่ชีที่วัดบ่อย ..จวบแม่ชีนางอั๊วตาย ..อ้ายฟ้าแค้นพายโค นึกว่าเป็นต้นเหตุ พายโคจึงย้ายมาอยู่เวียงกุมกาม.. กานโถม นายช่าง ผู้แอบรักนางพายโค เยี่ยงทาส โศกนาฏกรรม เมื่อ ภัยจากลำน้ำปิง ท่วมบ่าเวียงกุมกาม ผู้คนล้มตาย..แล นางพายโคด้วย นางตายอยู่ในอ้อมกอดของ กานโถมทาสผู้ซื่อสัตย์ที่พยายามช่วยนาง.. พญามังราย โศกสลด ณ..วันหนึ่งเดินอยู่ในตลาด สายฟ้าได้ผ่ามาที่พญา จนต้องมาตายไปด้วย.. คำสาบาน..กำลังลงทัณฑ์พญาแล้วหรือไร ?..... สักขีแม่ปิง.. อยากนำเสนอ บทเพลง อมตะ สักเพลงเถิด..เพลงนี้โด่งดังครั้งอดีต และสักช่วงหนึ่ง กลุ่มรวมดาว นำมาร้องใหม่ ก็ดังระเบิดเทิดเทิง เลยเชียว 55 เชิญชวน พี่ป้า น้าอา มารำลึกความหลังกันเถิด.... เพลง : สักขีแม่ปิง ศิลปิน : รวมดาว ( ประวิตร ทวินันท์) เนื้อเพลง : ช. โอ้กุศลดลพี่มาพบเจ้า ใจพี่ยังร้อนผ่าว ความรักรุมเร้าคลั่งไคล้ ญ. น้ำคำรักของคนเมืองใต้ จะจริงแท้แค่ไหน สาวเชียงใหม่ครวญใคร่ถวิล ช. ชีพสลายยังไม่คลายรักเจ้า ญ. จริงดั่งใจหรือเปล่า หวั่นเกรงเคลือบเอาที่ลิ้น ช. รักจริงเพียหัวใจแดดิ้น ไม่วายเว้นถวิล มิสิ้นความรักได้เลย ญ. น้ำปิงล้นฝั่ง ช. ดังรักพี่ เปี่ยมฤดีแล้วเจ้าเอย ญ. แล้วคงละเลย ไม่เหมือนเอ่ย ช. โอ้ทรามเชยมิเคยแหนงหน่าย ญ. หน่อยเถิดนะ คงจะไม่เห็นหน้า ช. ถ้าพี่เป็นเหมือนว่า วานน้องฆ่าเสียให้ตาย ญ. สาบาน ช. จ๊ะสาบานก็ได้ หากความรักสลายขอตายในสายแม่ปิง ช. รักกันหวานชื่น ญ. เกรงขมขื่น ขื่นกลับชังช้ำอกหญิง ช. น้องควรรู้ใจ พี่ทุกสิ่งเช่นแม่ปิงรู้จริงใจพี่ ญ. หน่อยจะคร้าน นานกลับกลายหายชื่น ช. พี่ไม่ไปไหนอื่น จะขอชื่นรักอย่างนี้ ญ. อุ๊ยตาย อายเขาบ้างซิพี่ ช. จูบฝากรักสักที ช.ญ. ไว้เป็นสักขีแม่ปิง ๏ ฟ้ามุ่ย..พิมานแถน ๏ งามแม้นยิ่งฟ้ามุ่ย...............ม่อนสูง สรวงเนอ เลอข่มพิลาสยูง..............เยี่ยมฟ้า ตรึงจิตติดจองจูง............แจ้งเติ่ง ตามเฮย แลทอดลอดทั่วหล้า........เลิศถ้วนเรืองแถน ๚ะ ๏ งามแม้นยิ่งฟ้ามุ่ยเยี่ยงปุยฝ้าย เฉกละม้ายศักดิ์แถนยั้งแดนสรวง นายิกามาลัยไผทยวง ผกาพวงกลีบพร้อยดอกสร้อยพราว ๏ นรหาญปีนป่ายหวังได้ปลด ปลายบรรพรตจรดสูงจรุงหาว ร่วงแลหล่นลงเหวแหลกเหลวราว- ฝุ่นทะท่าวยอบพื้นระดื่นดิน ๏ มนต์ฟ้ามุ่ยร่ำหมายกำจายม่อน ภมรว่อนโฉบว่ายไหวถวิล ดอกฟ้าสรวงปวงคู่หมู่เทวิน เหล่าชาวดินเคียงค่าดอกพะยอม ๏ แหงนคอตั้งต่างตาหวังฟ้าเห็น เพียงเศษเส้นกลีบเฉาสิ้นเงาหอม ปลิวจากขั้วหลุดโคมกระโจมจอม ดินเจ้าดอมจึงดมให้สมปอง ๏ มิกลัวพิษซ่อนซ้อนเกสรชู้ หวำวาบสู่วธูชิดสนิทสอง แม้นชั่วเสี้ยวเพลาสั้นเชิงครรลอง ยังตราต้องติดตรึงตราบนิรันดร์ ๚ะ + กิ่งโศก + ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓
ป่าซาง .. ชื่อนี้ กิ่งโศก ได้ยิน บ่อยครั้ง ในบทเพลง ..ทั้งลูกทุ่ง และลูกกรุง เช่น ชรินทร์ , หยาดนภาลัย .นำมาขานขับบทเพลง แสนไพเราะจับใจยิ่งนัก แม้แต่ราชาเพลงลูกทุ่ง อย่างสุรพล ไม่เว้น ยังขับร้อง ถึงสองเพลงเกี่ยวกับเมืองป่าซาง ระบุบ่งถึง สาวงามเมือง ป่าซาง ไฉน เมืองเหนือจึงตราตรึง ให้ผู้คนหลั่งไหลไปเยือนกันนักหนอ โดยเฉพาะ บุรุษชาติที่ ทิ้งความอาลัยอาวรณ์ ยามจรจากนักแล้ว เสียงเพลงครวญหาสาวงาม ป่าซาง และธรรมชาติ เสน่ห์มนต์เมืองเหนือนั้นช่างเป็นดินแดนแสนงาม ที่ถูกบันทึกลงห้วงความใฝ่ฝันของนักเดินทาง เมื่อมาเยือนก็ยากที่จะลืมเลือน ป่าซาง..ดึงใจให้คนลุ่มหลงด้วย ธรรมชาติอันงดงาม บวกด้วยขนบธรรมเนียม แห่งเมืองล้านนา ในอดีต ไม่เว้นความงามของสตรี แห่งเมืองนี้ ก่อน ที่จะสดับกับบทเพลง เรามารำลึกย้อน แล เยี่ยมยล สภาพ ภูมิศาสตร์ และอดีตเมืองป่าซางกันสักนิดเถอะ ป่าซาง ..เป็นเมืองเก่าชุมชนเก่าแก่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ส่วนที่ตั้งของอำเภอป่าซางนั้น ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำทากับแม่น้ำปิง ก่อนที่จะตั้งเป็นอำเภอป่าซางนั้น บ้านป่าซางเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอปากบ่อง จังหวัดลำพูน เมื่อครั้งสมัยพระยากาวิละจะกอบกู้เมืองเชียงใหม่ ได้ส่องซุมกำลังพลที่เวียงเวฬุคาม ลักษณะเวียงเวฬุคามตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำกวงด้านทิศตะวันตก มีแนวกำแพงเมืองลักษณะในรูปเกือกม้าหรือรูปครึ่งวงเดือน คูน้ำที่ล้อมรอบเวียงเวฬุคามนั้นใช้น้ำไหลเข้าจากน้ำแม่ทา โดยมีฝายกั้นที่หน้าธนาคารออมสินปัจจุบัน น้ำไหลรอบคูเมืองไปออกที่ข้างป่าช้าป่าซางปัจจุบัน ลักษณะกำแพงเมืองเวฬุคามกว้างประมาณ 1 เมตร และมีป้อมยามรักษาการณ์ตลอดแนวกำแพงเมืองระยะห่างประมาณ 100 เมตร ปัจุบันซากกำแพงเมืองเวฬุคามยังมองซากอยู่เป็นช่วง ๆ ยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร แลผู้คน ที่พำนักอาศัย อยู่ มีเชื้อสาย เป็นคน ไทยอง ที่อพยพมาอยู่เมืองลำพูนมาครั้งอดีตแล้ว ซึ่งได้ ดำรงค์วัฒธรรม การทอผ้าฝ้ายอันลือชื่อ สืบมาจนทุกวันนี้ ไทยอง คือ ใครอีกเล่า? ประวัติของชาวยอง ยอง หรือไทยอง ชาวล้านนาจะออกเสียงเป็น "ญอง" แต่กลุ่มชาวไทยองมักออกเสียงเป็น "ยอง" ชื่อ ยอง หรือ ไทยองนี้ ใช้เรียกกลุ่มคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองยอง และกระจายอยู่ทั่วไปในแถบเมืองต่างๆ ในรัฐฉานด้านตะวันออกของพม่า เขตสิบสองพันนา ในมณฑลยูนนานของจีน เมื่อ พ.ศ.๒๓๔๘ กลุ่มชาวเมืองยองได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุของสงครามการรวบรวมกำลังคน ต่อมาก็ได้กระจายไปอยู่ในหัวเมืองต่าง ๆ ในล้านนา คำว่ายองหรือ "ญอง"อันเป็นชื่อเมืองนั้น ตำนานเมืองยองอธิบายว่าเป็นชื่อหญ้าชนิดหนึ่งที่เคยขึ้นในบริเวณเมืองยอง ครั้งหนึ่งมีนายพรานมาจากอาฬวีนคร ได้จุดไฟเผาป่าทำให้หญ้ายองปลิวไปทั่ว เมืองยองมีชื่อเป็นภาษาบาลีว่า "มหิยังคนคร"(ตำนานเมืองยอง) ตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงตุง ห่างกันประมาณ ๘๐ กม. ห่างจากแม่สายประมาณ ๑๕๗ กม. บริเวณเมืองยองเป็นแอ่งที่ราบกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ ภูมิประเทศด้านตะวันตกสูงกว่าด้านตะวันออก แม่น้ำสายสำคัญคือน้ำลาบ น้ำวัง และน้ำยอง จึงไหลไปทางทิศตะวันออก เมืองยองมีประตูเวียง ๗ ประตูคือประตูเสื้อเมือง ประตูน้อย ประตูดินแดง ประตูม่อนแสน ประตูปางหิ้ง ประตูหูหูด และประตูผาบ่อง บริเวณใจกลางเมืองมีต้นสรี หรือต้นโพธิมีไม้ค้ำโดยรอบซึ่งแสดงถึงความเชื่อเรื่องไม้ค้ำสรีเช่นเดียวกับคนเมืองในล้านนา ............. ขอนำเสนอเพียงคร่าวๆ คือ เมืองลำปูน และโดยเฉพาะป่าซาง นั้นมีคนยอง อาศัยตั้งรกราก พร้อมการนำขนบธรรมเนียม วิชาชีพติดตัวมาด้วย..เช่นการทอผ้าฝ้าย มาฟังบทเพลงที่ชมเมืองชมแม่หญิง ป่าซางกันเถิด สาวป่าซางนั้น งามแต้ๆ เน้อ ขนาดได้เป็นนางสาวไทย เลย ละครับ นางสาวสุธีรา ศรีสมบูรณ์ สาวป่าซางที่ได้รับเลือกเป็นนางสาวไทยเมื่อปี ๒๔๙๗ เป็นหนึ่งในสาวงามป่าซาง ที่สร้างชื่อเสียงในกับป่าซาง และได้รับคำนิยามตามมาว่า สาวงามป่าซาง เพลงมนต์รักป่าซาง ขับร้อง โดย สุรพล สมบัติเจริญ ครวญ คิดถึงถิ่นป่าซาง สวยเกิน คำคนเขาอ้าง ป่าซาง แดนนี้มีมนต์ ใคร แม้นเคยไปมาสักหน แล้วต้อง พร่ำเพ้อกังวล ถึงสาวหน้ามนโฉมเจ้าสะคราญ .....โอษฐ์ พริ้มดังหนึ่งคันศร สรรพางค์ สะอางพลิ้วอ่อน ดั่งนาง อัปสรลาวัลย์ ลอย โฉมมาในลำห้วยนั้น พลิกร่าง บังผาเงิบพลัน แลเห็นทรวงนั้น อั๋นอวบขาวนวล .....โอ ป่าซางเจ้าเอ๋ย เพิ่งเคยได้ไปครั้งเดียว หัวใจโน้มเหนี่ยวรัญจวน เพียงได้เห็น เสมือนเป็นบุญชักชวน ใจฉันป่วน เมื่อหวนคิดถึงป่าซาง .....ลา แล้วเมืองแก้วในฝัน พบกันชั่วพลันแล้วจาก ไม่ทัน ฝากรักนวลนาง คง เหลือเพียงแต่ความอ้างว้าง เพ้อครุ่น คิดถึงนวลนาง มนต์รักป่าซาง ฝังจิตมิคลาย .....โอ ป่าซางเจ้าเอ๋ย เพิ่งเคยได้ไปครั้งเดียว หัวใจโน้มเหนี่ยวรัญจวน เพียงได้เห็น เสมือนเป็นบุญชักชวน ใจฉันป่วน เมื่อหวนคิดถึงป่าซาง .....ลา แล้วเมืองแก้วในฝัน พบกันชั่วพลันแล้วจาก ไม่ทันฝากรักนวลนาง คง เหลือเพียงแต่ความอ้างว้าง เพ้อครุ่น คิดถึงนวลนาง มนต์รักป่าซาง ฝังจิตมิคลาย .ป่าเขา ลำเนาพงพฤกษ์ นั้นได้ซ่อนความวิจิตรงามตะการไว้มากมาย หากตัดแห่งภัยธรรมชาติออกแล้ว..นี่แหละ สรวงสวรรค์ อันแท้จริง ปราสาท หรือจักเทียม เท่า เพียงกระท่อมไพร ที่ห้อมล้อมด้วย มวลบุปผา ไอหมอก ดุจก้อนปุยฝ้าย ที่ขาวพราวสะอาด แลค่อยละลายหายไปเมื่อต้องแสง อาทิตย์อุทัย หลอมจิต หลอมกายให้เข้ากับ กลิ่นอายธรรมชาติ กันเถิด... ๏ เส้นแสงระยับย้อง...........ยั่วยล สูรย์เฮย ห่มหว่างห้วงเวหน................ห่อห้อม สุกสะกาวสกล.......................กวมสู่ กาลนา พร่างจิตพิศจ่างพร้อม...........จึ่งพร้อยน้ำพรม ๚ะ ๏ แสงสูรย์จับระยับย้องยั่วยล น้ำค้างบนสนใบไศลสูง เกร็ดมณีน้ำหนึ่งพึงจรุง ผกายฟุ้งยั่วฟ้าอาภาโพยม ๏ หยาดเพชรก้อนเริงรู้แสงอุษา บุหลันลาจึ่งร่ำลำนำโสม ค่อยค่อยจ่างจืดหายละลายโลม หรี่แสงโคมคลายขับค่อยลับลง ๏ เบื้องบุรีมหิยังคนคร ม่อนสิงขรม่านแคว้นดินแดนหงส์ อรุณโรจน์คีรีบุษบง- ชูอวดองค์ห่มหล้าให้ฟ้าชม ๏ ดรุณีศรีพนัสกำดัดน้อย ประหนึ่งสร้อยซ่อนกลิ่นประทินฉม ซ่อนซ้อนไพรพฤกษ์เถื่อนมิเปื้อนตม พิสุทธิ์สมเทพสร้างสะอางอร ๏ ใจพี่จอดประจงค่อยปลงปลด จิตจรดสเน่ห์สิงมิ่งสมร สวาทแล้วใจร่ำเจียนรอนรอน ทั่วนาครหาใครเทียบได้นาง ๏ เทวีภูเยี่ยมฟ้ารัมภาคล้าย เทพยังพ่ายสยบคราพบร่าง เราเพียงชนหรือทานต้านมนต์นาง คงต้องถอดใจวางบนกลางภู ๚ะ
สาวตาหวานกว๊านพะเยา บทเพลงนี้ สมัยยังเด็กๆ จะนึกถึง ภาพ ป่าเขา น้ำตก ถิ่นแถบทางเหนือ เป็นภาพในจินตนาการของกิ่งโศก นึกถึงครั้งใด ดู เป็นภาพที่ดูร่มเย็น แม้ว่าในชีวิตจริง ของกิ่งโศก ยังไม่เคยไปเยือนแม้แต่ครั้งเดียว กว๊าน เมือหาความหมายแล้วจะ รวมอยู่ในกลุ่ม ห้วย หนอง คลอง บึง ลำคลอง แม่น้ำ ทะเลสาบ เรียกว่าเป็น สปีซี่เดียวกัน นะแหละครับ กว๊าน เป็นคำทางเหนือเรียก บึงที่มีขนาดใหญ่ และกว๊านพะเยา ถือว่าเป็นบึงใหญ่ แถบถิ่นล้านนา หรือทางเหนือของไทยนั้น ได้สร้างมนต์เสน่ห์ ให้กลับคนภาคอื่นยิ่งนัก โดยเฉพาะคนภาคกลางเสน่ห์ความงามอันอ่อนช้อย ของสาวทางเหนือ เสน่ห์ความอ่อนช้อยทางวัฒนธรรม รวมไปถึง มนต์เสน่ห์ทางธรรมชาติ กิ่งโศก เคยคิดไว้ว่าสักไม่นาน อยากไปเห็น สักที แม้นว่าจะช่วงนี้มีภาพ ตามสื่อว่า กว๊านพะเยา ก็ น้ำแห้ง.. แต่ความอยากไป เพื่อ อย่างน้อย ก็จะได้ มีอดีตได้เล่าขานบ้าง.. ครั้งนี้ ที่จริงจะนำเสนอ บทเพลงเกี่ยวกับทางเหนือ เจอ มนต์รักป่าซาง ก็แสนประทับ ใจ และพอมาฟัง กว๊านพะเยา..ยิ่งประทับใจ เลยขอเขียนเรื่องราว ของ กว๊านพะเยาก่อน ก่อนฟังเพลง เรามาดู ภูมิหลัง ของเมืองนี้กันก่อน พอสังเขปนะครับ อดีตของเมืองพะเยา " พะเยา " เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในแถบลานนาไทย เดิมมีชื่อว่า " ภูกามยาว " หรือ " พยาว " มีอายุกว่า 900 ปี ตั้งขึ้นราวปี พ.ศ. 1639 โดยพ่อขุนศรีจอมธรรม กษัตริย์แห่งราชวงศ์ลัวะจังคราชหิรัญนครเงินยางเชียงแสน และเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพ่อขุนงำเมือง ซึ่งเป็นพระสหายร่วมน้ำสาบานกับ พ่อขุนเม็งรายแห่งเมืองเชียงราย และพ่อขุนรามคำแหงกษัตริย์กรุงสุโขทัย ทั้งสามได้กระทำสัตย์ปฏิญาณต่อกันที่ริมแม่น้ำบริเวณวัดสบร่องขุย โดยหันหลังพิงกัน แม่น้ำนี้จึงได้ชื่อว่าแม่น้ำอิง พระราชาธิราชทั้งสามพระองค์ ได้ทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณผูกมิตรทรงดื่มน้ำสัตยาผสมโลหิตจากนิ้วพระหัตถ์ เพื่อเป็นมิตร น้ำร่วมสาบานไม่เป็นศัตรูต่อกัน ณ ฝั่งแม่น้ำอิง เขตเมืองพะเยา ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตามอิทธิพลของอาณาจักรต่างๆ ที่ผลัดกันมีอำนาจในแถบนี้ จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พยาวเปลี่ยนชื่อเป็นพะเยา และรวมอยู่กับจังหวัดเชียงราย กระทั่งในปี พ.ศ. 2520 จึงได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็น " จังหวัดพะเยา " นับเป็นจังหวัดที่ 72 ของประเทศไทย พระราชาธิราชทั้งสามพระองค์ ได้ทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณผูกมิตรทรงดื่มน้ำสัตยาผสมโลหิตจากนิ้วพระหัตถ์ เพื่อเป็นมิตร น้ำร่วมสาบานไม่เป็นศัตรูต่อกัน ณ ฝั่งแม่น้ำอิง เขตเมืองพะเยา นี้ ลองมาฟังเพลง แม้จะออกแนวลูกทุ่ง แต่เป็นลูกทุ่งสมัยก่อน เรียกว่า เก่าแล้ว คนร้อง คนแต่ง น่าจะไม่อยู่ในโลกแล้วนะครับ ชื่อเพลงกว๊านพะเยา ตามชื่อบึงใหญ่เลย เนื้อหา ผมว่า เป็นความจำเริญในทางภาษา ที่ ยืมคำคุณ สดายุมาใช้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ คือ นารีปราโมทย์ สิ่งที่สดับได้ นั่นคือ ธรรมชาติยุคนั้น เป็นแบบบริสุทธิ์ อย่างแท้จริง ซึ่งคงหาไม่ได้แล้วในปัจจุบัน เชิญร่วม ฟัง..เพลงนี้กันครับ.. เพลง : กว๊านพะเยา ศิลปิน : สุรพล สมบัติเจริญ เนื้อเพลง : .....โอ โอ่โอโอ่โอ้ละเน้อ ทำบุญจั่งใดเล่าเออ ถึงได้มาเจอสาวเจ้า น้องอยู่ดงดอย ดินแดนห้วยป่าและเขา ถิ่นพงไพรในป่าลำเนา กว๊านแห่งพะเยายังงามละเน้อ .....โอ โอ่โอโอ่โอ้นวลน้อง เจ้าคงสร้างบุญด้วยทอง ไผมองเห็นจึงหลงเพ้อ ถึงอยู่พะเยา น้องยังสวยแจ่มเลิศเลอ สาวเมืองกรุงยังบ่เทียมเธอ ใช่ยอนะเออพี่พูดด้วยใจ .....เจ้าแต่งตัว ยามเล่นน้ำ เจ้านุ่งกระโจม เก็บกล้วยไม้มาแซมเสียบผม แลสลวยสวยงามวิไล เห็นดอกบัวตูม เด่นงามท่ามกลางน้ำใส เจ้าผุดดำโผแหวกเวียนว่าย ร้องกรีดหวีดไปในเพื่อนหมู่สาว .....โอ โอ่โอโอ่โอ้ละหนอ ทำบุญจั่งใดพี่ขอ ยกผลกุศลให้เจ้า ขอตักบาตรพระ ร่วมเรียงเคียงคู่กับสาว แม่ตาหวานกว๊านแห่งพะเยา ขอปองฮักเจ้าจนวันชีพวาย .....เจ้าแต่งตัวยามเล่นน้ำ เจ้านุ่งกระโจม เก็บกล้วยไม้มาแซมเสียบผม แลสลวยสวยงามวิไล เห็นดอกบัวตูม เด่นงามท่ามกลางน้ำใส เจ้าผุดดำโผแหวกเวียนว่าย ร้องกรีดหวีดไปในเพี่อนหมู่สาว .....โอ โอ่โอโอ่โอ้ละหนอ ทำบุญจั่งใดพี่ขอ ยกผลกุศลให้เจ้า ขอตักบาตรพระ ร่วมเรียงเคียงคู่กับสาว แม่ตาหวานกว๊านแห่งพะเยา ขอปองฮักเจ้าจนวันชีพวาย เจ้าแต่งตัว ยามเล่นน้ำ เจ้านุ่งกระโจม เก็บกล้วยไม้มาแซมเสียบผม แลสลวยสวยงามวิไล เห็นดอกบัวตูม เด่นงามท่ามกลางน้ำใส เจ้าผุดดำโผแหวกเวียนว่าย ร้องกรีดหวีดไปในเพื่อนหมู่สาว เป็นภาพที่ชมสาว แล้วมีความรู้สึกว่าไม่อุจาดแต่อย่างใด แต่ชวนเคลิบเคลิ้มตามยิ่ง นะขอรับ..งดงามภายใต้จินตนาการ อย่างยิ่ง... ๏ ขุนสามกษัตริย์สร้าง.......สัตยา ริมแม่อิงแอ่งผา...............หลั่งล้อม โลหิตร่วมมิตรา.....................ดื่มต่าง ถ้อยเนอ สายผูกสัจจะห้อม.................ห่มเคล้าสักขี ๚ะ ๏ สามขุนกษัตริย์สร้างสัตยา ผูกสัจจาถ้อยจริงหันพิงหลัง โลหิตนิ้วพระหัตถ์รวมร่วมพลัง ณ.เบื้องฝั่งดื่มสานสาบานใจ ๏ ระหานห้วยมิแห้งสำแดงบอก เริงระลอกน้ำหลั่งสะพรั่งไหล ชโลมชุ่มร่ำเชื้อถึงเนื้อใน ศกสมัยล่วงผ่านผสานจินต์ ๚ะ ๏ สายน้ำโอบอุ้มเถื่อนที่เคลื่อนคล้อย ประหนึ่งพร้อยแต่งพรายเบื้องปลายสินธ์ โตรกลึกตื้นเลอแต้มแย้มรอยอินทร์ ผู้ประทิ่นทอเส้นทอดเด่นพราว ๏ ครั้งได้เยือนพยาวยิ่งน้าวย้อน ห้วงจิตซ้อนภาพซึ้งคะนึงสาว พิศุทธิ์ยิ่งงามแย้มยลแต้มพราว ภูกามยาวสาวอัปสรซ่อนจำแลง ๚ะ ๏ ระริกเย้าเสียงย้ำถ้อยคำย้อง สรวลเริงก้องกุมชิดสนิทแฝง- อกพี่หวั่นใจหวามภาพย้ำแทง ผกาแจรงทัดหูพธูธาร ๚ะ ๏ สาวเริงน้ำกลางธารพึงจารจับ แม่อิงเอยเผยขับกำซับซ่าน หรือนี่ถิ่นไกรลาศพิมาศมาน โฉมสะคราญว่ายเคล้าช่างเย้ายวน ๚ะ ๏ กว๊านพะเยาบึงใหญ่พี่ได้อิ่ม- เอมภาพลิ้มห่มล้ำเมื่อย้ำหวน จักขอเก็บภาพหวานสุดรัญจวน รำลึกครวญทุกครั้งเมื่อยั้งเยือน ๚ะ + กิ่งโศก +
๏ รับส่งตามเส้นทาง.......ทบต้นหว่างวิ่งสุดสาย นิราศผ่านระราย............กระแสล่องฤๅทวนลม ๚ะ ๏ รอนรอนจนล่วงดึก.......ผ่านพงพฤกษ์น้ำค้างพรม อุษาสางแสงชม.................วิ่งตะบึงถึงปลายบน ๚ะ ด่วน บขส... รถด่วน รถธรรมดา หลายปีก่อน เคยได้ยินรถด่วน 99 ด่วน 99 แม่กลอง หลงรักน้องสมุทรสาคร ... นั่นแสดงว่า ..ด่วนไม่เต็มร้อย 55 แต่รถด่วน สมัยนี้ บางคนชอบ ทาน อิอิ ..ที่เขาทอดขายนะครับ ท่าทางจะอร่อย เหาะ หุหุ นอกจากเรื่องรถ ที่มีด่วน กะบม่ด่วนแล้ว เกี่ยวกับการทำงาน ยังมีแบบ ด่วน ไม่ด่วน และด่วนเช่นกัน เช่นเรื่องนี้ ด่วน(เฉยๆ) เรื่องนี้ด่วนมาก เรื่องนี้ด่วนจี๋ เรื่องนี้ด่วนที่สุด หรือ เรื่องนี้ ด้วนด่วน 55 .. เมื่อวาน กิ่งโศก เปิดวิทยุ ฟังเพลง เจอเพลงเกี่ยวกะรถด่วน บขส. (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังเรียกกันอยู่หรือเปล่า) เป็นเพลง คล้ายเพื่อชีวิต จังหวะสนุก ..หากเป็นคอนเสิตย์ หลายคนคงได้ลุกขึ้นดิ้น กันสนุกแน่ อิอิ ฟังเสียงดนตรี โจ๊ะ พรึมๆ โจ๊ะ..แหม..หุหุ .. ดนตรีจังหวะสนุก สไตล์สามช่า แต่เนื้อหาเพลงกลับดูเศร้าสลด เหอๆ ช่างขัดแย้ง กัน ในเบื้องความขัดแย้งกลับผสมกลมกลืนกันดีนักละครับ ..ชาวนา ..ฝน .. ข้าว เหล่านี้ คือสิ่งที่ผูกพันธ์ในวิถีชีวิตชาวสยามมาแต่นานแล้ว จนมียุครัฐมนตรีสมัยหนึ่งนำมา เป็นสิ่งชูประเทศ ..เป็นบทเพลงทำนองรักชาติ....ยกตัวอย่างนะครับ.. ไทยจะเริงอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม หุหุ..แต่ชีวิตชาวนา ชาวไร่แท้จริง ยังทุกข์เข็ญ กันมาตลอด..นี่แหละชาวนา รอแต่ฟ้า พึ่งแต่ฝน.. ไม่พูดพล่าม แต่ฟังกันเลยดีกว่านะครับ หุหุ จะได้ คึกคัก อาจนึกสนุก เอาแค่โยกไหล่ ก้อพอนะครับ ฝนจางนางหาย พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ .ฝน หลั่ง ดังว่าน้ำตา เราร่วง เฝ้ารักเฝ้าหวง ห่วงแผ่นดิน ถิ่นเกิดกาย ก็ลืมไม่ลง อนงค์นุ่งซิ่นเฉิดฉาย ฝนพรมร่างกาย อาบทรวดทรง น้ำนวลเย้ายวนนัยน์ตา ฝน หลั่ง ค่อยๆแหงนคอย แต่เนิ่น ยิ่งฟังยิ่งเพลิน ดั่งเหรียญเงิน ร่วงลงเต็มท้องนา ข้าวรอมือเรียว เกี่ยวดอง น้องนางนั่นหนา เจ้าเคยสัญญา จะมาหน้าฝน เฝ้าคอยเหมือนคนเป็นไข้ ด่วน บ.ข.ส. วิ่งเลย เมื่อไร จะจอด น้ำจวนแห้งขอด ข้าวเต็มนา ปลาร้าเต็มไห โบกรถข้างทาง ฝากฝัง น้ำคำห่วงใย รับคนเที่ยวใหม่ ช่วยนำพา น้องนางบ้านนามาด้วย ....ด่วน บ.ข.ส. วิ่งเลย เมื่อไร จะจอด น้ำจวนแห้งขอด ข้าวเต็มนา ปลาร้าเต็มไห โบกรถข้างทาง ฝากฝัง น้ำคำห่วงใย รับคนเที่ยวใหม่ ช่วยนำพา น้องนางบ้านนามาด้วย... น้าหมู พงษ์เทพ นี่แม้ผมจะไม่ค่อยจะประทับใจในน้ำเสียง แต่ฟังๆไป อืมนี่แหละ เขาถ่ายทอด ออกมาได้กลมกลืน เหมาะกับชาวไร่ชาวนาเลยแหละ อิอิ หนุ่มบ้านนากำลังนึกถึงแม่สาวผู้ ไปแสวงหาความมั่งคั่งในเมืองหลวง ทิ้งไอ้หน่ม เดียวดาย หน้าฝน มาถึงข้าวกำลังแก่ รอการเกี่ยว ที่ไอ้หนุ่มอยากให้อีสาว มาเคียงคู่เกี่ยวข้างจัง รักแผ่นดินถิ่นเกิดกำเนิดเนา บภาพกว้าง บ่งบอกให้กตัญญู อย่ามุ่งจนอย่าหมายทำลายล้างด้วยเพียงมือเรา อย่าให้เป็นมือทำลายในสิ่งที่ บรรพบุรุษ เราได้สร้างด้วย ก้อนเนื้อ ก้อนเลือด กองกระดูก รักษาจนถึงเราทุกวันนี้ โปรดตอบแทนบุญคุณต่อผืนปฐพีนี้เถิด. ๏ ห้องเปลี่ยวเหี่ยวผุแห้ง..........เรือนหอ ไร้ร่างนางนุชคลอ.......................แนบคล้อง เรือนเซทรุดเฉงอ......................ง้างโยก อกหนุ่มคิดถึงน้อง......................นับนิ้วรอนาง ๚ะ ๏ ห้องเปลี่ยวเหี่ยวผุแห้ง..........ลุผ่านแล้งโลมพิรุณ หยาดรั่วหยดรูพรุน...................กระทบฟากฝากเป็นดวง ๚ะ ๏ น้ำฟ้าร่วงเม็ดโปรย.............. ฉ่ำช้อนโชยสะท้านทรวง ซางข้าวที่ไร้รวง ...................... ยังเปื่อยยุ่ยขยุยกอง ๚ะ ๏ เสียงระปะทะโถม ................ ดุจตระโบมกะโลมลอง หวิวหวิวละลิ่วล่อง ........................ฟ้าพิโรธกระหรือไร ๏ อึงอลจนล้าอ่อน ..................... หลุดปลิวว่อนลู่เอนไหว ชะโลมชะล้างใบ......................... ปลุกชีพโชติช่วงชวาล ๚ะ ๏ อารัญหลังสายฝน.................... กระจ่างจนฟ้าตระการ ทุ่งเคยเคียงนงคราญ ................. กลับมาร้างไร้คนแล ๚ะ ๏ อารัญครั้นรุ่งแจ้ง...............จางฝน ภาพเก่าเคล้าระคน.................คืบย้อน กำเคียวเกี่ยวข้าวปน..............ใจป่วน ถึงแม่ คำรบนี้สะท้อน........................โศกแท้สึกถอย ๚ะ + กิ่งโศก +