คราวนี้ ก็ยังคง โกอินเตอร์ไม่หยุด หุหุ..ข้ามน้ำข้ามแดนไปที่แดนโสม กันนะครับ เพราะช่วงนี้ วัฒนธรรมเกาหลี กำลังรุกความเป็นไทยขนานใหญ่ และเริ่มขยายไปทั่วโลก ตั้งแต่ แดจังกึม..มาโปรยเสน่ห์ แลเหล่าสิ่งเหล่านี้ก็ทลักมาสู่สังคมไทย เง้อ ๆๆๆ เพลง หนัง ทีวี ดารา คนไทย(วัยรุ่น) คลั่งไคล้ กันจนเปลี่ยนชื่อเป็นเกาหลีไปแล้วก็มี มาแรง ซะจริงๆ เฮ้อ..(ถอนใจ) แต่ดาราโดยเฉพาะ สาวๆ กิ่งโศก ก็ยอมรับว่า ..น่ารัก นะ ยามฟ้าครวญคร่ำ ฉันครวญคราง รักเธอไม่สร่าง รักดังหัวใจ ถึงแม้จะห่างดั่งดินฟ้า แต่ใจฉันมาอยู่เคียงใกล้ ดูถ้อยรำพันด้วยความรักยิ่ง ร่ำร้องถวิลหาเป็นอาจิณ ...รักแท้ ของสาวแดนอารีดัง หนุ่มไทยหากไม่ใช่มีเสน่ห์ ก็คงพกพา ขุนแผน หรือนิสัยดั้งเดิม ที่เรียกว่าเจ้าชู้โดยสันดาน เพลงนี้ น่าจะมีอายุยาวนานมากเพราะมีมาตั้งแต่สมัยสงคราเกาหลี และมีเพลงที่ทหารไทยเกิดโด่งดังขึ้น ชื่อเพลง รักแท้จากหนุ่มไทย ที่ขับร้องโดย เบญจมิน..(กิ่งโศกทีแรกนึกว่าเสียงของ สุรพล สมบัติเจริญ) ชื่อเพลง อารีดัง.. บทเพลงที่หนุ่มไทย ไปโปรยเสน่ห์ จนสาวเกาหลีหลงใหล ครั้นจำพรากจากกัน ความโหยหาอาลัยจึงบังเกิดขึ้น ความรักต่างแดนนี้ ถูกถ่ายทอด รุ่นแรก คือ คุณป้า สมศรี ม่วงสอนเขียว ชื่อ คงไม่คุ้นหู เด๋วเราไปฟังพร้อมๆ กันเลยดีกว่า เพลง เสียงครวญจากเกาหลี ผู้แต่ง ชาญชัย บัวบังศรี ผู้ร้อง สมศรี ม่วงศรเขียว โอ้อารีดังก่อนยังเคยชื่นบาน ทุกๆ วัน รื่นรมย์สมใจ ถึงยามราตรีเราเหล่านารีทั่วไป ระเริงใจร้องรำตามเสียงเพลง เรามาสนุกทุกข์ใดไม่มี ถึงใครย่ำยีมิคิดกลัวเกรง จะขอยืนสู้อยู่ไม่หนี จะขอยอมพลีเลือดละเลง ให้ลือระเบ็งว่าหญิงก็สู้ แต่มาไม่นานก็มีทหารไทย มิกลัวใคร ต่างแดนแคว้นฉันอยู่ เค้ามาเพื่อชาติปราบอริราชศัตรู หวังเชิดชูเสรีที่รักยิ่ง ดวงใจประเสริฐสมควรชม ฉันนึกนิยมน้ำใจรักจริง ทั้งรูปก็หล่อที่ใจฉันเรามีรักกันสัมพันธ์ยิ่ง เสียดายเค้าจริง เค้าทิ้งฉันไป ไม่เกลียดไม่โกรธไม่โทษหรอกคนดี หวังไมตรีต่อกันอันยิ่งใหญ่ ถึงยามราตรีหากกอดนารีไป หวังน้ำใจคะนึงนึกถึงบ้าง ยามฟ้าครวญคร่ำ ฉันครวญคราง รักเธอไม่สร่าง รักดังหัวใจ ถึงแม้จะห่างดั่งดินฟ้า แต่ใจฉันมาอยู่เคียงใกล้ ขอทหารไทยจำอารีดัง ขอทหารไทยจำอารีดัง ขอทหารไทยจำอารีดัง ขอทหารไทยจำอารีดัง ฟังเสียงครวญจากสาวเจ้าแล้ว อิ่มเ...นึกถึงหนังเรื่อง ฟูลเฮ้า เลย..ชอบนางเอก อะนะ..มีคนบอกมาว่า มะก่อนสาวเกาหลี แสนจะขี้เหร่..แบบ มากๆ.. จวบจน เหลาคางให้แหลม เพิ่มตาสองชั้น...นางฟ้ามาจุติซะงั้น นะครับ หุหุ คนไกล...อารีดัง ๏ เสียงครวญข้ามส่งฟ้า.......ครางไกล เพรียก,ร่ำพร่ำพิไร...........เพ่อร้อย คลื่นรับขับเลื่อยไคล-......คลาล่อง ดั่งวิหกผกคล้อย.............คว่ำสิ้นบินผวา ๚ะ ๏ อารีดังดั่งแก้ว...........กรดาว พิศุทธ์ผุดศรีพราว......พรึกสร้อย หวามจิตวาบจุ่งวาว......แจร่มวัช- ระเฮย หลงแม่เร้าเหมือนร้อย.......รัดแม้นเริงหมาย ๚ะ ๏ ไกลสุดแลสุดใกล้.........เกินสรวง พี่จักผลักยื้อทวง........ทบย้อน ทาบซ้ำท่ามซับทรวง.......ชิงโอบ แตะเช็ดน้ำตาซ้อน.....พร่าแก้มพรูสาย ๚ะ ๏ สยามสามย่านโพ้น......ทะเล ผูกมั่นมิผันเผ ........ ผ่ายเส้น แดนโสมดื่มซ่านเด......ส่อดื่น ใจปักจักแปรเร้น.......หน่ายหน้าหนีนาง ๚ะ ๏ คนห่างครางห่อนคร้าน......ห่อคอย ถิ่นพรากถักผินถอย........เพ่อทิ้ง พิษห่างคุเผาพลอย.......โชนพลุ่ง ร้าวปวดรวดแปลบกลิ้ง.....เกลือกกลั้วแกนขม ๚ะ เส้น สวย จากบล็อคคุณ ญามี่ครับ
ยังโกอินเตอร์ ต่อ ครับ พี่น้อง 55 .. " ตายเสียดีกว่าที่จะอยู่อย่างไร้เกียรติ " จู่ๆ คำพูดในเพลงที่จำได้ ..บอกถึงหนทางสุดท้ายของความผิดหวัง คือกระทำอัตวินิบาตกรรม ....ฮาราคิรี ตัวเอง..เศร้าครับ ประโยคนี้ เบื้องใต้มรสุม แสงเพลิงอารมณ์ระอุ กำลังโหมเผากรุง กันอยู่ขณะนี้ กิ่งโศก หันหาทางออก ..ไปที่บทเพลง โดยไปเปิด กรุเพลงเก่า และยังเป็นบทเพลงต่างแดนอีกบทเพลงหนึ่ง ..หลังจากที่ได้ส่งกุหลาบปากซัน ไปชิมลางมาก่อนหน้านี้ ..ฮาราคีรี หรือ จะเป็นฟาง หรือเส้นทางสุดท้าย ของปัญหา วันนี้ ขอเสนอ แนวเพลงปลาดิบ ซากุระ ต่างแดนให้ประดามี มิตรสหายได้คลายร้อนกัน หาใช่เป็นการนำเสนอเพื่อการเสียดสี.ประชดประชันต่อบรรดาสีต่างๆ ก็หาไม่..พึงทราบด้วย ชาวอาทิตย์อุทัย ยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในเมืองไทย ในขณะนี้และอาจมีมากสุดในบรรดานักลงทุนต่างชาติ กิ่งโศก ก็ได้มาเป็นไพร่ เอ๊ยเป็นลูกจ้าง หาเลี้ยงชีพก็จากบริษัทฯเหล่านี้ รอบนี้ ลองมาฟัง เสียงแนวนักร้องลูกกรุง โดยรุ่งฤดี แพ่งผ่องใส ขับขานในรูปแบบแนว ญี่ปุ่น เนื้อหาดูกำสรดเศร้า เหลือหลาย และแฝงความไพเราะด้วยทำนองดนตรีบรรเลง กึ่งโศกนี้ ฮาราคิรี หากใครกระทำ ย่อมถูกยกย่องถึงความกตัญญู ความเด็ดเดี่ยว..ศักดิ์ตนใยสูงยิ่งกระนั้นหรือ ลองมาฟังกันนะครับ. โจโจ้ซัง ขับร้อง รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส อันความรักมักชวนชักให้ใจลุ่มหลงระเริง เปรียบดังเปลวเพลิงที่ได้จุนเจือเชื้อไฟไหม้ลาม ยามเพลิงรักรุมใจใครจะมาหวงห้าม เรื่องจะปรามรักกันมันยิ่งกว่าดับไฟ เหมือนรักของทรามวัยในนิยายญี่ปุ่น โจโจ้ซัง โจโจ้ซัง หล่อนพลีกายใจด้วยรักซื่อถืออมตะจริงจัง กลับต้องมาผิดหวังพบกันวันหลังเขามีเมียมา ปวดใจนักเมื่อคนรักไร้สัจจา โจโจ้ซังดอกฟ้าจึงฮาราคีรีเพื่อ ชาตินี้ขอมีรักเดียว (พูด)..โจโจ้ซัง เหมือนผีเสื้อแสนสวยบริสุทธิ์แห่งนางาซากิ รักที่เธอมอบให้ชายต่างแดนเมื่อวันก่อน บริสุทธิ์และมั่นคงเหมือนหิมะบนยอดเขาฟูจิ แต่อนิจจาเมื่อยอดรักของเธอ ย้อนกลับมาพร้อมด้วยเมียตามกฎหมาย โจโจ้ซังสาวผู้รักเกียรติ จึงเลือกปฏิบัติตามประเพณีแห่งวงศ์ตระกูล เลือดจากสาส์นรักของเธอ เขียนทิ้งไว้ด้วยข้อความว่า " ตายเสียดีกว่าที่จะอยู่อย่างไร้เกียรติ " .. อันความรักมักชวนชักให้ใจลุ่มหลงระเริง เปรียบดังเปลวเพลิงที่ได้จุนเจือเชื้อไฟไหม้ลาม ยาม เพลิงรักรุมใจใครจะมาหวงห้าม เรื่องจะปรามรักกันมันยิ่งกว่าดับไฟ เหมือนรักของทรามวัยในนิยายญี่ปุ่น โจโจ้ซัง โจโจ้ซัง หล่อนพลีกายใจด้วยรักซื่อถืออมตะจริงจัง กลับต้องมาผิดหวังพบกันวันหลังเขามีเมียมา ปวดใจนักเมื่อคนรักไร้สัจจา โจโจ้ซังดอกฟ้าจึงฮาราคีรีเพื่อ ชาตินี้ขอมีรักเดียว (พูด)โจโจ้ซัง " ตายเสียดีกว่าที่จะอยู่อย่างไร้เกียรติ " ทางสุดท้าย.......ฮาราคีรี ๏ ภูมรินทร์ผินลู่ฟ้า................เริงไพร โบกปีกบินโบยไกล............บ่ายกว้าง เวียนวนวาดวาบไหว.........แหวกหว่าน วนานอ ประดับเด่นปลิวคว้าง.......เปลือกค้ำโลกีย์ ๚ะ ๏ สีหลากสลักหรี่แต้ม.............เติ่งคา ปรุ่งกลิ่นเปรยเกลื่อนปรา- ...... กฏให้ จรุงรุ่งมิจางลา................เจื่อนลบ วิจิตรบรรจบไว้..............ตราบสิ้นวงจร ๚ะ ๏ พิษซ่อนผ่อนชิดซ้อน.......กลีบงาม ร่ายล่อ,ยอ,ยลตาม............ยั่วแต้ม เผยอเพ่อย่องผลาม..........หย่อนผิด ร่างขาดบาดแบะแย้ม......บิเยิ้มแยกบาน ๚ะ ๏ ซานซมขมขื่นเศร้า........กำสรวล เจ็บจิตจำคร่ำครวญ......แค่นสะอื้น เหลือเซ่นรูปซากราน-.....แหลกเสี่ยง ชิ้นแฮ ชีพดับจมถมพื้น............พ่ายสิ้นมือตน ๚ะ ขอบคุณ line สวยๆ จากบล็อคคุณ ญามี่ ครับ
ลองหันมาฟังเพลง ต่างประเทศดูกันบ้าง เรียกว่ายกระดับการฟัง..55 ( คุ้นๆ มะ ครับ) คำว่าแดงเด่นหมายถึง..สีแดงของกุหลาบ... ปกติ เพลงฝรั่ง จะไม่ค่อยฟังเท่าใดนัก เนื่องจากจะเรียกว่า หูไม่กระดิก อิอิ ..คือ แปลไม่ออก ก็พอกล่าวได้ เว้นแต่อ่านเนื้อเพลง อาจจะพอกล้อมแกล้มแก้ขวยไปได้บ้าง. เฟ...มี..( Free me) โก...(Go) 100 ไมล์ อะเว ฟรอมโฮม.. พอที่ถูไถฟังบ่อยหน่อย ก็..summer kiss winter tear ตระกูล ยุค ซิกตี้ อะนะ หุหุ แล.. จะว่าไปก็ ทำเป็นกระแดะฟังไปงั้นแหละครับ 55555 กำลัง คลี่เสื่อ ปูสาดชักชวนเพื่อนๆ พี่ๆ ป้าๆ น้าๆ อาๆ ..มาลองฟังกัน. .เป็นเพลงต่างชาติครับ. เพียงแต่ว่าเป็นบทเพลงจากบ้านพี่เมืองน้องของเรา เท่านั้นเอง เมืองลาว หรือสาธารณรัฐประชาชนลาว..ที่ถือว่า มีความคล้ายยิ่งกับ คนไทย ยิ่งคนไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งคำพูด ประเพณี วิถีการดำรงชีพ แทบจะถอดมาจากพิมเดียวกันเลย..... http://yamiejung3.webs.com/photos/AA2/13.gif กุหลาบปากซัน บทเพลงที่เคยฟังมานานแล้ว ได้แว่วหวนให้ได้ยิน อีกครั้ง สำหรับกิ่งโศก คนยาก เป็นบทเพลงที่ เรียกว่า โด่งดัง ในเมืองลาว..จนวงการเพลงบ้านเรา ได้นำเพลงนี้มาขับร้องกัน จนร่ำรวยกันขนานใหญ่เลยทีเดียว .แรกเดิมที คนด่านเกวียน จากนั้น ลูกทุ่งหลายๆ คนเอามาร้อง กันมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ สยสย. ไปพบบทความเกี่ยวกับเพลงนี้ เขาเขียนไว้ว่า นักร้องไทย ไม่ใคร่ ให้เครดิตผู้แต่ง..สักเท่าใด จนผู้แต่งเสียชีวิตไปแล้วโน่นแหละถึงได้ ระบุนาม ..ส.สุลิวัต หรือ จำปา ลัดตะนะสะหวัน เป็นผู้ประพันธ์ อย่างมากก็ ใช้ว่า ศิลปินลาว..(คีตกวีนิรนาม ) สุลิวัต ท่านนี้ ได้มาร่ำเรียน ในประเทศไทย จบแล้วไปทำงานที่บ้านเกิด และได้แต่งเพลงนี้ เมื่อเขาไปเยือน เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ในค่ำของวันหนึ่ง ริมฝั่งนั่น เขาแลเห็นเหล่าบรรดาสาวๆ อาบน้ำกัน ..กำหลาบปากซันจึงอุบัติขึ้น.. เกิดมากิ่งโศก ยังไม่เคยไปต่างประเทศเลย แม้แต่ ประเทศลาว ที่ชิดติด.. แต่พอได้ยินเพลงนี้ ดูเหมือนว่า เป็นบทเพลงที่คุ้นเคย หู ประมาณนั้น ความคล้ายบทเพลง ความคล้ายในการจินตนาการ ภาษาที่ใช้ กิ่งโศก ว่า ภาษาลาว นี่มีความตรง ที่จะสื่อ ไม่อ้อมค้อม ดูแล้ว เป็นธรรมชาติแท้ คงคล้ายกับความสมบูรณ์ ในแหล่งธรรมชาติ ของเขา เอง ....ยามแลงค่ำลง น้ำซัน หมู่บริพรรณน้ำซันไหลผ่าน ใสดี ข้อยเห็นผู้สาว เจ้าล่องลอย หมู่ปลาใหญ่น้อย ลอยล่องนที สิ้นแสงสุรีย์สาดสีแสงจันทร์ กิ่งโศก มองเห็นภาพ ธารน้ำซันที่ไหล ยามค่ำ..(ยามแลง) ตะวันเริ่ม อ่อนยอแสง ..รอพระจันทร์มารับช่วงต่อ น้ำใส ของธาร.....สาวเจ้าอาบน้ำในวารี....ริมฝั่งคราคร่ำไปด้วยฝูง ปลาเล็ก ๆ...แลลิบๆไกลโพ้นต้นน้ำนั้น คือขุนเขาบรรพรตทมึน ที่คอยเทสายน้ำให้ค่อยๆไหลโลมลงลำห้วย...สู่ปากซัน ..ทัศนาภาพแบบนี้ เหมือนมีจิตกรเอก..บรรจงวาดไว้กระนั้น เชิญ มาร่วมรับฟัง และย้อนหวนฟังเพลงนี้ ขอนำฉบับ คนด่านเกวียน เพราะเป็นคนที่นำมาร้องเป็นคนแรกในเมืองไทย ขอรับ กุหลาบปากซัน แต่งโดย จำปา ลัดตะนะสะหวัน ขับร้องโดย...เวอร์ชั่น คนด่านเกวียน แดนดิน ถิ่นไกล เหลือตา อยู่สุดนภายังมี ดอกฟ้า แสนงาม หากไผได้เห็น จะมัวหลง เฝ้าคิดพะวงหลงติดตาม สาวเอยแสนงามงามเหลือตา งามจริงดังคำ เขาชม หากได้สุขสมภิรมย์กับน้อง สมใจ จะขอใฝ่ฝัน แต่นางเดียว บ่ขอข้องเกี่ยว หญิงอื่นใด เฝ้าแต่หลงไหลใฝ่ฝันใจปอง โอ้ กุหลาบสวรรค์ แห่งเมืองปากซันให้อ้ายใฝ่ฝัน หมายปอง ใจ อ้ายหวังอยากเคียงประคอง กุหลาบเป็นสีดั่งทอง เมื่อยามแสงส่องจากดวงสุรีย์ ยามแลงค่ำลง น้ำซัน หมู่บริพรรณน้ำซันไหลผ่าน ใสดี ข้อยเห็นผู้สาว เจ้าล่องลอย หมู่ปลาใหญ่น้อย ลอยล่องนที สิ้นแสงสุรีย์สาดสีแสงจันทร์ โอ้ กุหลาบสวรรค์ แห่งเมืองปากซันให้อ้ายใฝ่ฝัน หมายปอง ใจ อ้ายหวังอยากเคียงประคอง กุหลาบเป็นสีดั่งทอง เมื่อยามแสงส่องจากดวงสุรีย์ ยามแลงค่ำลง น้ำซัน หมู่บริพรรณน้ำซันไหลผ่าน ใสดี ข้อยเห็นผู้สาว เจ้าล่องลอย หมู่ปลาใหญ่น้อย ลอยล่องนที สิ้นแสงสุรีย์สาดสีแสงจันทร์ ...กวีผู้ก้าวสู่ห้วงจินตนาการประหนึ่งน้องพี่ของคนไทยท่านนี้ นับว่า มีปลายปากกาไว้จาร ขานบทกล่อมโลก ให้เสพแต่ความสุขเสียนี่กระไร... ..บทเพลง แห่งบ้านพี่เมืองน้องที่เราคุ้นเคย...ยังมี ของ..ก. วิเศษ ..ตำนานไทยดำรำพัน..อันลือลั่น.. ๏ นทีโลมท่าน้ำ..............เถื่อนนอง ปลาแหวกเริงหวังปอง.....ว่ายเปรี้ยว ธารไหลทาบไล้ทอง........โลมทอด สูรย์นา ล่องหาดรัดห่อเลี้ยว.........ห่มหล้าห้อมสุรีย์ ๚ะ ๏ นารีกำดัดด้วย ..........เยาวมาลย์ หฤหรรษ์ละหาน...........เลาะห้วย ดำยุดผลุดว่ายธาร...........ทุ่มหยอก เรียมเบิ่งเริงเปี่ยมด้วย...........ยั่วเย้ายวนตา ๚ะ ๏ อิจฉาปลาใหญ่น้อย.......เนืองชล แลชิดพิศสกนธ์-................นุชใกล้ อิ่มตามิอิ่มกมล..................เลยแม่ วางจิตลอยน้ำให้..............เสน่ห์แล้วพึงหลง ๚ะ ๏ ผุดผาดผิเด่นด้าว..........เมืองแถน จุติทิพยแดน.....................สู่หล้า อัปสรอ่อนแขนแมน........แม่วาด มนต์จับพี่พะว้า.................จิตแว้งแสวงครอง ๚ะ ๏ นอง นองด้วยรักเร้น........หลงนาง เนื่อง เนื่องมะเลืองมลาง...........ล่วงรู้ หลง หลงมิจืดจาง................จวบจึ่ง จอดนา แม่ แม่เฉกยอดชู้..................หนึ่งนี้หนุนสอง ๚ะ ขอบคุณ..Line สวยๆ ขโมย มาจากบ้านคุณ ญามี่ อิอิ
เปรียบความงามทั้งหลายทั้ง ปวงของหญิงสาวนั้น เรามักจะได้ยินเกี่ยว โยงกับความงาม ความเบ่งบาน ของมวลดอกไม้ อยู่เสมอมาช้านานแล้ว ความสดสวยงดงาม สีเริงจรัส สุคันธชาติ ความเปล่งปลั่ง บุหงาแย้มกลีบ ความจรุงกลิ่นกำจร อันพึงเป็นเกยรติของผกา สิ่งเหล่านี้ คงพอประโลมโลกใบนี้ให้เริงรื่น อย่างหฤหรรษ์ ตราบยังไม่สิ้น แตกสลาย .. อย่าเปรียบ ฉันเป็นเช่น ภุมริน หวังร่อนบิน ดื่มหวานกิน สิ้นแล้ว ลืมได้ ดื่มกิน ความหวานรักนาน จนสิ้นลมไป รักจริงร่วมใจ รักเดียวดอกไม้เมืองกรุง ช่วงเช้าๆ ฟังหม่อมถนัดศรี ลำนำ ความงามของดอกไม้ จากบทเพลง ดอกไม้เมืองกรุง ขณะขับรถมาทำงาน ทำให้รอยยับย่น บนใบหน้าห ายไปได้เช่นกัน เพราะใจอิ่ม ใบหน่ย่อมเอิบบ่มด้วยความสุข เพลงนี้ คงเปรียบความงามของน้องนางเมืองกรุง ที่ปรุงแต่งความงดงาม ของตัวเอง ให้เลอล้ำเวลาแล ยิ่งหลง ได้เลย ดอกไม้ในพงป่าย่อมหอมแบบธรรมชาติ บริสุทธิ์ เพราะอาบไล้แต่ความ พิศุทธิ์ อันเป็นแก่นแท้ของ เนื้อในแห่งธรรมชาติ วันนี้ กิ่งโศก ขอเสนอ ดอกไม้ในแดนฟ้า แดนกรุง ดูสิว่า ความวิไล เสน่ห์ ปรุงแต่งนี้ จะสะกด ให้เหล่าภมร หลงไหลได้เพียงใด เชิญพริ้มนัยนาที่เพิ่งมองสรรพสิ่ง แล้วจมดิ่งไปพร้อมๆ กับเพลงนี้ ครับ เพลง : ดอกไม้เมืองกรุง ศิลปิน : ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ เปล่งปลั่ง เหมือนดังดอกไม้ แรกบาน สวยตระการเปรียบหวาน ปานผึ้งหวาน เดือนห้า กลิ่นช่าง อบอวลเนื้อนวล ยวนยั่วอุรา เหมือนองค์ อุมาเหนือ นางฟ้า วาสิฏฐี ช่างอ่อน ละมุนละไม หนักหนา ทั้ง วาจาเสกสรรมา ไพเราะ เหลือที่ จริต จรรยา โสภา ทุกท่าเทพี สมเป็น สตรี โสภี เวียงฟ้า เมือง อินทร์ ดอกไม้ ใต้ฟ้า เมืองไทย หอมไปไกล จูงจิตใจ ภุมริน หวังภิรมย์ หวังชมกลิ่น ภมรกิน สิ้นแล้ว บินไกล อย่าเปรียบ ฉันเป็นเช่น ภุมริน หวังร่อนบิน ดื่มหวานกิน สิ้นแล้ว ลืมได้ ดื่มกิน ความหวานรักนาน จนสิ้นลมไป รักจริงร่วมใจ รักเดียวดอกไม้เมืองกรุง ดอกไม้ใต้ฟ้า เมืองไทย หอมไปไกล จูงจิตใจ ภุมริน หวัง ภิรมย์ หวัง ชมกลิ่น ภมรกิน สิ้น แล้ว บิน ไกล อย่าเปรียบ ฉันเป็น เช่น ภุมริน หวัง ร่อนบิน ดื่มหวานกิน สิ้นแล้ว ลืมได้ ดื่มกิน ความหวาน รักนาน จนสิ้นลมไป รักจริง ร่วมใจ รักเดียว ดอกไม้ เมือง กรุง... เสียงร้องที่เอื้อน คงความเป็นศิลปินไทยแท้ คลอเคล้าไปกับทำนองแบบ นี้นั้น ผมว่า เอนกายหลับสักตื่นเถอะ.. เริงมาลี ๏ หากโลกไร้ไม้ดอก........ระดา ดินเฮย สิ้นแหล่งแสงทิพา.........ฉ่ำไล้ อัจกลับเปลวลา...........หรี่แผ่ว อันธกาลครอบไว้.........มืดเวิ้งสิ้นหวัง ๚ะ ๏ คราสว่างกระจ่างแจ้ง.......เริงใจ แสงชีพรำเบิกใบ.............ขยับก้าน กลีบสีคลี่ห้อมไพร.........กล่อมป่า แลเคลื่อนเลื่อนมิคร้าน....ครึกครื้นบรรเลง ๚ะ ๏ เปล่งปลั่งเฉกเช่นแล้ว..........บุหงา บานเนอ หวานยิ่งน้ำผึ้งครา.................มาสแล้ง กลิ่นฟุ้งเอกผกา................ไตรทิพย์ ปั้นเสกฤาเทพแสร้ง........กว่าฟ้าเทวี ๚ะ ๏ รัมภาระเริงล้ำ........แลสนาน เด็ดคลี่มาลีบาน......เบิกฟ้า ขจรกลิ่นล่วงฆาน......ลุคาบ ทิพรสฤาโลมหล้า.........เจียดเร้าโลมขวัญ ๚ะ ๏ มาลีล้อมัดร้อย........ภุมริน โบยไต่บ่ายตอมบิน....โบกต้อน สุรีย์สิเริงฉิน -......โฉมส่อง ความใฝ่ใคร่ฝันฟ้อน....ยักย้ายโยกยวง ๚ะ ๏ กลีบเก่าเฉาร่วงสิ้น.........ความขัย จี,ดอกออกยองใย.........ผลิซ้อน วังวนหล่นพุ่งนัย.......บ่งบอก เกิดดับย่อมหมุนย้อน......ยอบสิ้นแยงสูญ ๚ะ + กิ่งโศก+ ลำนำ ต่อไป ..คิดถึง ดอกไม้เมืองใต้ หรือ กุหลาบเวียงเหนือ หรือโน่น กลิ่นจำปาแดนอิสาน ดีหนอ
.เจ้าช่อ.....ไม้ดอกเอ๋ย เจ้าดอกขจร นก ขมิ้น เหลืองอ่อน ค่ำนี้ จะนอนไหนเอย เอ๋ย นอน ที่นี่ เอย เสียงเพลง ที่แผ่วๆ ในท่วงทำนองยะเยือกเย็น ฟังดูสบาย โล่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ เวลาฟังเพลงนี้ที่ไร ผสมกับความรู้สึกอ้างว้าง ปนเศร้า เพลงนกขมิ้น ที่เป็นเพลงเก่า ของสุนทราภรณ์ แต่กิ่งโศก ชอบ น้ำเสียง อรวี สัจจานนท์ เพราะนักร้องท่านนี้ คือน้ำเสียงที่เปล่งออกมา ดู มันจะออกแบบหมดโทนเสียง ไม่มีค้างในกล่องเสียง ( เป็นความชอบส่วนตัว ) กล่าวถึงนกขมิ้น เป็นนกที่ผสมผสานกันระหว่างนกแซงแซว กับ อีกา แต่นิสัยของนกขมิ้นนั้นแตกต่างจากนกทั้งสองชนิดอย่างสิ้นเชิง คือ แซงแซว กะ อี(คุณ)กา มักก้าวร้าว ไม่กลัวคน แต่นกขมิ้นกับชอบโดดเดี่ยว อยู่เงียบๆ แบบเดี่ยวๆ หือแค่คู่เดียว (ข้อมูลจาก วิกกี้พีเดียร์) มนุษย์เรามักมีการเปรียบเปรยเกี่ยวกับการร่อนเร่พเนจรหมอนหมิ่น ( น่าสงสัยทำไมไม่นอนให้เต็มหมอน) ของคนเรา โดยมักจะเปรียบเทียบกับสัตว์ปีก คือ นกขมิ้น ดูเหมือนนกชนิดนี้ จะรักความอิสระเสรี เหมือนดังพวกยิปซี กระนั้น? นกขมิ้น ใยเล่าจึงเป็นสัญลักษณ์ ของคนที่ไร้หลักปักฐาน ค่ำไหน นอนนั่นจริงหรือ หรือไปตายเอาดาบหน้า (ดาบนี้ขอไว้ก่อน 55) เพลงนกขมิ้นที่กิ่งโศก ชอบฟังอีก แนวหนึ่ง คือ สมยศ ทัศนพันธ์ ....โธ่เอ๋ย แม่นางนกขมิ้นเจ้ามาทิ้งถิ่นบินไปอยู่ไหนเล่าเอย..น้ำเสียงยานๆ เนิบๆ ดู ขลังดี อีกคน ก็ ก้าน แก้วสุพรรณ ก็มีบทเพลงเกี่ยวกันนกขมิ้น เช่นกัน สำหรับเพลงที่นำเสนอนี้ไม่แน่ใจว่า ต้นเสียง จะใช่คุณ จินตนา สุขสถิตย์ หรือ เปล่า มีคนเอามาร้องต่อมากมาย ไม่เว้นแต่ พี่เบิร์ด หุหุ แต่วันนี้เสนอในแนว ของพี่เล็ก อรวี ครับ เชิญสดับรับฟังได้.. เพลง นกขมิ้น ร้อง อรวี สัจจานนท์ ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย เหลียวมองรอบกายมิวายจะหวาดกลัว มอง นภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ ค่ำคืนเอ๋ย ฮืม ยามนภาคล้ำไป ใกล้ค่ำ ยินเสียงร่ำคำบอก เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย เจ้าดอก ขจร นก ขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย เอ๋ยเล่า นกเอย อกฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์ เหมือนคนพเนจร ฉันนอนไม่หลับเลย หนาว พระพายที่พัดเชย อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่นทอน ฮืม ยามนี้เราหลงทาง กลางค่ำ ยินเสียงร่ำ คำบอก เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย เจ้าดอก ขจร ฉันร่อนเร่ พเนจร ไม่รู้จะนอนไหนเอย เอ๋ยโอ้ หัวอกเอย บ้านใด หรือใครจะเอ็นดู รับรอง อุ้มชู เลี้ยงดูให้หลับนอน นก ขมิ้น เหลืองอ่อน ค่ำไหน นอนนั่น อกฉัน หมอง ฮืม ทนระกำช้ำใจ ยามค่ำ ยินเสียงร่ำ น้ำตก โอ้หัวอกเอ๋ย โอ้อก อาวรณ์ ฉันไร้คู่ ร่วมคอน ต้องฝืนนอน หนาว เอย เอ๋ย โอ้ หัวอกเอย เมื่อ มอง หมายปองก็แลเห็น หวิวในใจเต้น เหมือนเป็นเพียงแต่มอง เหมือน พบรัง จะครอง แต่หมองเกรงที่ หวั่นจะมีเจ้าของ ฮืม ฟังสำเนียงเสียงเพลง ครวญคร่ำ ใครหนอร่ำ คำบอก เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย เจ้าดอกขจร นก ขมิ้น เหลืองอ่อน ค่ำนี้ จะนอนไหนเอย เอ๋ย นอน ที่นี่ เอย ดู เศร้า ปนโศก อะนะ เพลงนี้ ต้องฟังตอนเย็นๆ ค่ำๆ โดยนั่งอยู่บนหัวกะไดบ้าน แบบต่างจังหวัด เหม่อมอง ดวงอาทิตย์ ดวงโต สีแดง ที่กำลัง ลาลับเหลี่ยมขุนเขา....อ้า วิเวกแท้ ๏ กำสรวลครวญโศกสร้อย ........กระแส ว้าเหว่ไร้ใครแล.......................ปลอบร้อง ยามค่ำย่ำคล้อยแด-.................ด่ำดับ ชีพนา เหลียวเบิ่งใครเล่าป้อง.......ปิดเร้นรอไหว ๚ะ ๏ ไผ่โอนโยนกิ่งโย้........โยกกอ คล้ายคีตดีดเส้นซอ.........โศกซึ้ง ปล่อยใจไร้เพิกรอ.......พิลาป แยงโสตรดห้วงบึ้ง..........บ่มเร้าร่ำสราญ ๚ะ ๏ ยานสุรีย์ลับแล้ว......ฉายโลม เรืองเรื่อเจือพโยม.....ยกแต้ม รัตติมณีโสม...............รอส่อง ฉายอาบวิจิตรแย้ม....มืดสิ้นสำเริง ๚ะ ๏ นกเติ่งต่างคบไม้......เมียงคอย คูข่มไร้คู่หงอย..............เงียบข้าง ระหกระเหินผลอย.....ผละพราก คนยิ่งเกินเทียบอ้าง.....แอบสะอื้นขื่นขม ๚ะ ๏ บ่มใจใบ้จ่มเบื้อ ........เจือเบน เขียมจิตคิดเจียมเห็น......ขื่นห้วง ใครลบประคบเข็น.....ความหลาก ตนจึ่งต่างหลีกล้วง.....ลึกเร้นหลบหาย ๚ะ